เชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคโควิด-19 ระบาดออกไปทั่วโลกไม่เว้น ไม่มีเลือกว่าเป็นประเทศใหญ่หรือเล็ก ยากจนหรือร่ำรวย จนถึงขณะนี้ รอยเตอร์สบอกว่ามีประเทศ 194 ประเทศและเขตปกครองทั่วโลก เผชิญหน้ากับการแพร่ระบาดแล้ว
สิงคโปร์เป็นชาติที่สองรองจากประเทศไทย ที่เกิดการระบาดขึ้นนอกจากในจีนซึ่งเป็นจุดกำเนิดโรค
จนถึง 25 มีนาคมนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมในสิงคโปร์ยังคงจำกัดอยู่ที่ 558 คน มีผู้เสียชีวิตเพียง 2 คน ซึ่งนับว่าต่างกันมากกับหลายชาติในตะวันตก ซึ่งเริ่มต้นการระบาดทีหลัง แต่ทั้งยอดติดเชื้อสะสมและยอดผู้เสียชีวิตพุ่งเป็นติดจรวด
สิงคโปร์กลายเป็น “แบบอย่าง” ของการต่อสู้กับเชื้อไวรัสร้ายตัวนี้ องค์การอนามัยโลกยกย่องและเรียกร้องให้หลายๆ ชาติเรียนรู้จากสิงคโปร์ ควบคู่ไปกับเกาหลีใต้ และไต้หวัน อีกสองประเทศที่ถือเป็น “ซัคเซสส์ สตอรี่” ในการเผชิญหน้ากับการระบาดใหญ่ทั่วโลกครั้งนี้ ที่มีให้เห็นไม่มากนัก
อันที่จริง หลักการที่สิงคโปร์ใช้ แทบไม่ต่างอะไรกับหลักการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคที่หลายๆ ประเทศใช้ นั่นคือ การตรวจสอบหาผู้ติดเชื้อให้เร็วที่สุด แกะรอยผู้คนที่ผู้ติดเชื้อผู้นั้นสัมผัส สัมพันธ์ใกล้ชิดให้ได้มากที่สุด โดยเร็วที่สุดเพื่อให้กักตัว ตามมาตรการเฝ้าระวังโรค
หลายประเทศก็ทำเช่นนั้น ไทยก็ทำอย่างเดียวกัน แต่สุดท้ายก็ยัง “คุมไม่อยู่” จนต้องประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วประเทศอย่างที่เห็นกันอยู่
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?
มาตรการเหมือนกันโดยหลักการก็จริง แต่เมื่อดูลึกลงไปในรายละเอียด จะพบเห็นความแตกต่างกันมากมาย ซึ่งส่งผลให้ประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ปรากฏห่างกันลิบลับ
ตัวอย่างแรก คือการแกะรอยและการสอบสวนโรคครับ
ทางการสิงคโปร์เรียกวิธีการของตัวเองว่า “คอนแทกต์ เทรซซิ่ง” ซึ่งเริ่มนำมาใช้เร็วมากตั้งแต่เจอกรณีติดต่อระหว่างคนในท้องถิ่น ที่เริ่มเมื่อราวต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
คอนแทกต์ เทรซซิ่ง ของสิงคโปร์มีทีมงานแยกทำหน้าที่เป็น 2 ส่วน เริ่มต้นทำงานต่อเนื่องกันทันทีที่พบผู้ที่ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อโควิด-19
ทีมสอบสวนโรคซักประวัติผู้ป่วยแต่ละรายที่เข้ามารักษาตัวอย่างละเอียดยิบ ไม่เพียงกำหนดไทม์ไลน์ของพฤติกรรมของตนเองเท่านั้น ยังซักลึกลงไปถึงลักษณะของความสัมพันธ์ ระยะไกล-ใกล้ การสัมผัส ฯลฯ
ผู้ป่วยรายหนึ่งบอกว่า ขณะที่ได้รับการรักษาตัวแยกต่างหากในโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ซักถามอยู่นานถึง 3 ชั่วโมง!
