ไอที ธุรกิจ

โบรกชู 6 กลุ่มหุ้นน่าลงทุน อานิสงส์ "นิวนอร์มอล"

ประชาชาติธุรกิจ
อัพเดต 25 พ.ค. 2563 เวลา 10.02 น. • เผยแพร่ 25 พ.ค. 2563 เวลา 10.02 น.
A man points a finger to the Google Play app logo on his Huawei smartphone in this illustration picture May 20, 2019. REUTERS/Marko Djurica/Illustration

โบรกฯส่อง 6 กลุ่มหุ้นเด่นรับอานิสงส์ “new normal” น่าลงทุนหลังโควิด-19 “บล.เอเซีย พลัส” แนะนำธุรกิจ “ถุงมือยาง-อุปกรณ์ไอที-สื่อสาร” มั่นใจมีปัจจัยบวกชัดเจน ฟาก “บล.เมย์แบงก์ฯ” เชียร์ 3 กลุ่มธุรกิจ “โรงไฟฟ้า-อาหาร-โรงกลั่น” ที่มีแนวโน้มกลับมาฟื้นตัวหลังเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น

นายชาญชัย พันทาธนากิจ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า กลุ่มหุ้นที่มีแนวโน้มได้รับอานิสงส์จากการเข้าสู่วิถีใหม่ (new normal) ภายหลังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้น ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส วิเคราะห์ว่ามีกลุ่มที่จะได้รับอานิสงส์อย่างชัดเจนด้วยกัน 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.ธุรกิจถุงมือยาง ซึ่งบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่าง บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากความต้องการใช้ถุงมือยางที่เพิ่มขึ้น โดยราคาเหมาะสม (fair value) อยู่ที่ 20.00 บาท แต่ราคาหุ้นปัจจุบันปรับขึ้นเหนือราคาเหมาะสมแล้ว จึงแนะนำรอราคาย่อตัวลงมาค่อยเข้าลงทุน

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

2.ธุรกิจอุปกรณ์เทคโนโลยีและอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ จากเทรนด์การทำงานที่บ้าน (work from home) ซึ่งส่งผลให้คนหันมาติดต่อสื่อสารกันผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น โดยฝ่ายวิจัยคาดว่าเทรนด์ดังกล่าวจะส่งผลบวกแก่ บมจ.คอมเซเว่น (COM7) ซึ่งประกอบธุรกิจจำหน่ายโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์เทคโนโลยีต่าง ๆ ราคาเหมาะสมอยู่ที่ 23.00 บาท

และ 3.ธุรกิจสื่อสาร เนื่องจากโลกหลังโควิด-19 ผู้คนจะสนใจเทคโนโลยี 5G มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการใช้ข้อมูลของค่ายมือถือ โดยหุ้นเด่นแนะนำ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) ราคาเหมาะสม 210.00 บาท

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์ฯ ให้น้ำหนักกับธุรกิจที่จะกลับมาฟื้นตัวได้หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยน่าจะมี บจ.ที่ได้รับอานิสงส์ 3 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ 1.กลุ่มโรงไฟฟ้า ซึ่งหลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% รวมถึงความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ส่งผลให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น เป็นบวกต่อกำไรของกลุ่ม อีกทั้งมองว่าตลาดหุ้นไทยจะกลับมาเป็นหลุมหลบภัย (safe haven) ของนักลงทุนต่างชาติอีกครั้ง

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

นอกจากนี้ คาดว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าจะกลับมาเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์ฯ แนะนำซื้อ บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ราคาเหมาะสมที่นักวิเคราะห์ในตลาดให้ไว้ (IAA consensus) ที่ 40.00 บาท และ บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) 80.00 บาท

2.กลุ่มอาหาร โดยคาดว่าธุรกิจอาหารจะสามารถกลับมาขยายตลาดได้อีกครั้ง หลังการแพร่ระบาดจบลง รวมถึงความต้องการบริโภคจะเริ่มกลับมาเพิ่มขึ้น ซึ่งหุ้นเด่นในกลุ่มแนะนำ บมจ.คาราบาวกรุ๊ป (CBG) ราคาเหมาะสม 108.00 บาท เนื่องจากราคาปัจจุบันยังมีโอกาสปรับขึ้น (upside) ได้อีก

และ 3.กลุ่มโรงกลั่น โดยคาดว่าธุรกิจโรงกลั่นจะได้ประโยชน์จากความต้องการใช้น้ำมันที่กลับมาหลังการทยอยเปิดเศรษฐกิจ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นมายืนเหนือระดับ 30 ดอลลาร์/บาร์เรล จากไตรมาสแรกที่ราคาทรุดตัวลงไปอยู่ที่ 20 ดอลลาร์/บาร์เรล ดังนั้น ในไตรมาส 2 ผลประกอบการของธุรกิจโรงกลั่นจะไม่ได้รับผลกระทบจากการขาดทุนสต๊อกน้ำมัน (stock loss) ทั้งนี้ หุ้นเด่นแนะนำ บมจ.สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (SPRC) ราคาเหมาะสม 8.00 บาท และ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) 48.00 บาท

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง
ดูข่าวต้นฉบับ