กระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย ต้องร่วมกันจ่ายค่าชดเชยให้กับ บริษัท โฮปเวลล์ฯ รวมดอกเบี้ยแล้วจะเป็นเงินกว่า 24,131 ล้านบาท โดยเฉพาะดอกเบี้ยอย่างเดียวคิดเป็นมูลค่ากว่า 11,689 ล้านบาท ทั้งนี้ดอกเบี้ยทุกรายการ คิดในอัตรา 7.5% ต่อปีแบบไม่ทบต้น แต่ระยะเวลาในการคำนวณดอกเบี้ยแต่ละรายการไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่กำหนดในคำตัดสินของคณะอนุญาโตตุลาการ
เมื่อวันที่ 22 เม.ย. ที่ผ่านมา ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษา กลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น ส่งผลให้กระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย ต้องร่วมกันปฏิบัติตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ที่มีคำสั่งให้ร่วมกันจ่ายค่าชดเชยให้กับ บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกอบด้วย ค่าก่อสร้าง 9,000 ล้านบาท ค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ที่ดินที่บริษัท โฮปเวลล์ฯ เคยจ่ายให้การรถไฟฯ 2,850 ล้านบาท และค่าธรรมเนียมการออกหนังสือค้ำประกัน 38.75 ล้านบาท โดย 3 รายการดังกล่าวข้างต้นจะต้องจ่ายพร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี นอกจากนี้ยังจะต้องคืนหนังสือค้ำประกันมูลค่า 500 ล้านบาท และค่าธรรมเนียมศาลอุทธรณ์อีก 16.53 ล้านบาทให้กับบริษัท โฮปเวลล์ฯ ด้วย
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขข้างต้นเป็นเพียง “เงินต้น” เท่านั้น เพราะเมื่อคำนวณดอกเบี้ย 7.5% ต่อปีที่ต้องจ่ายเพิ่มด้วย จะพบว่าเงินที่ทางการรถไฟฯ ต้องจ่ายชดเชยให้บริษัท โฮปเวลล์ฯ นั้น เพิ่มขึ้นอีกเกือบเท่าตัว นั่นคือเฉพาะดอกเบี้ยอย่างเดียว รวมกันคิดเป็นมูลค่ากว่า 11,689 ล้านบาทแล้ว ประกอบด้วย
1. ดอกเบี้ยจากเงินค่าก่อสร้าง คิดในอัตรา 7.5% ต่อปี โดยในคำพิพากษาให้เริ่มนับแต่วันที่อนุญาโตตุลาการชี้ขาด นั่นคือวันที่ 30 ก.ย. 2551 ดังนั้นแล้วเมื่อนับถึงปัจจุบัน (24 เม.ย. 62) ก็นับเป็นเวลา 10 ปีกับอีก 206 วัน จากเงินต้นค่าก่อสร้าง 9,000 ล้านบาท ในส่วนนี้จะเสียดอกเบี้ยทั้งสิ้น 7,130.96 ล้านบาท (9,000 x 7.5% x 10 ปี 206 วัน)
2. ดอกเบี้ยจากค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ที่ดินที่บริษัท โฮปเวลล์ฯ จ่ายให้การรถไฟฯ ไปแล้ว คิดในอัตรา 7.5% ต่อปี โดยเงื่อนไขคือให้เริ่มคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่บริษัท โฮปเวลล์ฯ ชำระเงินให้กับการรถไฟฯ ในแต่ละงวด แต่เนื่องจากการชำระเงินดังกล่าวแบ่งเป็นหลายสิบงวด และทีมข่าวเวิร์คพอยท์ยังไม่สามารถหาข้อมูลได้ว่าแต่ละงวดจ่ายเป็นเงินเท่าไหร่และวันที่เท่าไหร่ ฉะนั้นแล้วจึงใช้วิธีคำนวณอย่างคร่าวๆ โดยสมมติให้บริษัท โฮปเวลล์ฯ จ่ายเงินค่าตอบแทนทั้ง 2,850 ล้านบาทนี้ในวันที่ 19 ม.