มีคนพูดว่าโรคระบาดมันไม่ได้เลือกชนชั้น ทั้งรวยและจนตายเหมือนกัน
คำพูดนี้มีส่วนจริง เพราะคนที่รวยล้นฟ้ามียศถาบรรดาศักดิ์หลายคนเสียชีวิตจากโควิด-19 เหมือนกับคนไร้บ้านไร้เงินและไร้ชื่อเสียง
แต่คนรวยมีโอกาสตายน้อยกว่าคนจน และการกักตัวอยู่ในบ้านของคนมีฐานะไม่น่าลำบากเท่ากับการติดแหงกอยู่ในห้องเช่าแคบๆ ของคนจน
ความแตกต่างทางชนชั้นนี้ทำเอาหลายประเทศเกิดการเผชิญหน้ากันแล้วระหว่างคนมีเงินและคนไม่มีเงิน
เช่นที่ฝรั่งเศส นักเขียนนวนิยายชาวฝรั่งเศสชื่อ เลลา สลีมานี (Leila Slimani) ผู้เขียนนิยายเรื่อง "The Perfect Nanny" บ่นว่าตอนนี้เธอต้องกักตัวอยู่ในบ้านในชนบทของ ทำให้เธอรู้สึก "เหมือนเจ้าหญิงนิทรานิดหน่อย"
ถ้าเป็นเมืองไทย"บ้านในชนบท" หมายถึงบ้านนาบ้านทุ่งตามต่างจังหวัดอยู่กันอย่างพอมีพอกิน แต่สำหรับโลกตะวันตก บ้านในชนบทคือบ้านหรูสำหรับตากอากาศของคนมีตังค์
สลีมานีกำลังอวดรวยและทำราวกับว่าการกักตัวเป็นเรื่องโรแมนติก
ผลปรากฏว่าชาวฝรั่งเศสที่ต้องหาเช้ากินค่ำและลำบากกับการกักตัวเข้าไปถล่มโซเชียลฯ ของสลีมานีจนเละ ไม่ใช่แค่คนทั่วไป แม้แต่นักคิดนักเขียนที่มีสามัญสำนึกก็ตำหนิเธออย่างรุนแรง เช่น โตมาส์ ปอร์แชร์ (Thomas Porcher) นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังถึงกับด่านักเขียนสาวผู้นี้ว่า "หยาบคาย"
นักเขียนร่วมอาชีพอีกคนคือ ดีอาน ดือเคร (Diane Ducret) เสียดสีสลีมานีว่าทำตัวเหมือนพระนางมารี อองตัวเนตเล่นเป็นชาวนาในสวนของพระราชวังแวร์ซาย และพยายามจะทำเป็นเข้าอกเข้าใจความกลัวและความปวดร้าวของผู้คน
พระนางมารี อองตัวเนตทรงมีชีวิตที่หรูหราในพระราชวังแวร์ซาย แต่บางครั้งจะทรงทำให้ชีวิตลำบากขึ้นมาสักนิดด้วยการ "เล่น" เป็นชาวนาในพระตำหนักอาโม เดอ ลา เรน (Hameau de la Reine) ที่สร้างเลียนแบบบ้านของชาวนาชาวไร่ เป็นการทำตัวให้ลำบากแบบไฮโซเพื่อแก้เบื่อนั่นเอง
ที่ดือเครอ้างถึงพระนางมารี อองตัวเนตมีความหมายแบบนี้
แต่ไม่ใช่แค่นักเขียนคนนี้คนเดียว ยังมีปัญญาชนคนมีเงินอีกจำนวนหนึ่งที่รู้สึกว่าชีวิตทุรนทุรายเหลือเกินกับการกักตัวใน "บ้านหลังน้อย" ของพวกเขา
แต่เราจะเห็นว่านี่ไม่ใช่ปัญหาของนักเขียนหรือปัญญาชน แต่เป็นปัญหาระหว่างคนมีเงินกับไม่มีเพราะเห็นแล้วว่าปัญญาชนที่ติดอยู่ในห้องแคบๆ เหมือนคนเดินกินหาเช้ากินก็มี เช่น ดีอาน ดือเคร ที่ยัวะมากเมื่อเห็นเพื่อนร่วมอาชีพบางคนพรรณนาชีวิตที่ "แสนจะลำบาก" กับการกักกันในบ้านพักตากอากาศ การเที่ยวทะเล และเตร่ในสวนสวย
