‘ร่างทรง’ นับเป็นพิธีกรรมที่ยังคงเกิดขึ้นในปัจจุบัน ถึงแม้เราจะก้าวเข้าสู่ไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ผู้ที่หันไปพึ่งส่วนใหญ่หวังที่จะได้พูดคุยติดต่อสื่อสารกับคนที่จากไปหรือองค์เทพที่ตัวเองนับถือ โดยผ่านคนที่อ้างตัวว่าเป็นสื่อกลาง
‘ความเชื่อ-ความศรัทธา’ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากใจของตัวเรา หากเชื่อในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ความศรัทธามักจะตามมาเสมอ ถึงแม้จะเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น แต่ก็ทำให้สบายใจ แต่ทว่าช่องโหว่จุดนี้เองที่ก่อให้เกิด ‘มิจฉาชีพ’ ในรูปแบบ ‘ร่างทรง’ โดยอาศัยความเชื่อและความศรัทธา
เสาร์นี้ในอดีต : สัปดาห์นี้เหตุการณ์อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นในเดือน ก.ค. แต่เป็นเรื่องราวของมิจฉาชีพที่มาในรูปแบบร่างทรง ซึ่งปรากฏบนหน้าสื่อให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง และยิ่งในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 อาจจะทำให้บางคนเจอความเปราะบางของชีวิต จนต้องพึ่งความเชื่อ แต่บางรายอาจจะต้องเครียดหนักเพราะโดนหลอก!!
ร่างทรงหื่นลวงสาวอ้างมีเคราะห์
'สะเดาะเคราะห์' หนึ่งในพิธีทีหลายคนเชื่อว่าจะช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย เสริมความสิริมงคลให้ตัวเองให้เจอแล้วสิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิต แต่ทว่าในบางครั้งกลับกลายเป็นฝันร้ายของผู้เสียหาย เพียงเพราะมิจฉาชีพอาศัยอาศัยช่องโหว่เรื่องความเชื่อมาเป็นกลลวง
เรื่องราวที่หยิบมาในครั้งนี้เกิดขึ้น จ.ชลบุรี ช่วงมีนาคม 64 ที่ผ่านมา จากกรณีสาววัย 22 หายตัวไปอย่างลึกลับพร้อมรถเก๋ง ตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งทางพี่สาวได้ประกาศตามหาบนเฟซบุ๊ก ก่อนจะตรวจพบสัญญาณติดต่ออยู่บริเวณพื้นที่ ต.หนองซ้ำซาก
แต่เมื่อนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจไปยังที่จุดเกิดเหตุก็สามารถจับกุม นายปิยะวัฒน์ เพิ่มยิ่งยง อายุ 43 ปี โดยอ้างตัวเป็นร่างทรง ยอมรับว่าเสพยา และรับว่าสาววัย 22 บุคคลที่ถูกตามหารู้จักกันจริง แต่ไม่ได้ลวงไปทำอนาจารแต่อย่างใด
แต่ทว่าพี่สาวผู้เสียหายได้แฉว่า ตนได้รับแชทจาก นายปิยวัฒน์ว่า ให้ไปทำพิธีแก้กรรม แต่ได้ปฏิเสธไป ต่อมาทราบว่าร่างทรงได้โทรหาน้องสาวให้ขับรถมารับไปทำธุระ จนมารู้ข่าวน้องหายก็โพสต์ตามหา และรู้ว่าถูกล่อลวงให้เสพยาและทำอนาจาร โดยมีพฤติกรรมอ้างตัวเป็นร่างทรง พูดจาหว่านล้อมให้หลงเชื่อในทำนองว่ามีเคราะห์ต้องแก้กรรม ทำพิธียกบายศรีเสริมความเป็นมงคล แล้วชีวิตจะราบรื่น สุดท้ายเป็นการหลอกลวง
ร่างทรงลวงทรัพย์ สูญเงินเป็นล้าน!
