อย่างที่หลายคนรู้กันว่านมเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ ได้ทั้งโปรตีน วิตามิน แคสเซียม และแร่ธาตุอื่น ๆ มากมาย ทำให้เรานิยมดื่มนมกันจนเป็นเรื่องปกติ แต่เคยสังเกตไหมว่าบรรดานมที่เราซื้อดื่มกันบ่อย ๆ เป็นประจำนั้น มีความแตกต่างกันอย่างไร ทำไมนมบางชนิดต้องแช่ตู้เย็นตลอดเวลา แต่บางชนิดก็ไม่ต้อง แล้วนมแบบไหนมีประโยชน์มากกว่า วันนี้เราจะมาหาคำตอบกันว่าเราควรบริโภคนมแบบไหนมากที่สุด
นมก็คือนม นมสดก็คือนมที่รีดมาจากแม่วัวโดยตรง มีความหอมมัน มีไขมันและสารอาหารครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด ปัจจุบันนมประเภทนี้ค่อนข้างหากินได้ยาก เพราะส่วนใหญ่ที่วางขายในซูเปอร์มาร์เก็ตมักเป็นนมที่นำมาผ่านกรรมวิธีให้ความร้อนเพื่อกำจัดเชื้อจุลินทรีย์ในน้ำนม เป็นที่มาของนมประเภทต่าง ๆ ที่วางขายทั่วไปนั่นเอง
1. นมพาสเจอร์ไรซ์ (Pasteurized milk)
นมสดที่ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อด้วยความร้อนต่ำแต่ใช้เวลานาน เพื่อรักษากลิ่นและรสของนมเอาไว้ เป็นนมที่มีรสชาติและคุณค่าทางอาหารใกล้เคียงกับนมสดมากที่สุดด้วย การฆ่าเชื้อแบบพาสเจอร์ไรซ์จะฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรค แต่ไม่สามารถทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำให้อาหารเน่าเสียได้ ทำให้นมประเภทนี้ไม่สามารถเก็บไว้ได้นาน และต้องแช่ตู้เย็นเท่านั้น
จริง ๆ แล้วนมพาสเจอร์ไรซ์เหมาะกับคนทุกเพศ ทุกวัย แต่ถึงแม้ว่านมสดพาสเจอร์ไรซ์จะเป็นนมที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง แต่ก็ควรใช้เลี้ยงเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 1 ขวบขึ้นไป เด็กแรกเกิดถึง 1 ขวบควรได้รับการเลี้ยงดูดด้วยน้ำนมแม่ ที่นอกจากมีสารอาหารครบถ้วนแล้ว ยังมีภูมิคุ้มกันที่จำเป็นสำหรับทารกอีกด้วย
2. นมสเตอริไลซ์ (Sterilized milk)
นมสดที่ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อด้วยความร้อนสูงมากกว่า 100 องศาเซลเชียส ด้วยความที่ใช้ความร้อนสูง ระบบสเตอริไลซ์จึงสามารถทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคและจุลินทรีย์ที่ทำให้นมเน่าเสียได้จนหมด ทำให้นมชนิดนี้สามารถเก็บได้นานกว่า 1 ปีโดยไม่ต้องแช่เย็น แม้คุณภาพน้ำนมจะเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก แต่ปริมาณวิตามินบีต่าง ๆ อาจจะลดลงเล็กน้อย ที่สำคัญในเรื่องของรสชาติเมื่อเทียบนมพาสเจอร์ไรซ์แล้ว นมสเตอริไลซ์จะมีรสชาติและความสดของนมน้อยกว่า
3. นมยูเอชที (UHT หรือ Ultra High Temperature milk)
