สถานการณ์การติดเชื้อไวรัสโควิด-19วันที่ 30 มิ.ย.63 พบเพิ่ม 2 ราย เป็นชายวัย 27-28 ปี เดินทางกลับจากประเทศกาตาร์ กักตัวในสถานที่ควบคุมโรคแห่งรัฐ เมื่อ16มิ.ย.63 ตรวจครั้งแรกไม่มีเชื้อ มาพบในการตรวจครั้งที่ 2 วันที่ 27 มิ.ย.63
ไม่พบการติดเชื้อจากภายในประเทศเป็นวันที่ 36 ผู้ป่วยกลับบ้านอีก 3 ราย รักษาหายสะสม 3,056 ราย อยู่ในโรงพยาบาล 57 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,171 ราย
การพบเชื้อไวรัสโควิด-19 ของโลก ครบ 6 เดือนพอดี นับจากรายงานครั้งแรกวันที่ 31 ธ.ค.62
วันที่ 1 ก.ค.63 เป็นวันเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุม ป้องกันโรค ระยะที่ 5 ในกลุ่มธุรกิจบริการสีแดง ซึ่งเป็นกิจการ กิจกรรม ที่มีความเสี่ยงสูง อาจเป็นสาเหตุให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อโควิด 19 ได้ เช่น สถานบันเทิง ผับ บาร์ อาบ อบ นวด ร้านเกมส์ คาราโอเกะ พ.ญ.พรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) กล่าวว่า รัฐบาลขอให้ทุกคนปรับตัว ใช้ฐานวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ลงทะเบียนเข้า-ออก ผ่านแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ทุกครั้งที่เข้าใช้บริการ เพื่อง่ายต่อการสอบสวนโรค ติดตามผู้สัมผัสเข้าสู่การเฝ้าระวังกักโรคอย่างรวดเร็ว
วันเดียวกัน ยังเป็นวันแรกที่สถานศึกษาเปิดการเรียนการสอนพร้อมกันทั่วประเทศ พร้อมด้วยมาตรการป้องกันการแพร่เชื้อในสถานศึกษาตามแนวทางที่กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการกำหนด ได้แก่ การคัดกรองโรคระบบทางเดินหายใจ วัดไข้ก่อนเข้าโรงเรียน สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่อยู่ในโรงเรียน จัดจุดล้างมือด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ เว้นระยะห่างในห้องเรียน เน้นการจัดการเรียนการสอนเพื่อลดความแออัด ห้องเรียนละไม่เกิน 20-25 คน
พ่อแม่ ผู้ปกครอง ต้องร่วมมือในการเตรียมอุปกรณ์ป้องกันโรคให้บุตรหลาน เช่นหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ เมื่อเลิกเรียนกลับบ้านให้รีบอาบน้ำทันที หากเด็กป่วย มีไข้ ไอ จาม ต้องหยุดเรียนอยู่บ้านเพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ โดยแนะให้ผู้ปกครองใช้แพลตฟอร์ม THAISTOPCOVID ในการประเมินมาตรการป้องกันโรคในสถานศึกษาเพื่อความปลอดภัยของเด็ก
นอกจากนี้ หากมีคนในครอบครัวป่วย มีไข้ ไอ ก็ต้องระวังการแพร่เชื้อด้วยเช่นกัน
ทางกรมอนามัย ยังให้คำแนะนำกับโรงเรียนด้วยว่า หากเด็กนักเรียนเป็นไข้หวัด 5 คนขึ้นไป ให้รีบประสานงานกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพื่อสอบสวนโรคทันที
พร้อมกับการผ่อนคลายมาตรการให้กิจการ กิจกรรมกลุ่มสีแดง เปิดดำเนินการ ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)วันที่ 30มิ.ย.63 มีมติขยายเวลาการประกาศใช้ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ออกไปอีก 1 เดือน มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.63 ถึงวันที่ 31 ก.ค. 63พร้อมกับการผ่อนคลายมาตรการระยะที่ 5 ด้วยเหตุผลว่า ต้องควบคุมการเดินทางเข้า-ออก การบูรณาการอย่างเป็นเอกภาพ ไม่ได้คง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อประโยชน์อื่นใด เพื่อเรื่องของสาธารณสุขล้วน ๆ
ขณะที่สถานการณ์โลก ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 159,056 ราย สะสม 10,408,433 เสียชีวิตถึง 507,497 ราย !
ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการด้านนวัตกรรมการแพทย์ และการวิจัยและพัฒนา ของ ศบค.แจ้งผลการวิเคราะห์กรณีศึกษาประเทศสวีเดนที่ใช้นโยบายต่างจากประเทศอื่นโดยไม่ล็อกดาวน์ ปล่อยกิจการ กิจกรรมส่วนใหญ่ดำเนินไปตามปกติ ไม่ปิดโรงเรียน สถานที่ราชการ ร้านอาหาร กิจการธุรกิจเอกชนมีเป้าหมายให้ประชากรส่วนใหญ่ติดเชื้อจนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd Immunity) โดยศึกษาว่า 3 เดือนที่ใช้มาตรการนี้ ได้ผลอย่างไร เทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคสแกนดิเนเวีย ซึ่งมีลักษณะและโครงสร้างทางสังคม เศรษฐกิจใกล้เคียงกัน คือเดนมาร์ก นอร์เวย์ ฟินแลนด์ ที่มีความเข้มงวดกว่า คือปิดโรงเรียนทุกระดับ ปิดมหาวิทยาลัย ปิดกิจการส่วนใหญ่ ให้ประชาชนอยู่กับบ้าน ทำงานจากบ้าน ควบคุมการเดินทางระหว่างประเทศ ตั้งแต่ช่วงแรกของการระบาด จนการติดเชื้อลดลงจึงค่อยๆผ่อนคลายมาตรการ จนขณะนี้กิจการส่วนใหญ่กลับมาเปิดอีกครั้งแล้ว
เลขาธิการ วช. ระบุว่า การวิเคราะห์ในด้านการแพทย์และสาธารณสุข พบว่า ประเทศสวีเดน มีผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 จำนวน 65,137 ราย หรือเท่ากับ 6,450 รายต่อประชากรหนึ่งล้านคน
เดนมาร์ก 12,675 ราย (2,188 ต่อประชากรหนึ่งล้านคน)
นอร์เวย์ 8,853 ราย(1,633 ต่อประชากรหนึ่งล้านคน)
ฟินแลนด์ 7,198ราย (1,299 ต่อประชากรหนึ่งล้านคน)
เท่ากับว่า อัตราการติดเชื้อโรคโควิด-19 ในสวีเดน สูงกว่าเดนมาร์ก ถึง 3 เท่า
ด้านการเสียชีวิต สวีเดน มีผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 จำนวน 5,280 ราย หรือเท่ากับ 523 รายต่อประชากรหนึ่งล้านคน
เดนมาร์ก 604 ราย (104 ต่อประชากรหนึ่งล้านคน)
นอร์เวย์ 249 ราย (46 ต่อประชากรหนึ่งล้านคน)
ฟินแลนด์ 328 ราย (59 ต่อประชากรหนึ่งล้านคน)
เท่ากับอัตราการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ในสวีเดนสูงกว่าเดนมาร์ก 5 เท่า
การศึกษา ร่วมกับข้อมูลด้านเศรษฐกิจและแรงงาน สรุปว่า มาตรการไม่ล็อกดาวน์ไม่ได้ทำให้เกิด Herd immunity เนื่องจากผู้ที่ติดเชื้อขณะนี้ยังห่างไกลกับเป้าหมายที่ต้องมีถึง 60% เนื่องจากผลการตรวจหาแอนติบอดีต่อเชื้อนี้ในประชากรพบว่ามีเพียง 7% ที่มีแอนติบอดี บ่งว่าประชากรส่วนใหญ่ของสวีเดนยังจะมีโอกาสติดเชื้อได้ต่อไป
การศึกษานี้ คงเป็นข้อมูลสำหรับคนส่วนหนึ่งที่อาจไม่สบายใจที่เห็นความเข้มงวดในมาตรการต่าง ๆของไทย
ปัญหามีเพียงว่า จะทำอย่างไรที่ความเข้มงวด การ์ดไม่ตก แต่มีช่องทางและโอกาสให้คนทำมาหากิน สร้างรายได้ ……หายใจคล่องขึ้น