อย่างที่เผยไปข้างต้นมิจฉาชีพมักนำ ‘ความเชื่อ’ มาเป็นกลลวงและแฝงมากับความช่วยเหลือโดยอาศัยช่วงผู้เสียหายสภาพจิตใจย่ำแย่และต้องการที่พึ่งทางจิตใจ ก่อนที่จะหลอกล่อเหยื่อทีละเล็กทีละน้อย จนสูญเงินเป็นล้าน
จึงได้หยิบเรื่องราวของหญิงวัย อายุ 51 เจ้าของธุรกิจทำหลังคา ซึ่งเจ้าตัวได้เข้าร้องเรียนกับ ทนายรณณรงค์ แก้วเพชร หลังตกเป็นเหยื่อกลุ่มมิจฉาชีพอ้างตัวเป็นร่างทรง หลอกลงทุนสูญเงินกว่าสิบล้านตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน
ผู้เสียหายเผยว่าได้รู้จัก น.ส.ศิริพร อ้างว่าตนเป็นร่างทรงของหลวงปู่เปิ่น โดยทุกครั้งที่เข้าร่างตนจะได้กลิ่นหมากพลู และยังสามารถเรียกวิญญาณลูกของตนที่เสียชีวิตมาเข้าร่างได้ จึงทำให้ตนหลงเชื่อและศรัทธา โดยมิจฉาชีพมักให้ผู้เสียหายลงทุนและอ้างว่าวิญญาณลูกของตนมาเข้าร่างให้ช่วยเหลือ ทั้งซื้อบ้าน ลงทุนเปิดโรงงาน จนมารู้ที่หลังว่าถูกหลอกจนสูญเงินรวมกว่า 42 ล้านบาท
‘ฆ่าเพื่อบูชาตามความเชื่อ’
นอกจากลวงและหลอกแล้ว ในบางครั้งกลับกลายเป็นคดีฆาตรกรรม จนเป็นเรื่องเล่าขานกันมาจนถึงปัจจุบันกับเรื่องราวฆ่าเพื่อบูชาตามความเชื่อใน จ.ราชบุรี
เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อปี 2547 เกิดเหตุสยองขวัญภายในบ้านหลังหนึ่งใน อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี พบศพเด็กหญิงวัย 12 ปี นอนสิ้นลมหายใจอยู่กลางบ้าน ข้างกันพบโต๊ะวางอยู่คล้ายกับกำลังทำพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ มีเส้นผมจำนวนหนึ่งแช่น้ำอยู่ในกะละมัง ที่นอนถูกนำไปเผาทิ้งข้างบ้าน และมีดอีโต้เปื้อนเลือดตกอยู่ใกล้ๆ ศพ
ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบจุดเกิดเหตุ จู่ ๆ เสียงสวดมนต์ด้วยภาษาบาลี จึงพบผู้ต้องหาไม่ใช้ใครที่ไหนแต่เป็นญาติของเด็กทั้งหมด 4 คน
จากการสอบสวนทราบว่า ทั้งสี่คนมีอาการทางสมอง และมีอาชีพเป็นร่างทรงเจ้า ส่วนที่ลงมือฆ่าลูกสาวทิ้งนั้น เพื่อทำพิธีปลดปล่อยดวงวิญญาณไปอยู่กับพระอินทร์ตามความเชื่อของลัทธิ เพราะเชื่อว่าลูกสาวนำความชั่วร้ายติดตัวจำเป็นต้องฆ่าทิ้ง
‘สั่งห้ามเข้าร่างทรง!’
เชื่อหรือประเทศไทยเคยประกาศห้ามร่างทรง!
ครั้ง พ.ศ.2434 ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชการที่ 5 ทรงมีพระราชโองการ ประกาศห้ามคนไทยและจีนทรงเจ้าเข้าผีในที่ต่างๆ เพราะมีคนทรงเจ้าคิดอ่านการทุจริตจุดไฟเผาให้สมจริงดังคำทำนายของตน
" ห้ามมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดไทยฤาจีนเข้าทรงลงเจ้าในเวลานี้ เป็นอันขาด ถ้าผู้ใดเข้าทรงลงเจ้าในที่ใด ตำบลใดให้กองตระเวนอำเภอ ตำบล จับตัวมาพิจารณาคดี และในปี พ.ศ. 2435 กรมพระนครบาล ออกกฎหมายห้ามการ "ทรงเจ้าเข้าผี" อีกฉบับแต่ความเชื่อการทรงเจ้าก็ยังเฟื่องฟูมาถึงปัจจุบัน”
รู้ทันเหลี่ยมร่างทรง!
ทั้งนี้ผู้ใดถูกร่างทรงหลอกลวงเอาเงิน ไม่ว่าจะในรูปแบบแบบค่าครู ค่าวัตถุมงคล หรือค่าพิธีกรรม ซึ่งการกระทำเช่นนี้เป็นการหลอกลวงผู้อื่นและได้ไปซึ่งทรัพย์สินมีความผิดฐานฉ้อโกงต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
“เรื่องราวที่เผยไปข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นจริงในสังคมปัจจุบัน เชื่อว่าเรื่องการร่างทรงจะอยู่กับความเชื่อและความศรัทธาของผู้ที่นับถือไปอีกยาวนาน”
อ้างอิง
Mike อย่างมงาย เราก็จะไม่โดนหลอก
23 ก.ค. 2564 เวลา 20.09 น.
jib อาศัยหากินกับคนที่เค้ากำลังมีความทุกข์กับคนที่ต้องการที่พึ่ง บาปหนา
23 ก.ค. 2564 เวลา 18.03 น.
สิทธิพันธ์ IL.ปทุม เวลาเจ้าเข้าทรง แท้ไม่แท้เอาธูปเป่าแดงๆจี้ตามแขนขาคับ
ถ้าแท้จะไม่สะดุ้ง ไม่เจ็บ
เวลาใครถูกผีเข้าก็ใช้ได้คับ ถ้าผีเข้าจริงก็จะไม่เจ็บ
เจ็บตอนผีออก
24 ก.ค. 2564 เวลา 13.18 น.
แม่น้องมุกจัง คนท่ีโดนร่างทรงหลอกคือคนที่ไม่ยอมรับความจริง อ่อนแอ ไมาสามารถยอมรับสภาพที่เป็นอยุ่ได้ เพราะในโลกนี้ไม่มีใคร แก้กรรมให้ใครได้ กรรมใคร กรรมมัน หลีกหนีไม่ได้
24 ก.ค. 2564 เวลา 10.12 น.
T "curse my name" ตอนนี้ร่างทีงไปหลบอยู่เงียบๆครับ แต่หมอดู และพวกใบ้หวยได้ออกทีวี ออกสื่อกันเอิกเกริกแทนแล้วครับ
25 ก.ค. 2564 เวลา 05.25 น.
ดูทั้งหมด