นมสดที่ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อด้วยความร้อนที่อุณหภูมิสูงกว่า 135 องศาเซลเชียส เป็นเวลานาน 2-3 วินาที แล้วนำมาบรรจุด้วยขบวนการปลอดเชื้อ ระบบยูเอชทีจะใช้อุณหภูมิสูงแต่ระยะเวลาการฆ่าเชื้อที่สั้นมากเพื่อไม่ให้คุณภาพของน้ำนมเปลี่ยนแปลงไป เป็นระบบที่สามารถกำจัดเชื้อจุลินทรีย์ได้เกือบทั้งหมด สามารถเก็บได้นานถึง 6-9 เดือน โดยไม่ต้องแช่ตู้เย็น แต่ในเรื่องของรสชาติและความสดก็ยังด้อยกว่านมพาสเจอร์ไรซ์อยู่ดี
4. นมเปรี้ยว (Yoghurt หรือ Fermented milk)
นมสดที่ผ่านกระบวนการหมักด้วยจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น เชื้อจุลินทรีย์แลกโตบาซิลลัส นมเปรี้ยวจะย่อยง่ายกว่านมประเภทอื่น ๆ เป็นนมที่ช่วยให้กระเพาะอาหารและลำไส้ทำงานได้เป็นปกติ เหมาะสำหรับคนท้องผูกเพราะมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ แต่ข้อสำคัญก็คือไม่ควรนำนมชนิดนี้ไปเลี้ยงเด็กทารก ควรเก็บในตู้เย็นหรืออุณหภูมิไม่เกิน 10 องศาเซลเซียสตลอดเวลาและควรดื่มภายใน 7 วัน
5. นมผง (Dried milk หรือ Powder milk)
นมสดที่ผ่านกรรมวิธีระเหยน้ำออกจนเกือบหมด เหลือน้ำอยู่เพียงไม่ 3-5% การระเหยเอาน้ำออกยิ่งมาก ก็ยิ่งเก็บไว้ได้นาน แต่จะสูญเสียวิตามินบี 1 และวิตามินซีไปในระหว่างกรรมวิธีการผลิต ดังนั้นจึงไม่ใช่ทุกคนที่เหมาะจะบริโภคนมผง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเด็ก
นมผงที่เหมาะสำหรับเด็กคือนมผงที่ผลิตจากน้ำนมสดธรรมดาที่เรียกว่า นมผงธรรมดาชนิดละลายได้ทันที ส่วนนมผงที่ผลิตจาน้ำนมขาดมันเนยผสมกับน้ำมันพืชที่เรียกว่านมผงแปลงไขมัน ควรใช้เลี้ยงเด็กอายุตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป ส่วนนมผงชนิดพร่องมันเนยและขาดมันเนยไม่เหมาะสำหรับเด็ก แต่เหมาะกับผู้สูงอายุ และผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับน้ำหนักมากหรือไขมันในเลือดสูง
นมผงบรรจุกระป๋องที่ยังไม่ได้เปิดฝา สามารถเก็บไว้ได้นานประมาณ 2 ปี อย่างไรก็ตาม หลังจากเปิดกระป๋องแล้ว ควรเก็บไว้ในที่แห้งและอุณหภูมิไม่สูงมาก แต่หลังจากเปิดใช้แล้วไม่ควรเก็บไว้นานเกิน 1 เดือน
การดื่มนมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
จริง ๆ แล้วเราจะดื่มนมเมื่อไหร่ก็ได้ จะเช้า กลางวัน เย็น หรือก่อนนอนก็ได้ แต่เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการดื่มนมก็มีทริกเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเหมือนกัน
• การดื่มนมแต่ละครั้งก็มีช่วงเวลาที่เหมาะสมเพื่อให้ร่างกายได้ซึมซับให้เกิดประโยชน์มากที่สุด
• ช่วงที่ดีที่สุดในการดื่มนมเพื่อกระตุ้นลำไส้ใหญ่คือเวลา 05.00-07.00 น. ช่วงนั้นเป็นเวลาที่ลำไส้ใหญ่ได้ทำงานและเคลื่อนไหวมากที่สุด หากได้ดื่มนมสดหรือนมเปรี้ยวเข้าไปในเวลานั้น จุลินทรีย์จะเข้าไปทำหน้าที่เคลือบลำไส้ใหญ่ ให้มีการไหลลื่นทำให้สิ่งที่เกาะลำไส้ของเราไหลลงสู่ทวารหนักได้ง่าย
