"แม่กอดฉันและบอกว่าเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขากำลังจะพาเราไปที่ไหน และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น"
นี่คือเหตุการณ์พลิกผันที่เปลี่ยนชีวิตของ อีดิธ อีเจอร์ เด็กสาวชาวฮังกาเรียนในวัย 16 ย้อนกลับไปในปีค.ศ. 1944 มันเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายของชาวยิวที่กำลังถูกกวาดล้างโดยทหารนาซี ภายใต้การปกครองของฮิตเลอร์ เธอและครอบครัวตกเป็นเหยื่อที่ถูกส่งไปยังค่ายกักกันเอาชวิตซ์ในโปแลนด์หลังที่ถูกจับกุมทันที
เคราะห์ร้ายที่ทั้งพ่อและแม่ของอีดิธถูกส่งเข้าห้องรมแก๊สและเสียชีวิตภายในไม่กี่วันในค่ายมรณะแห่งนี้ แต่ตัวเธอเองได้จำคำสอนของแม่ที่บอกว่า 'คนอาจจะพรากสิ่งของนอกกายจากเราไปได้ สติปัญญาคือสิ่งหนึ่งที่พวกเขาจะเอาไปไม่ได้'
อีดิธพึ่งความฉลาด ความกล้าหาญ และโชคที่มีอยู่แทบน้อยนิด พาเธอออกมาจากสถานที่อันแสนโหดร้ายนั้นได้ เธอเรียนรู้ที่จะให้และแบ่งปัน ซึ่ง 'การให้' กลายเป็นการกระทำสำคัญที่ทำให้เธอรอดชีวิตมาได้ อีดิธเล่าว่า "ฉันถูกบังคับให้เต้นบัลเล่ต์ให้กับหมอในค่ายดู ฉันหลับตาและจินตนาการถึงบทเพลงที่แสนสวยงาม พอเต้นเสร็จ หมอก็ให้ขนมปังมาหนึ่งก้อน ฉันเลยเอาไปแบ่งกับเด็กคนอื่น ๆ
หลังจากนั้นจะมีวันที่เราต้องเดินสวนสนามในค่าย ถ้าใครหยุดจะถูกยิง ฉันรู้ตัวเองแล้วว่าไปต่อไม่ไหว ฉันต้องโดนยิงทิ้งแน่ ๆ แต่กลับกลายเป็นว่าเด็กผู้หญิงที่ฉันเคยแบ่งขนมปังให้ พวกเธอเดินมาพยุงฉันให้เดินต่อไปได้ พวกเธอสุดยอดไปเลยไหมล่ะ มันทำให้ฉันรู้เลยว่าในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดนี้ก็มีสิ่งที่วิเศษซ่อนอยู่"
1 ปีในนรกจบลงพร้อมกับสงครามโลก อีดิธย้ายไปตั้งถิ่นฐานและเริ่มชีวิตใหม่ที่สหรัฐอเมริกา เธอใช้ประสบการณ์แสนโหดในการเป็นแรงผลักดันให้ตัวเองกลายมาเป็นนักจิตบำบัด อีดิธเริ่มเรียนต่อในด้านนี้ตอนอายุ 40 ปีและเริ่มรักษาเพื่อช่วยเหลือคนที่มีปัญหาในครอบครัว ถูกสามีทำร้าย คนที่ป่วยเป็นโรคเอดส์ รวมไปถึงบุคคลที่ผ่านสงครามกลับบ้านมา
"ฉันเจอกับภรรยาและเด็กน้อยที่ถูกคนในบ้านตัวเองทำร้าย แล้วก็คิดว่าพวกเขาอยู่ในสภาพที่แย่กว่าค่ายในเอาชวิตซ์ซะอีก ฉันบอกกับพวกเขาเสมอว่าสักวันหนึ่งพวกเธอจะสามารถเดินออกมาจาก 'ที่กักกัน' แห่งนี้ได้ เหมือนกับที่ฉันเคยทำ" อีดิธบอก
สำหรับผู้รอดชีวิตจากสงครามและค่ายกักกันที่เธอได้มีโอกาสรักษา อีดิธบอกว่าพวกเขายังใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ความกลัว ไม่เชื่อในการให้อภัยเพราะเขาคิดว่ามันคือการลืมอดีตของตัวเอง แต่เธอกลับบอกว่า "Forgiveness is giving me a gift" การให้อภัยกับคนที่เคยทำร้ายเธอคือของขวัญที่ล้ำค่าเธอมอบให้ตัวเองต่างหาก เพราะนั่นทำให้นาซีไม่สามารถบงการชีวิตของเธอในตอนนี้ได้
"ฉันอยากเป็นอิสระ มันไม่ได้หมายถึงว่าฉันลืมไปหรอกนะว่าพวกเขาทำอะไรไว้บ้าง แต่มันคือการยอมรับในความจริงและอยู่กับความจริงได้อย่างสงบสุข เราเลือกได้ว่าจะเป็น 'เหยื่อ' หรือ 'ผู้รอดชีวิต' จากเหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ในชีวิต"
ตอนนี้อีดิธอายุ 92 ปี เธอคือผู้รอดชีวิตเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก เธอคือนักจิตบำบัดที่ช่วยชีวิตคนนับพัน และในอายุ 90 นี้เองที่เธอได้กลายมาเป็นนักเขียนและนักสร้างแรงบันดาลใจอีกด้วย เรื่องราวของเธอทำให้เราไม่ลืมไปว่าไม่ว่าชีวิตจะเล่นตลกร้ายกับเราแค่ไหน สิ่งที่เราเลือกทำสามารถกำหนดทุกอย่างหลังจากนั้นได้เอง
อ้างอิง
Baum/B.B. พลังทางจิต แข็งแกร่งจริงๆค่ะ
08 ก.ค. 2563 เวลา 02.40 น.
ฉาง ขอแสดงความดีใจด้วยคน ที่มีเรื่องแบบนี้มาเสนอให้ทราบในความอดทนของคนสู้ชีวิต
08 ก.ค. 2563 เวลา 06.14 น.
thonglor007 คนไทยโชคดีกว่าหลายประเทศเยอะ ที่บ้านเมืองเเราไม่ต้องผ่านเรื่องเลวร้ายแบบนี้มา
08 ก.ค. 2563 เวลา 09.08 น.
ธง บางกล่ำ บ้านใต้ รอดมาได้ไงเหลือเชื่อสุดๆ
08 ก.ค. 2563 เวลา 03.15 น.
SORNMONTRA B H น่า สรรเสริญ ครับ อยากเห็น คนไทยดีๆ บ้างขึ้นอีก
08 ก.ค. 2563 เวลา 05.51 น.
ดูทั้งหมด