ไลฟ์สไตล์

9 ไอเดีย ของขวัญ ใช้งานจริงในบ้านได้ไม่มีวางทิ้งให้ฝุ่นจับ!

MThai.com
เผยแพร่ 20 พ.ค. 2562 เวลา 03.30 น.
เก็ทไอเดียกันแล้ว เพียงเท่านี้การเลือกซื้อของขวัญก็ไม่ใช่เรื่องยากวุ่นวายน่าปวดหัวอีกต่อไปแล้วใช่ไหมล่ะคะ?

ตั้งแต่ปีใหม่ เข้าเดือน 5 ช่วงกลางปี จนผ่านไปเทศกาลแล้วเทศกาลเล่า หมดมุกไอเดีย ของขวัญ เก๋ๆ กันหรือยังคะ? ขึ้นชื่อว่าเป็นของขวัญแทนใจ ไม่ว่าใครคงไม่ยากให้ของที่ซื้อไปถูกผู้รับวางทิ้งไว้เฉยๆ ไม่ได้ใช้ประโยชน์ แต่บางทีความซ้ำซากจำเจก็อาจทำให้ของของเราถูกเพิกเฉยอย่างไม่ตั้งใจได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นวันนี้ เราจึงมี 9 ไอเดียของขวัญราคาย่อมเยาว์ให้เลือกซื้อโดยมั่นใจได้เลยว่าต้องมีประโยชน์ ใช้งานในบ้านของผู้รับได้แน่ๆ ถ้าอยากรู้แล้วก็เลื่อนลงไปจดกันรัวๆ ได้เลย!

9 ไอเดีย ของขวัญ ใช้งานจริงในบ้านได้

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

การแต่งบ้านสายธรรมชาติกำลังมา ลองเลือกต้นไม้ฟอกอากาศในบ้านที่เลี้ยงง่าย ขนาดพอเหมาะ ไปสร้างความสดชื่นเป็นของขวัญแด่คนที่คุณรักกัน!

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

เดี๋ยวนี้กระจกไม่ได้ใช้แค่ส่องได้อย่างเดียวอีกต่อไป ลองค้นหาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทำให้ผู้รับตื่นตาตื่นใจ อย่างกระจกพร้อมแสงไฟ หรือกระจกบลูทูธที่ทำให้เพลิดเพลินกับเสียงเพลงได้ไปในเวลาเดียวกัน

กลิ่นที่ดีก็สามารถสร้างบรรยากาศดีๆ ตามมาได้ไม่ยาก ปัจจุบันเครื่องพ่นไอน้ำปรับอากาศยังมีรูปแบบสวยงามหลากหลาย กลายเป็นของแต่งบ้านสุดเก๋ไปได้อีกแน่ะ

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

คิดอะไรไม่ค่อยออก งั้นลองเลือกซื้อปฎิทินที่มีเอกลักษณ์ โดยอาจจะเลือกที่ดีไซน์สวยๆ ภาพวาดที่เป็นดังงานศิลปะหรือเป็นภาพเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับผู้รับก็เวิร์กอยู่นะ

ล้ำไปอีกขั้น ด้วยการเลือกมินิบาร์ติดผนังขนาดเล็ก เป็นตะแกรงสุดเท่ เป็นของขวัญที่แค่ติดตั้งก็ทำให้บ้านมีมุมเครื่องดื่มสุดคูลขึ้นมาทันที

ถ้าผู้รับของขวัญเป็นสายไฮเทค แท่นวางของจุกจิกจากไม้แบบนี้ก็คูลไปอีกแบบเหมือนกันนะ
สำหรับบ้านสาวๆ ผู้อินกับบรรดาเครื่องประดับ ลองเลือกแท่นวางจิลเวอรี่หรือดิสเพลย์สร้อยเรียบหรูก็ดูมีเทสไม่เบา
ตะกร้าสานหลากหลายขนาด เลือกแพตเทิร์นสวยๆ ให้ใช้งานได้ในทุกโอกาส
หรือถ้าสายฟังก์ชั่นสุดๆ ก็ต้องนี่ ตะแกรงอเนกประสงค์ที่จะทำให้งานครัวของผู้รับของขวัญง่ายขึ้นเป็นกองเลยทีเดียว

เก็ทไอเดียกันแล้ว เพียงเท่านี้การเลือกซื้อของขวัญก็ไม่ใช่เรื่องยากวุ่นวายน่าปวดหัวอีกต่อไปแล้วใช่ไหมล่ะคะ?

ที่มา www.huffpost.com

ดูข่าวต้นฉบับ