• ช่วงที่ดีที่สุดในการดื่มนมเพื่อกระตุ้นการทำงานของกระเพาะคือเวลา 07.00น-09.00 น. เนื่องจากช่วงนี้เป็นเวลาที่ร่างกายพลังงานมากที่สุด นอกจากอาหารมื้อเช้าแล้ว หากได้ดื่มนมด้วยจะทำให้ร่างกายสดชื่นมากกว่าที่เคยเป็น เพราะอาหารจะเป็นตัวช่วยดูดซับน้ำนมที่ดื่มเข้าไปในช่วงเช้าส่งสารอาหารเข้าไปเลี้ยงสมองทำให้ปลอดโปร่งนั่นเอง
• ช่วงที่ดีที่สุดในการดื่มนมเพื่อกระตุ้นการทำงานสมองคือเวลา 09.00-12.00 น. หรือช่วงที่กินอาหารเช้าไปแล้วสักพัก ช่วงเวลานี้ร่างกายจะต้องการพลังงานเพิ่มเติมในช่วงที่ 2 หากเรารับประทานนมเข้าไป ร่างกายจะตอบสนองในด้านความจำมายิ่งขึ้น
• ช่วงที่ดีที่สุดในการดื่มนมเพื่อกระตุ้นการทำงานของลำไส้เล็กคือเวลา 12.00-15.00 น. แต่ควรดื่มนมที่ไม่มีไขมันเพื่อช่วยย่อย และดูดซึมสารอาหารเข้าสู่ร่างกายได้ดีที่สุด และเพื่อให้ลำไส้เล็กได้มีเวลาย่อยดูดซึมได้ดีที่สุด
• ช่วงที่ดีที่สุดในการดื่มนมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของกระเพาะปัสสาวะคือเวลา 15.00-17.00 น. ซึ่งถ้าอยากให้กระเพาะปัสสาวะทำงานได้ดีในช่วงนี้ก็ควรดื่มโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยว
• ช่วงที่ดีที่สุดในการดื่มนมเพื่อกระตุ้นหัวใจคือเวลา 17.00-21.00 น. โดยเฉพาะถ้าดื่มนมที่มีส่วนผสมของวิตามินซี และอีสูง (แทนอาหารมื้อเย็น) นอกจากจะได้รับประโยชน์แน่ ๆ แล้ว หากได้ออกกำลังกายมาด้วยแล้ว จะช่วยทำให้ร่างกายปรับสมดุลกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและหัวใจได้ดีอีกด้วย
• ถ้าได้ดื่มนมในช่วงเวลา 21.00-23.00 น. จะช่วยให้หลับสบายตื่นมาพร้อมความสดใส
• อย่างที่รู้กันว่านมสดพาสเจอร์ไรซ์เป็นนมที่มีคุณค่าสูงสุด ดังนั้นตัวเลือกที่ดีที่สุดจึงเป็นนมสดพาสเจอร์ไรซ์ โดยเฉพาะเด็กที่อยู่ในวัยที่สมองกำลังพัฒนา เจริญเติบโต
• ถ้าอยากดื่มนมอุ่น ๆ วิธีที่ถูกต้องคือ ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นประมาณ 60 องศาเซลเซียส โดยอุ่นประมาณ 5-6 นาที ไม่ควรต้มนมจนเดือด เพราะน้ำตาลที่อยู่ในน้ำนมอาจไหม้และกลายเป็นสารก่อมะเร็งได้
• ไม่ควรดื่มนมควบคู่กับยา เพราะนมจะไปเคลือบกระเพาะอาหาร ลดการดูดซึมยา ก่อนหรือหลังรับประทานยา 1-2 ชั่วโมง ไม่ควรที่จะดื่มนม
• สำหรับทารกยังไงนมแม่ก็ดีที่สุด ดังนั้นจึงไม่ควรเลี้ยงทารกด้วยนมประเภทอื่น ๆ โดยเฉพาะนมเปรี้ยวหรือนมข้นหวาน เพราะนมข้นหวานเป็นแค่หางนมที่ถูกนำมาปรุงแต่งรสด้วยน้ำตาล
• นมที่เหมาะสำหรับเด็กก็คือนมที่ยังมีปริมาณไขมันอยู่อย่างครบถ้วน
