เมืองไทย 360 องศา
เห็นตัวเลข ส.ส.ฝ่ายค้านที่โหวตหนุนองค์ประชุมในวันโหวตล้มญัตติการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลกระทบจากการกระทำของประกาศและคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และการใช้อำนาจของหัวหน้า คสช.ตามมาตรา 44 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่มีจำนวนถึง 10 คน โดยแยกเป็นรายพรรคจะเห็นเป็นตัวเลขที่น่าสนใจดังนี้ จากพรรคเพื่อไทย 3 คน พรรคอนาคตใหม่ 2-3 คน พรรคเศรษฐกิจใหม่ 4 คน และพรรคประชาชาติ 1 คน
ที่ผ่านมาเสียงสนับสนุนของฝ่ายรัฐบาลที่สามารถโหวตได้ตามปกติ จะมีอยู่ประมาณ ไม่เกิน 254 เสียง แต่เมื่อหักเสียงของประธานสภาที่มักจะงดออกเสียงรวมไปถึง ส.ส.อาวุโสบางคนที่มีปัญหาสุขภาพ ก็รวมแล้วไม่เกิน 248-250 เสียงเท่านั้น ขณะที่ฝ่ายค้านก็ราวๆ 246 เสียง เป็นตัวเลขที่ห่างกันแบบฉิวเฉียด ยิ่งกว่าปริ่มน้ำ เพราะสามารถ “จม” เรือได้ตลอดเวลาหากมีการเผลอเรอเหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นตอนที่แพ้โหวตตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลกระทบจากการใช้มาตรา 44 ให้กับพรรคฝ่ายค้าน รวมไปถึงการวอล์กเอาท์ของฝ่ายค้านทำให้สภาล่มมาแล้วถึง 2 ครั้ง
ดังนั้นด้วยภาพรวมดังกล่าวจึงถือว่ารัฐบาลผสมภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่ค่อยมีเสถียรภาพที่มั่นคงนัก ขณะเดียวกันเมื่อรัฐบาลมีเสียงสนับสนุนจากหลายพรรคและมีเสียงมากกว่าฝ่ายค้านเสียงไม่ถึง 5 เสียงดังกล่าว แน่นอนว่าย่อมมีการต่อรองภายในตลอดเวลา เพราะอย่างที่รู้กันดีว่าทุกเสียงย่อมมีความหมาย และอย่าได้แปลกใจที่จะได้เห็นบรรดา ส.ส.พรรคเล็กๆที่มีเสียงเพียงแค่ 1 เสียงจะเคลื่อนไหวต่อรองอยู่ตลอดเวลา
อย่างไรก็ดีที่ผ่านมาฝ่ายรัฐบาลโดยเฉพาะพรรคแกนนำคือพรรคพลังประชารัฐ รวมไปถึงแกนหลักในรัฐบาลอย่างพวก “3 ป.” ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ก็รับรู้ถึงจุดอ่อนข้อนี้ดี แต่เมื่อการเมืองในช่วงการจัดตั้งรัฐบาลที่ยังมี “เดดล็อก” แบ่งเป็นสองขั้ว รวมทั้งด้วยผลของจำนวน ส.ส.ของพรรคสองขั้วหลักคือพรรคพลังประชารัฐกับพรรคเพื่อไทยต่างก็มีคะแนนเสียงที่ก้ำกึ่งกัน ทำให้การ “จับขั้ว” การเมืองตั้งรัฐบาลในช่วงแรกจึงมีข้อจำกัด
แต่เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่งข้อจำกัดดังกล่าวเริ่มคลี่คลายลงไปเรื่อยๆ เมื่อมีแนวโน้มว่ารัฐบาลที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะอยู่ได้นานอีกพักใหญ่ ซึ่งจะด้วยองค์ประกอบทางด้านอำนาจรัฐที่คำยันอยู่อย่างเหนียวแน่นก็ตาม และด้วยเหตุผลและปัจจัยที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกนักการเมืองก็คือ ไม่มีใครอยากเป็นฝ่ายค้าน แทบทั้งหมดอยากอยู่ฝ่ายรัฐบาลหรือเป็นรัฐบาล ซึ่งเป็นธรรมชาติของพวกนักการเมืองเมืองไทยมาช้านานแล้ว
ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งจากฝั่งแกนนำรัฐบาลก็มีรายงานข่าวมาตลอดเวลาเช่นเดียวกันว่า มีการเคลื่อนไหวทาบทาม ส.ส.จากพรรคฝ่ายค้านมาร่วมสนับสนุนรัฐบาล ซึ่งอาจจะมีแบบหลายรูปแบบ เช่นแรกๆอาจจะเป็นแบบ “เฉพาะกิจ” หรือเป็น “จ็อบๆ” สำหรับการโหวตในญัตติหรือในร่างพระราชบัญญัติที่สำคัญ เช่น ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ เป็นต้น