ส่วนเธอติดอยู่ในห้องแคบๆ แม้แต่ท้องฟ้าก็ไม่ได้เห็น นี่ขนาดนักเขียนชื่อดังยังลำบากขนาดนี้
ที่น่าสะเทือนใจกว่านั้นเธอเล่าว่า เมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อนบ้านของเธอฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดออกมาจากหน้าต่างห้องนอนเล็กๆ ของเขาเพราะเจ้าของต้องการขายมันจึงบีบให้เขาออกไปจากห้องเช่าท่ามกลางการระบาดและการกักกันโรค
ดือเคร นักเขียนสาววัย 37 ปีบอกว่า
"ไวรัสเปิดเผยให้เห็นถึงความไม่เท่าเทียมของเรา ในแง่ของบางชนชั้นทางสังคม …เมื่อเสรีภาพอันมีค่าของเราถูกตั้งคำถาม ความเสมอภาคกลายเป็นแค่เรื่องในอุดมคติ"
ความไม่เทียมกันนี้ไม่ได้มีแค่ในบางประเทศแต่เกิดขึ้นกับเกือบทุกประเทศ ในสหรัฐที่โควิด-19 โจมตีหนักหน่วงที่สุดและมีผู้เสียชีวิตมากที่สุด เราพบว่าในบรรดาผู้เสียชีวิตนั้นเป็นคนผิวดำมากที่สุด
ตอนนี้ยังไม่มีตัวเลขในระดับชาติ แต่ข้อมูลจากจากพื้นที่ต่างๆ ค่อนข้างชัดว่าคนผิวดำตายมากกว่า เช่นที่ชิคาโกมีคนผิวดำตายมากถึง 68% ของจำนวนทั้งหมด ที่รัฐหลุยเซียนา 70% ที่ตายไปเพราะโควิดเป็นคนผิวดำ รัฐอิลลินอยส์ 43% และรัฐมิชิแกน 40%
ในนิวยอร์กซึ่งเป็นศูนย์กลางการระบาดในสหรัฐ คนที่ซวยที่สุดไม่ใช่คนผิวดำแต่เป็นชาวลาติโน ที่ตายไปมากถึง 34% เทียบกับคนผิวดำ 28%
ไม่ใช่แค่คนกลุ่มนี้เป็นชนกลุ่มน้อยที่จนและไร้โอกาสในสังคม แต่พวกเขายังต้องไปทำงานในแนวหน้าของการระบาดมากว่าคนกลุ่มอื่นด้วย จากการรายงานของ The New York Times
การศึกษาจากเจ้าหน้าที่สถิติกการคลังของนิวยอร์กพบว่า 75% ของพนักงานแถวหน้าในเมือง เช่น พนักงานร้านขายของชำ พนักงานขับรถประจำทางและรถไฟ ภารโรง และเจ้าหน้าที่ดูแลเด็ก ส่วนใหญ่เป็นชนกลุ่มน้อย มากกว่า และ 60% ของคนที่ทำงานเป็นคนทำความสะอาดคือชาวลาติโน และพนักงานการขนส่งสาธารณะมากกว่า 40% เป็นคนผิวดำ
คนเหล่านี้อยู่ท่ามกลางฝูงชนที่ไม่รู้ใครมีเชื้อไวรัสอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเหมือนทหารที่เดินไปท่ามกลางป่าดงดิบที่ไม่รู้ว่าจะเหยียบกับระเบิดเมื่อไร
เช่นเดียวกับทหารเดินเท้า คนเหล่านี้ต้องเสี่ยงทำงานที่มีเงินน้อยนิดเพื่อเอาชีวิตรอด