ค. 2541 ก่อนที่จะมีการยกเลิกสัญญา 1 วัน ผลลัพธ์จากการคำนวณจะเป็นดอกเบี้ยจำนวนต่ำสุดที่เป็นไปได้ (ดอกเบี้ยจริงจะสูงกว่าจำนวนที่คำนวณได้นี้ เนื่องจากการจ่ายจริงทยอยจ่ายก่อนยกเลิกสัญญาหลายปี ดอกเบี้ยย่อมมากขึ้นไปด้วย)
จากเงินต้น 2,850 ล้านบาท เมื่อนับตั้งแต่วันที่บอกเลิกสัญญา 20 ม.ค. 2541 ก็หมายความว่า การรถไฟฯ ผิดนัดชำระหนี้ก้อนนี้มาแล้วอย่างน้อย 21 ปี 94 วัน คิดดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี รวมแล้วเฉพาะดอกเบี้ยคิดเป็นเงิน 4,543.79 ล้านบาท (2,850 x 7.5% x 21 ปี 94 วัน)
3. ดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมการออกหนังสือค้ำประกัน คิดในอัตรา 7.5% ต่อปีเช่นกัน แต่มีเงื่อนไขกำกับไว้ว่า ให้คิดดอกเบี้ยได้ไม่เกิน 5 ปี ฉะนั้นจากเงินต้น 38.75 ล้านบาท คิดดอกเบี้ย 7.5% ต่อปีทั้งสิ้น 5 ปี จะเป็นเงินค่าดอกเบี้ยรวม 14.53 ล้านบาท (38.75 x 7.5% x 5 ปี)
ดังนั้นแล้ว เฉพาะดอกเบี้ย 7.5% ที่การรถไฟฯ ต้องจ่ายรวมจากเงินต้น 3 ก้อนดังกล่าว ก็คิดเป็นมูลค่ากว่า 11,689.28 ล้านบาทแล้ว
และเมื่อคิดรวมทุกรายการ ที่การรถไฟฯ ต้องจ่ายชดเชยให้กับ บริษัท โฮปเวลล์ฯ ทั้งเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมต่างๆ ทั้งหมด ถ้าจ่ายในวันนี้ (24 เม.ย. 62) จะต้องจ่ายเป็นเงินอย่างน้อย 24,131 ล้านบาท
และแน่นอนว่าเงินจำนวนนี้จะเพิ่มขึ้นอีกหากยิ่งจ่ายช้า เพราะดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นทุกวัน
k.kumaree คนเซ็นตายไปแล้ว ลูกยังอยู่น่าจะรับผิดชอบนะ ส่วนประชาชนอย่างเราคงไม่มีวันสบายกว่าจะทำได้แต่ละบาท แทบกระอัก ต้องมาใช้หนี้แทนพวกนี้อีกเวรกรรมของเราจริงจริง เมื่อรัยจะเจอคนดีมาบริหารคิดประโยชน์ส่วนรวมไม่ยึดตัวเองรวย คุณธรรมหายไปไหนหมด คนถึงไม่เกรงกลัวกฎหมาย และบาปเพราะมีเงินแล้วทำได้ทุกอย่าง
24 เม.ย. 2562 เวลา 14.40 น.
☺ 🅰️RN🅾️N นน Lim🌟🇹🇭🌟 หยุดความโลภได้เมื่อไหร่
เมื่อนั้น บ้านเมืองก็เจริญ
ทำเพื่อชาติบ้านเมืองกันเถิดครับ
ประชาชนตั้งใจเลือกพวกคุณมา
อย่าเห็นแก่ตัวกันอีกเลย
24 เม.ย. 2562 เวลา 14.44 น.
•Ä• メ3 รัฐบาลไหนยกเลิกสัญญา อ่อ ชวน2 รมต.คมนาคมชื่อเทพเทือก
24 เม.ย. 2562 เวลา 15.09 น.
PSJK จนอยู่แล้วโดนเงินภาษีให้นักการเมืองเอาไปใช้อีก
24 เม.ย. 2562 เวลา 14.50 น.
Mod สั้นๆ......นักการเมืองเฮงซวย.
24 เม.ย. 2562 เวลา 13.41 น.
ดูทั้งหมด