นาทีนี้หากนำคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อปี 2547 กรณีส.ส.เสียบบัตรลงคะแนนโหวตพ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ในสมัยรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” มาเทียบเคียงกับกรณีมีการเสียบบัตรลงคะแนนแทน ส.ส.พรรคภูมิใจไทยโหวตร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 มีความเสี่ยงอย่างมากที่พ.ร.บ.งบประมาณปี 2563 เป็นโมฆะ ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
เมื่อดูจากคำวินิจฉัยของรัฐธรรมนูญก่อนหน้าในคดีพ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท อาจกล่าวได้ว่าการที่ส.ส.เสียบบัตรลงคะแนนกันนั้น เป็นการ “ทรยศความไว้วางใจของประชาชน”
ประเด็นนี้ ศาลรัฐธรรมนูญเขียนไว้อย่างชัดเจนในคำวินิจฉัยที่สำคัญในคดีการออกพ.ร.บ.เงินกู้ว่า“การกระทำดังกล่าว นอกจากจะเป็นการละเมิดหลักการพื้นฐานของการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งถือได้ว่า เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ซึ่งต้องปฏิบัติหน้าที่โดยไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมาย หรือการครอบงำใดๆ และต้องปฏิบัติด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย โดยปราศ จากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 122 แล้ว ยังขัดต่อหลักความซื่อสัตย์สุจริต ที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ปฏิญาณตนไว้ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 123
และขัดต่อหลักการออกเสียงลงคะแนนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 126 วรรคสามที่ให้สมาชิกคนหนึ่งมีเพียงหนึ่งเสียง ในการออกเสียงลงคะแนน มีผลทำให้การออกเสียงลงคะแนน ของสภาผู้แทนราษฎรในการประชุมพิจารณานั้น เป็นการออกเสียงลงคะแนนที่ไม่สุจริต ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่แท้จริงของผู้แทนปวงชนชาวไทย เมื่อกระบวน การออกเสียงลงคะแนนในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญจึงถือว่า มติของสภาผู้แทนราษฎรในกระบวนการตราร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นมติที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ”
การกระทำดังกล่าวนอก จากเข้าข่ายทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชนแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงงบ ประมาณปี 2563 วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท ต้องล่าช้าออกไปอีก หลังจากล่าช้ามาแล้วเกือบ 4 เดือน จากปกติที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2562
ความล่าช้าของงบประมาณรายจ่ายประจำปีจากการกระทำดังกล่าว ยังสร้างความเสียหายให้แก่ระบบเศรษฐกิจของไทยที่ไม่อาจประเมินเป็นมูลค่าได้เพราะจนถึงขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินคดีนี้เมื่อใด และผลจะออกมาอย่างไร แม้จะมีการประเมินว่าหลังมีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความแล้ว ตามกระบวนการของศาลจะใช้เวลาเร็วที่สุดในการพิจารณาประมาณ 15 วัน และอย่างช้าที่สุดประมาณ 2 เดือน
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจ ที่ภาคเอกชนจะออกมาแสดงความกังวลถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ บางรายถึงขั้นฟันธงได้ทันทีว่าเศรษฐกิจประเทศจะพังพินาศ หากรัฐบาลมีเพียงแต่งบประจำรายจ่ายที่จำเป็น ไม่มีงบลงทุนผลักดันโครงการใหม่ๆ เพราะไม่เกิดการหมุนเวียนของเงิน
ยิ่งเจาะลึกลงไปในโครงสร้างงบประมาณปี 2563 จำนวน 3.2 ล้านล้านบาท จะพบว่างบประมาณที่จะกระทบจากการบังคับใช้พ.ร.บ.งบประมาณล่าช้าคือรายการงบลงทุน ซึ่งมีวงเงินรวมกันทั้งสิ้น 644,425.69 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นงบลงทุนใหม่ทั้งสิ้น 435,108.34 ล้านบาท จะถูกแช่แข็งทั้งก้อน นอก จากนี้ยังมีในส่วนของงบ ผูกพันที่ได้ว่าจ้างเอกชนไปก่อนหน้านี้และอยู่ระหว่างการก่อสร้างโครงการก็จะยังไม่สามารถเบิกจ่ายได้เช่นกัน แม้ว่าเอกชนจะก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยก็ตาม
ถึงตรงนี้อาจกล่าวได้ ว่ากรณีที่เกิดขึ้น นับการทรยศความไว้วางใจของประชาชน ที่ไม่อาจประมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจได้
คอลัมน์ ถอดสูตรคุย โดย บรรทัดเหล็ก
หน้า 14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,543 วันที่ 26-29 มกราคม 2563
Issara Freedom นี่แหล่ะ
ปล้นชาติ ปล้นประชาธิปไตย เข้ามา
โกงเลือกตั้งค้านสายตาคนจำนวนมาก
สันดานออกตั้งแต่แรก
พอเข้ามาก็ทำตามสันดานเดิม
ใช้อำนาจควบคุมประชาชน
แต่คุมคนของตัวเองไม่ได้
แสดงถึงความต่ำชั้นของปัญญา
และศักยภาพต่ำๆในการเป็นผู้นำ
.....
แต่เชื่อมะ ว่า
ความหน้าด้านจะอยู่ต่อ....สูงระดับโลก
25 ม.ค. 2563 เวลา 23.24 น.
ทักษ์ เสื่อมเสียหมดสส.รัฐบาลสร้างแต่ปัญหา สส.แต่ละคนออกมาพูดช่วยคนทำผิด ทำให้เห็นชัดว่าไม่มีคุณภาพ ไม่มีความรู้ความสามารถ วุฒิภาวะต่ำทราม สิ่งดีๆคิดไม่ได้ แต่ถ้าเรื่องชั่วเรื่องโกงกลับคิดได้ ช่วยเหลือกันเต็มที่ และไม่แคร์สายตาประชาชนอย่างไม่เขินอายเลย..ชาติหน้าตอนบ่ายๆก็ปราบโกงไม่ได้ถ้าปท.ไทยยังมีสส.จัญไรพวกนี้อยู่จริงมั้ย?
25 ม.ค. 2563 เวลา 10.41 น.
ดูทั้งหมด