แต่เมื่อเวลาผ่านไป จากรายการ “เฉพาะกิจ” มาในระยะหลังก็จะเริ่มเห็นเป็นลักษณะสนับสนุน “แบบถาวร” มากขึ้น แม้ว่าจะมีหลายเหตุผลในการอธิบาย แต่ ส.ส.ในพรรคฝ่ายค้านที่ว่านั้นก็ถูกเรียกว่า “งูเห่า” นั่นแหละ บางพรรคอาจเป็นเพราะมีปัญหาภายในจนทำให้เกิดความอึดอัดเป็นทุนเดิมในเรื่องแนวทางของพรรคที่ต่อเนื่องมาจากการเมืองท้องถิ่นขึ้นมาจนถึงระดับชาติ ในเรื่องการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งท้องถิ่น เป็นต้นจนทำให้เกิดความขัดแย้งสะสม หรือบางพรรคก็มีปัญหาเรื่อง “ท่อน้ำเลี้ยง” อุดตัน เนื่องจากเจ้าของพรรคไม่ยอมลงทุนหลังจากเห็นว่าไม่ได้ควบคุมอำนาจรัฐ
แต่จะด้วยเหตุผลใดก็ตามท่าทีของของบรรดา “งูเห่า” จากพรรคฝ่ายค้านเหล่านี้ที่เวลานี้เริ่มเห็นจำนวนชัดเจนแล้วไม่น้อยกว่า 10 เสียง ขณะที่มีรายงานข่าวในจำนวนจริงน่าจะมีมากกว่านี้ หรือจำนวนราวไม่ต่ำกว่า 20 เสียงที่พร้อมลงมติให้ฝ่ายรัฐบาลเมื่อถึงคราวจำเป็น เช่น พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 63 ที่กำลังจะเข้าสู่การพิจารณาในวาระ 2-3 รวมทั้งญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำลังจะมาถึงในต้นปีหน้า ซึ่งล่าสุดที่มีความเคลื่อนไหวชัดเจนที่สุดในลักษณะแบะท่าพร้อมเข้าร่วมรัฐบาลแล้วก็คือพรรคเศรษฐกิจใหม่ที่มีเสียงทั้งหมด 5 เสียงหันมาสนับสนุนรัฐบาลแล้วไม่ต่ำกว่า 4 เสียง
แต่ขณะเดียวกันอีกด้านในทางการเมืองก็ส่งผลกระทบไปได้ทั้งสองมุม นั่นคือในมุมของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน แน่นอนว่า สำหรับฝ่ายรัฐบาลโดยเฉพาะสำหรับแกนนำรัฐบาลเมื่อมี ส.ส.ฝ่ายค้านหันมาสนับสนุนเพิ่มขึ้นก็ย่อมมีผลดีกับเสถียรภาพที่จะมีความมั่นคงขึ้น อีกทั้งยังสามารถลดอำนาจการต่อรองจากบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลลงไปได้ในระดับหนึ่ง
อีกด้านหนึ่งในพรรคร่วมฝ่ายค้านที่เวลานี้เริ่มเกิดความปั่นป่วนภายใน อย่างน้อยก็เกิดความระแวง มีความขัดแย้งกันเริ่มรุนแรงมากขึ้น และที่น่าจับตาก็คือ เมื่อพรรคเศรษฐกิจใหม่มีแนวโน้มย้ายข้าง มันก็ย่อมส่งผลต่อเอกภาพภายในของพรรคร่วมฝ่ายค้านในแบบที่เรียกว่า “ทางใครทางมัน”
ดังนั้นหากให้สรุปนาทีนี้การย้ายข้างของพรรคเศรษฐกิจใหม่เข้าร่วมรัฐบาล มันก็เหมือนกับการทลายกำแพงสองขั้วการเมือง จะสร้างความปั่นป่วนให้กับพรรคฝ่ายค้านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากปริมาณงูเห่าที่คาดว่าอีกไม่นานจะเปิดหน้าให้เห็นแบบชัดเจน ไม่แคร์กันอีกต่อไป !!
AuyAuy อยู่ในโหมดต่อรองราคา_อิ่มกันไป ไม่ได้เป็นรัฐบาลก็อิ่มได้55555ฉลาดจริงๆเลย
08 ธ.ค. 2562 เวลา 22.55 น.
Moze พรรคส้มล้มใครจะอยู่ละค้าบ ไม่มีอะไรใหม่แถมอุดมการณ์ไม่ชัดเจน
08 ธ.ค. 2562 เวลา 21.32 น.
naawan สื่อสลิ่ม
08 ธ.ค. 2562 เวลา 23.12 น.
ได้อะไรกับการเลือกตั้งบ้างเอ่ย ประชาธิปไตยเบ่งบานทะโร่ๆๆๆ
08 ธ.ค. 2562 เวลา 22.42 น.
A. 51 สงสาร คนไทย ที่ต้องจ่ายภาษี ไม่รู้เหมือนกันว่าเอาเงินที่ใหนไปซื้องูเห่า
09 ธ.ค. 2562 เวลา 00.08 น.
ดูทั้งหมด