ไอที ธุรกิจ

แผน-ทิศทางต้องชัดเจน กู้เงินครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์

ฐานเศรษฐกิจ
อัพเดต 08 เม.ย. 2563 เวลา 05.05 น. • เผยแพร่ 08 เม.ย. 2563 เวลา 05.00 น. • Thansettakij

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ณ วันที่ 7 เมษายน 2563 มีผู้ติดเชื้อเพิ่ม 38 คน รวมผู้ป่วยสะสม 2,258 คน หายเพิ่ม 31 คน รวม 824 คน เหลือผู้ป่วย 1,408 คน เสียชีวิตสะสมคงที่ 26 รายสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทย แม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อมีอัตราลดลง แต่ยังคงอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่น่าไว้วางใจ หลายจังหวัดได้ยกระดับมาตรการควบคุมป้องกันขึ้นสูงสุดมากไปกว่าการประกาศเคอร์ฟิวตั้งแต่เวลา 22.00-04.00 น. ของศูนย์บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 (ศบค.) ด้วยซ้ำ

หลายฝ่ายระดมมาตรการแก้ปัญหาอย่างเต็มกำลัง เพื่อระงับยับยั้ง หน่วงโรคไม่ให้ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งเดินหน้ารณรงค์ขอความร่วมมือให้อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ทำงานที่บ้าน ซึ่งได้ผลที่น่าพอใจตามสมควร พร้อมกับการควบคุมการเดินทางโดยเฉพาะจากต่างประเทศที่เข้ามายากขึ้น เมื่อเข้ามาแล้วต้องกักกันสอบสวนโรค 14 วัน แต่ยังมีบางส่วนที่ขาดวินัย พร้อมที่จะแหกกรอบตลอดเวลา

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

การใช้มาตรการที่เข้มข้นมากขึ้น เพื่อสกัดยับยั้งการแพร่กระจายเชื้อ ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในหลายภาคส่วนหยุดชะงักลง รวมทั้งผลพวงของโควิด-19 และผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นก่อนหน้าส่งผลให้เศรษฐกิจเสียหายหนักขึ้น ธุรกิจเลิกจ้างงาน แรงงานตกงานจำนวนมากขึ้น รัฐบาลได้ออกมาตรการเยียวยาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าบรรเทาผลกระทบระยะสั้น

อย่างไรก็ดี ผลกระทบทางเศรษฐกิจรอบนี้รุนแรงมากที่สุดในรอบหลายปี รัฐบาลจำต้องกู้เงินโดยใช้เม็ดเงินรวมกันประมาณ 2 ล้านล้านบาท โดยออกพร.ก.กู้เงินโดยกระทรวงการคลัง วงเงิน 1 ล้านล้านบาท ใช้ดูแลโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม ผู้ประกอบการ เกษตรกร ลูกจ้าง ค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขและอื่นๆ

การออกพ.ร.ก.จัดตั้งกองทุนเพื่อดูแลตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน วงเงิน 4 แสนล้านบาท เพื่อให้ธปท.เข้าไปซื้อตราสารหนี้โดยตรงผ่านกองทุน การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบในรูปแบบโครงการเงินกู้แบบผ่อนปรนอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษ หรือซอฟต์โลน โดยธปท.ปล่อยกู้สถาบันการเงินไปปล่อยต่อให้ลูกค้าอีก 5 แสนล้านบาท รวมทั้งการตัดลดงบรายจ่ายปี 2563 ของแต่ละกระทรวง 10% เม็ดเงินประมาณ 6 หมื่นล้านบาท รวมกับซอฟต์โลนคงเหลือของธนาคารออมสินอีก 1 แสนล้านบาท

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

การออกพ.ร.ก.กู้เงินครั้งนี้แม้จะเป็นจำนวนสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่เกิดจากเหตุจำเป็นในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลจำต้องรอบคอบมีแผนการใช้เงินที่ตรงเป้าหมายชัดเจน ทั้งการเยียวยาระยะสั้นและการฟื้นฟูผลกระทบทางเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาว ที่สำคัญต้องดูแลไม่ให้เกิดการรั่วไหล พร้อมกับมีแผนชำระหนี้เงินกู้อย่างเป็นระบบ บอกทิศทาง เป้าหมายให้ประชาชนรับทราบอย่างชัดเจน ต้องคำนึงให้จงหนัก ใช้เงินของประชาชนให้คุ้มค่าอย่างแท้จริง

ดูข่าวต้นฉบับ
ความเห็น 8
  • T ณัทธนกฤต 4889
    เอาละไอ้สาดๆๆ ด่าทักษิณไว้เยอะ ประชาชนต้องใช้หนี้แทน 7 ชั่วโคตร คราวนี้ถึงทีมึงละ
    08 เม.ย. 2563 เวลา 12.05 น.
  • ทนายศักดา
    ขอให้เป็นนายกยันตายเลย ขออย่าให้มีใครมารับขี้ใช้หนี
    08 เม.ย. 2563 เวลา 13.00 น.
  • happiness
    กู้เงินครั้งใหญ่ขนาดนี้ ก็ยกเลิกงบที่จะใช้ซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ของทหารออกให้หมดด้วยสิครับ ไว้ใช้หนี้เขาหมดเมื่อไรค่อยคิดซื้อใหม่ ไม่ใช่บอกขอกู้มาใช้เรื่องนึงแต่เอาไปใข้อีกเรื่องนึงนะครับ แล้วบรรดาท่านผู้บริหารประเทศทั้งหลายก็ร่วมกันบริจาคเงินช่วยเหลือประเทศชาติยามเดือดร้อนบ้างไม่ใช่ว่าให้ประชาชนดิ้นกันเองแถมพอได้เงินประชาชนบริจาคมาก็เอาไปใช้แบบไม่โปร่งใสอีก ยามเดือดร้อนก็ช่วยกันหน่อยแสดงถึงความจริงใจในการบริหารบ้านเมืองบ้าง ไม่ใช่มัวแต่นั่งกินเงินเดือนไปวันๆ อาชีพนักการเมืองไม่โดนลดเงินเดือนนี่
    09 เม.ย. 2563 เวลา 02.15 น.
  • KT Independence
    10% หักจากรายกระทรวง จะเท่าๆกับที่เคย แอบไปเอามาจากประกันสังคม และยัง ไม่ได้คืน.. เงียบหาย..
    09 เม.ย. 2563 เวลา 02.06 น.
  • Nick Private Travel
    คนบาป 2020 ☺
    09 เม.ย. 2563 เวลา 06.06 น.
ดูทั้งหมด