จะเห็นได้ว่านมเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์จริง ๆ แต่ถึงจะมีคุณค่าและอย่าลืมว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีทั้งประโยชน์และโทษเสมอ แม้จะยังไม่มีงานวิจัยหรือหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนออกมาว่าการดื่มนมในปริมาณที่มากเกินไปส่งผลเสียต่อสุขภาพจริงหรือไม่ แต่ก็มีข้อสงสัยที่หาคำตอบไม่ได้มากมายเกี่ยวกับการดื่มนม ดังนั้นจึงต้องดื่มนมในปริมาณที่เหมาะสมจึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด
สำหรับเด็กวัยก่อนเรียนและวัยเรียน ควรดื่ม 2-3 แก้วต่อวัน สำหรับวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ เป็นวัยที่ต้องการสารอาหารเพิ่ม เพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและชะลอการสูญเสียมวลกระดูก ป้องกันโรคกระดูกพรุน จึงแนะนำให้ดื่มนมสดรสจืด โดยแนะนำให้ดื่มนม 2 แก้วต่อวัน
ส่วนหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตรควรดื่มนม 2 แก้วต่อวันและบริโภคปลาเล็กปลาน้อย 2 ช้อนกินข้าวหรือผักใบเขียวเข้ม 4 ทัพพี หรือเต้าหู้แข็ง 1 แผ่นเพิ่ม ในขณะที่ผู้มีปัญหาภาวะไขมันในเลือดสูง ควรเลือกดื่มนมรสจืดพร่องมันเนยหรือนมไร้ไขมัน 1-2 แก้วต่อวัน เพราะฉะนั้นมาดื่มนมกันเถอะ ~
dam dam สรุปช่วงเวลากินนมที่ดีที่สุด
05-7.00 กระตุ้นลำใส้
07-9.00 กระตุ้นกระเพาะ
09-12.00กระตุ้นสมอง
12.00-15.00 กระตุ้นลำไส้เล็ก
15.00-17.00 กระตุ้นปัสสวะ
17.00-21.00 กระตุ้นหัวใจ
21.00-23.00 หลับสบาย
สรุปง่ายๆสั้นๆคือ เราควรกินนมทุกๆ2 ชม.เพื่อกระตุ้นการทำงานของอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย รวมๆแล้ววันหนึ่งก็ประมาณ 7 แก้วต่อวัน พอๆกับการกินน้ำที่ควรกินอย่างน้อยวันละ8แก้วต่อวัน กินนมเยอะขนาดนี้มันจะดีต่อสุขภาพจริงเหรอ อ้างอิงแหล่งที่มาจากไหนหรือครับควรระบุแหล่งที่มาของข้อมูลด้วยนะครับ
01 มิ.ย. 2563 เวลา 10.12 น.
นมไหนที่ว่าแน่ แต่แพ้นมแม่ทั้งหมด ใครจะสู้
01 มิ.ย. 2563 เวลา 04.15 น.
ไม่แปลกหรอกครับ กินนมวัว มนุษย์9ใน10คนไม่สามารถย่อยได้หมด จึงตกค้างลำไส้ เป็นสาเหตุของมะเร็ง ภูมิแพ้ รวมไปถึง ฮอร์โมนที่กระตุ้นให้แม่วัวมีระยะให้นมได้นานๆ เรากินเข้าไปก็จะได้ฮอร์โมนอ่อนๆคอยกระตุ้นต่อมน้ำนมของคนทั้งที่ไม่ได้ตั้งครรภ์จึงเป็นสาเหตุของมะเร็งเต้านม พอรีดนมวัวนานนานเต้านมก็อักเสบ ต้องให้ยาปฏิชีวนะ ผลการวิจัยก็ชัดเจน ซีกโลกกลุ่มคนที่กินนมวัวมาก เป็นมะเร็ง ภูมิแพ้มากกว่า และไทยก็กินตาม สถิติก็สูงขึ้นทุกๆปี เพราะนมวัวไม่ได้เหมือนนมวัวสมัยก่อน ผ่านกรรมวิธีมากมาย
01 มิ.ย. 2563 เวลา 15.02 น.
So นมแม่ดีที่สุดสำหรับทารกทุกคน นมอย่างอื่นอาจดีสำหรับบางคน แต่ไม่เหมาะกับคนอื่น
01 มิ.ย. 2563 เวลา 10.35 น.
มณฑล ผมไม่ใช่ลูกวัว ทำไมต้องกินนมวัว
01 มิ.ย. 2563 เวลา 21.32 น.
ดูทั้งหมด