ไล่เลี่ยกันนั้น อีกทีมหนึ่งก็เริ่มการติดต่อไปยังผู้คนในกลุ่มเสี่ยงเหล่านั้น มักเริ่มจากการโทรศัพท์ไปจนสามารถถึงตัวบุคคลกลุ่มเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังเหล่านั้น ไม่เว้นแม้แต่ชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาพำนักอยู่ในสิงคโปร์
คำถามสำคัญของเจ้าหน้าที่ก็คือ ณ ช่วงเวลาหนึ่ง บุคคลดังกล่าวเคยอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงที่จะได้รับเชื้อหรือไม่ และพฤติกรรมหลังจากนั้นเป็นอย่างไร เข้าไปใกล้ชิดชนิดที่จะแพร่ให้กับใครอีกบ้าง
กรณีตัวอย่างก็คือ ครูสอนโยคะชาวอังกฤษรายหนึ่ง จู่ๆ ได้รับโทรศัพท์นี้ ถามว่า เมื่อเวลา 18.47 น.ของวันพุธ เคยใช้แท็กซี่ทะเบียนนี้หรือไม่ ทั้งๆ ที่เธอใช้เวลาอยู่บนแท็กซี่เพียง 6 นาที จนเจ้าตัวแทบจำไม่ได้ด้วยซ้ำ
หลังจากยืนยันข้อมูล เช้าวันรุ่งขึ้นเจ้าหน้าที่มาถึงที่พัก ยื่นหนังสือสัญญาฉบับหนึ่งให้
ในหนังสือสัญญาดังกล่าว กำหนดไว้ว่า ผู้ลงนามยอมรับการกักตัวเองเป็นเวลานาน 14 วัน โดยรับรู้ว่า หากละเมิดด้วยการออกนอกสถานที่ จะมีโทษปรับ 10,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 227,000 บาท) หรือจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ
ใครให้การเป็นเท็จ ถูกลงโทษหนักหนาสาหัสไม่แพ้กัน ตอนนี้มีนักท่องเที่ยวสัญชาติจีน 2 คนถูกดำเนินคดีนี้อยู่
ถามว่า โกหกแล้วถูกตรวจจับได้อย่างไร?
คำตอบคือ เพราะในระบบนี้มีทีมที่ 3 ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบในกรณีที่ไม่สามารถได้รับข้อมูลจากการซักประวัติได้ ไม่ว่าจะเป็นในกรณีที่ผู้ติดเชื้อมาถึงโรงพยาบาลในสภาพป่วยหนัก หรือในกรณีที่ให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน จำเป็นต้องตรวจสอบเพิ่มเติม
ทีมที่ 3 นี้ หน้าที่หลักแต่เดิมคือเจ้าหน้าที่ตำรวจ หน่วยสืบสวนสอบสวนคดีอาชญากรรม เครื่องมือสำคัญที่ใช้ก็คือ กล้องวงจรปิดที่ติดตั้งไว้ทั่วไปในที่สาธารณะและท้องถนน
ผู้ติดเชื้อแต่ละรายจะถูกแกะรอยย้อนหลังละเอียดยิบเพื่อควานหาคนในกลุ่มเสี่ยงต่อเนื่องให้มากที่สุดและเร็วที่สุด
ในแต่ละวัน ไม่ว่าจะมีกรณีมากน้อยเท่าใด จะมีทีมเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการคอนแทกต์ เทรซซิ่งนี้ทำงานอยู่ตลอดเวลา วันหนึ่งไม่ต่ำกว่า 100 คน
ในเวลาเดียวกันทุกคนที่อยู่ในสิงคโปร์ก็ตระหนักดีว่า ตนอยู่ในพื้นที่ซึ่งไม่เพียงต้องไม่ละเมิดกฎหมายเท่านั้น ยังต้องให้ความร่วมมือกับทางการชนิดไม่ยอมก็ไม่ได้ด้วยอีกต่างหาก
monster_9 จังหวัดที่ผมอาศัยอยู่ยังมีพื้นที่มากกว่าประเทศนี้เลย
31 มี.ค. 2563 เวลา 04.05 น.
wisoot คุณลองเทียบจำนวนประชากรดูสิ
31 มี.ค. 2563 เวลา 04.01 น.
Chamnsth พื้นฐานทางสังคมต่างกันสุดกู่ การบังคับใช้กฏหมาย ระเบียบวินัยประชากร
31 มี.ค. 2563 เวลา 04.18 น.
J.Pet สเกลเค้าเล็กเลยควบคุมง่ายกว่า
31 มี.ค. 2563 เวลา 04.56 น.
pongpipat สิงคโปรนั่นแหละที่เลียนแบบไทย ถึงคุมอยู่
และเพราะสิงคโปร ไม่มีพวกผีพนัน เซียนฆวย ที่ไม่รับผิดชอบต่อสังคม รวมถึง ไม่มีพวกนายทหารบ้าอำนาจ มาเฟียคุมสนามมวย สนามม้า
31 มี.ค. 2563 เวลา 04.07 น.
ดูทั้งหมด