อย่างที่บอกไปว่าไวรัสไม่ได้เลือกโจมตีคนรวยหรือคนจน และมันไม่เลือกว่าเป็นคนผิวสีไหน แต่เพราะคนบางผิวสีและเชื้อชาติมีโอกาสป้องกันตัวเองน้อยกว่าคนกลุ่มอื่น พวกเขาจึงตายมากกว่ากลุ่มอื่น
คนผิวดำในสหรัฐก็เช่นกัน ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าคนผิวดำได้รับผลกระทบอย่างมาก เพราะส่วนใหญ่ของคนผิวดำในสหรัฐมีฐานะยากจนจึงเข้าไม่ถึงบริการสุขภาพพื้นฐาน ทั้งยังถูกเลือกปฏิบัติเวลาไปรับการรักษาพยาบาล และยังต้องทำงานที่ต้องออกจากบ้านไม่สามารถทำงานที่บ้านได้
จากตัวอย่างนี้เราจะเห็นได้ว่า การทำงานที่บ้านเป็นสิทธิพิเศษของงานบางประเภท แต่ไม่ใช่กับบางอีกหลายประเภทที่ต้องใช้แรงงาน
เรื่องนี้จะมองเป็นความเหลื่อมล้ำก็ได้ เพราะงานที่ทำจากบ้านได้ส่วนเป็นงานออฟฟิศ ส่วนงานหาเช้ากินค่ำต้องใช้แรงกายเป็นหลักไม่สามารถทำแบบทางไกลได้
ดังนั้นมาตรการปิดเมืองจึงทำร้ายคนใช้แรงงานซึ่งเป็นคนจนโดยตรง เราจึงได้ยินเสียงโอดครวญของจากตลาดสด ไซต์ก่อสร้าง ร้านอาหาร หาบเร่แผงลอย ฯลฯ มากกว่าเสียงครวญจากพำนักงานออฟฟิศ
พนักงานออฟฟิศก็ใช่ว่าจะรอด เพราะเสี่ยงกับการตกงานกันถ้วนหน้าเนื่องจากการปิดเมืองทำให้ธุรกิจต้องปิดตัวไปด้วย
การระบาดและการปิดเมืองจึงทำให้คนจนตายกันมากขึ้น และทำให้คนเกือบจน (เช่น คนชั้นกลาง) กลายเป็นคนจนรุ่นใหม่ขึ้นมาแทน
โรคระบาดไม่เลือกคนรวยหรือจน แต่ความจนและรวยทำให้เราลำบากไม่เท่ากัน
บทความโดย กรกิจ ดิษฐาน
Photo by Aamir QURESHI / AFP
ขจรศักดิ์ โหวงเหวง ขาดเป้าหมายและข้อเสนอ พรรณนาข้อเท็จจริงที่สังคมเห็นอยู่แล้ว สำหรับสื่อนี้ควรรับฟังความเห็นต่างบ้าง เวลามีบทความจะได้มีบทความที่ดีๆให้คนที่ชื่นชอบได้อ่านบ้าง
10 เม.ย. 2563 เวลา 00.09 น.
นาท ภูมิ มันเป็นความเหลื่อมล้ำที่ชัดเจนมาก ดูง่ายๆนะ ทำไม่คนจนติดคุกง่ายมาก คนรวยทำไมไม่ติดคุก
09 เม.ย. 2563 เวลา 23.55 น.
T.cho พยายามมองบวกเสมอ คนที่สื่อสารผ่านโซเชียวว่ามีความสุขอาจแค่พยายามหลอกตัวเองก็ได้ สุขหรือทุกข์มันอยู่ที่มองยังไง
09 เม.ย. 2563 เวลา 21.02 น.
มันไม่เกี่ยวกับการปิดเมือง
มันขึ้นอยู่กับว่ารัฐให้ความเท่าเทียมกันมั้ย
ถ้าดูแลเท่ากัน ให้มีกิน ไม่อดตาย
แจกเงินไม่ต้องมาก พอให้ท้องอิ่มทุกเดือน
เหตุการณ์ร้ายๆจะไม่เกิด
09 เม.ย. 2563 เวลา 21.00 น.
sirikorn ไม่ว่าจะสถานการแบบไหน, คนรวยก้ได้เปรียบตลอดเวลา
09 เม.ย. 2563 เวลา 20.29 น.
ดูทั้งหมด