ใกล้สิ้นปีเข้ามาทุกขณะ ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยังไม่ชะลอความร้อนแรง กระแสแคมเปญขายส่งท้ายปี และการเปิดขายโครงการใหม่ยังคงมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่กูรูในแวดวงอสังหาริมทรัพย์หลายคน ต่างแสดงความเป็นห่วงต่อภาวะตลาดอสังหาริทรัพย์ ว่ากำลังเกิดฟองสบู่ขึ้นในบางตลาด แต่สถานการณ์ยังไม่สุกงอม
เช่นเดียวกับความเห็นจากฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ที่ประเมินว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2562 มีแนวโน้มน่ากังวล ต้องเผชิญกับหลายปัจจัยลบที่รุมเร้า
นายภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายวิจัย บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ถือเป็นปีที่ร้อนแรงเหลือเกินสำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์ปี 2561 ที่ใกล้จะสิ้นปีในอีก 1 เดือนข้างหน้า ถือเป็นปีที่มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด ทั้งในเรื่องของอุปทานที่มีการพัฒนาโครงการออกมาสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก
อีกทั้งเป็นปีที่เหล่านักลงทุนจากต่างชาติโดยเฉพาะจากจีน สนใจเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทยกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งล้วนเป็นการซื้อเพื่อการลงทุนเป็นส่วนใหญ่ ด้วยความสนใจในเรื่อของผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ ทั้งเอเจนซี่ที่นำไปเสนอขายที่อวดอ้างในเรื่องของที่ค่อนข้างสูง
แต่หากผลตอบแทนเหล่านั้นไม่ได้เป็นไปตามที่เค้าคาดหวังไว้ อะไรจะเกิดขึ้น อาจจะเกิดการทิ้งดาวน์ไหม หรือจะไม่โอนกรรมสิทธิ์เมื่อครบกำหนดเรียกโอน ละหากมีการไม่โอนกรรมสิทธิ์ของกลุ่มลูกค้าต่างชาติเหล่านี้ขึ้นจริง แน่นอนว่า สต็อคจำนวนมากเหล่านั้นจะกลับมาสู่ตลาดอีกครั้ง เกิดภาวะสต็อคคงค้างสะสมจำนวนมาก ในภาวะที่อัตราดูดซับเริ่มช้าลง สิ่งที่นี้อาจจะกระทบต่อภาพรวมของภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยลบอื่นๆ ที่อาจจะเข้ามากระทบโดยตรง ต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้า ไม่ว่าจะเป็นการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ซึ่งก็เป็นอีกปัจจัยลบสำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นอย่างมาก เพราะแน่นอนว่าการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย จะส่งกระทบต่อผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ ทั้งเพื่อการพักอาศัยและเพื่อการลงทุน โดยจะส่งผลให้ผู้ซื้อต้องแบกภาระในการผ่อนชำระที่สูงขึ้น
สำหรับกลุ่มผู้ซื้อเพื่อการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนเพื่อการปล่อยเช่า หากมีการปรับขึ้นของดอกเบี้ย อาจจะทำให้กลุ่มลูกค้าส่วนนี้เริ่มมีการคิดทบทวนก่อนการลงทุน เนื่องจากทราบกันดีกว่า
ปัจจุบันผลตอบแทนจากการลงทุนที่ได้กลับมา ไม่คุ้มกับอัตตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายไป ซึ่งผลตอบแทนจากการเช่าส่วนใหญ่ในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 3.5-5% เท่านั้น แต่ถ้าดอกเบี้ยขยับขึ้นอีก จะทำให้การลงทุนในคอนโดถูกจำกัดให้แคบลง เนื่องจากความคุ้ม ค่าในการลงทุนจะน้อยลง
โดยลูกค้าส่วนใหญ่ใช้เงินกู้ (ยกเว้นกลุ่มตลาดบนที่ไม่ค่อยพึ่งพิงเงินกู้จากสถาบันการเงิน ส่วนใหญ่เป็นการซื้อเงินสด) ส่งผลให้ต้นทุนในการซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่าจะเพิ่มสูงขึ้นด้วยซึ่งก็ไม่คุ้มค่าในการลงทุน
อีกทั้งเรื่องของการปรับอัตราสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน หรือ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่จะเริ่มใช้ในวันที่ 1 เมษายน 2562 และ เรื่องเกณฑ์การปรับเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่ ปัญหาราคาที่ดินที่อยู่ในช่วงขาขึ้น
นอกจากนี้การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า ก็อาจจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะเข้ามากระทบภาพรวมของภาคอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้าอีกก็เป็นได้ ซึ่งถือว่าไม่ง่ายเลยสำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์ในปี 2562
หากดูจากข้อมูลอัพเดทณ ไตรมาสที่ 3 ปี 2561 กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมทั้งหมดประมาณ 464,706 ยูนิต มูลค่าการลงทุนรวมทั้งหมดกว่า 3.3 ล้านล้านบาท
จำแนกเป็นบ้านจัดสรร 1.9 แสนยูนิต มูลค่า 9.2 แสนล้านบาท และ คอนโดมิเนียม 2.7 แสนยูนิต มูลค่าประมาณ 2.3 ล้านล้านบาท
ในจำนวนนี้ สามารถขายไปแล้วประมาณ 3.2 แสนยูนิต ด้วยมูลค่าประมาณ 2.4 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 70.08% จำแนกเป็นบ้านจัดสรรสามารถขายไปแล้ว 1.2 แสนยูนิต ด้วยมูลค่าประมาณ 6 แสนล้านบาท และคอนโดมิเนียมประมาณ 2 แสนยูนิต ด้วยมูลค่า 1.8 ล้านล้านบาท
สินค้าเหลือขาย 1.3 แสนยูนิตกว่า 8.5 แสนล้าน
ยังมีหน่วยที่เหลือขายอยู่ในตลาดประมาณ 1.3 แสนยูนิต ด้วยมูลค่าประมาณ 8.5 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 29.02% จากอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมด โดยจำแนกเป็น บ้านจัดสรรที่ประมาณ 71,054 ยูนิต ด้วยมูลค่า 3.2 แสนล้านบาท และคอนโดมิเนียมอีกประมาณ 67,959 ยูนิต มูลค่าประมาณ 5.2 แสนล้านบาท
สำหรับในปี 2562 ที่จะถึงนี้ ในส่วนของคอนโดมิเนียม ผู้ประกอบการควรลดการเปิดตัวโครงการใหม่ ให้อยู่ในภาวะสมดุลที่ตลาดสามารถดูดซับได้ โดยในพื้นที่กรุงเทพฯประมาณปีละ 40,000 ยูนิต เพื่อให้ตลาดมีการดูดซับอุปทานคงค้างให้กลับมาสู่ภาวะปกติ
จากอุปทานที่เหลือขายอีกกว่า 40,000 ยูนิต เน้นการระบายสต็อคคงค้างในแต่ละทำเลก่อน เพื่อเตรียมรับมือกับปัจจัยลบต่างๆ ที่อาจจะเข้ามากระทบในปีหน้า
ทั้งในเรื่องของความเสี่ยงในเรื่องของ การไม่โอนกรรมสิทธิ์ของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ ที่โหมเข้าลงทุนในคอนโดมิเนียมในเมืองไทยเป็นจำนวนมากในปีนี้ สำหรับแนวราบ หรือบ้านจัดสรรตลาดยังสามารถไปได้ เนื่องจากผู้ซื้อส่วนใหญ่เป็น เรียล ดีมานด์ ซื้อเพื่อการอยู่อาศัยจริง น้อยมากที่จะซื้อเพื่อการลงทุน ซึ่งโดยภาพรวมตลาดยังสามารถดูดซัพได้ดี ในทำเล และระดับราคาที่เหมาะสม
มันจะแย่ก็เพราะเรามัวแต่เน้นรับลูกค้าเงินหนา
เครดิตดี(ส่วนใหญ่จะเปนต่างชาติ)
ในขณะที่คนไทยหลายคนยังไม่มีบ้าน เพราะเงื่อนไข
การมีบ้านของประเทศนี้แก่คนสัญชาติไทยมันยากจริงๆ
ค่าแรงไม่ค่อยขึ้น ขึ้นแต่ข้าราชการ ซื้ออาวุธ บราๆ
ในขณะที่ธ.รัฐก็เอาแต่จะสร้างเพิ่ม เพื่ออะไร?
ทำไมไม่อุดหนุน ส่งเสริมให้คนไทยมีบ้านในแบบ
ที่เขาอยากจะมี รัฐก็ทลายเงื่อนไขต่างๆลง
หรือไม่ก็ซื้อไว้เองเลย 8.5แสนล้านเอง แล้วมา
ปล่อยให้คนไทยซื้อ
ไทยซื้อ ไทยใช้ เงินมันจะไปไหน
10 ธ.ค. 2561 เวลา 15.36 น.
MewMew ผลิตอะไรเกินความต้องการ ก็ขายไม่ได้ทั้งนั้นแหละ
แต่ที่จะยิ่งหนักกว่าคือ พวกที่กู้มาผลิต แล้วขายไม่ได้
อสังหาริมทรัพย์ไทยปั่นราคากันจนคนไทยไม่สามารถซื้อได้แล้ว ต้องพึ่งตลาดคนต่างชาติมาซื้อ
แบงก์ไทยก็ควรระวังปล่อยกู้ให้พวกเล่นอสังหาริมทรัพย์ สุดท้ายเป็นหนี้เน่า แบงก์จะสะดุดขาตัวเองแบบปี 40
10 ธ.ค. 2561 เวลา 21.08 น.
แม่อร มันลบมาตั้งนานแล้ว ตัองกลับไปดูที่นโยบายรัฐที่ออกมาเป็นหลัก
10 ธ.ค. 2561 เวลา 13.35 น.
Benz ผมรอฟองสบู่แตกอยู่. มันได้รอบมันแล้วแตกเมื่อไรผมรวยๆๆๆๆ
10 ธ.ค. 2561 เวลา 23.51 น.
sirikorn ความเจริญอยุ่ที่ไหนความหายนะอยู่ที่นั่น
11 ธ.ค. 2561 เวลา 04.06 น.
ดูทั้งหมด