เรื่องสั้น

บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ

นิยาย Dek-D
อัพเดต 26 พ.ค. เวลา 10.05 น. • เผยแพร่ 26 พ.ค. เวลา 10.05 น. • BookBox
เกิดใหม่เป็นบุตรขุนนางใหญ่ทั้งที ชีวิตนี้ข้าจะใช้ให้คุ้ม! ใครจะกลับตัวกลับใจเชิญป้ายหน้า เพราะสำหรับข้า ข้าจะเป็นอันธพาล!

ข้อมูลเบื้องต้น

เกิดใหม่เป็นบุตรขุนนางใหญ่ทั้งที ชีวิตนี้ข้าจะใช้ให้คุ้ม! ใครจะกลับตัวกลับใจเชิญป้ายหน้า เพราะสำหรับข้า ข้าจะเป็นอันธพาล!
โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ
极品小侯爷

*** ลิขสิทธิ์ถูกต้องภายใต้บริษัท บุ๊คบ็อค จำกัด***
ได้รับลิขสิทธิ์ออนไลน์ (Digital license) สำหรับแปลขายลงบนเว็บไซต์ได้อย่างถูกลิขสิทธิ์ 100%
สงวนลิขสิทธิ์
ผู้แต่ง : 梦入山河 ผู้แปล : ทีมงาน bookbox

เรื่องย่อ : อดีตพนักงานขายอันดับหนึ่งในศตวรรษที่ 21 ได้ทะลุมิติกลับมาเกิดใหม่ในแคว้นต้าเหลียง ชีวิตนี้เขาเป็นถึงบุตรชายของเสนาบดีกรมกลาโหมนาม ‘ฉินเฟิง’ จอมเสเพลชื่อเสียงฉาวโฉ่ประจำเมือง เรื่องกิน ดื่ม เที่ยว แน่นอนว่านายน้อยตระกูลฉินเหมาคนเดียวหมด อะไรนะ? จะให้ใช้ชีวิตใหม่เพื่อลบคำสบประมาทเหรอ ฝันไปเถอะ! อุตส่าห์ได้กลับมาเกิดเป็นอันธพาลทั้งที ชาตินี้ข้าจะเป็นนายน้อยเจ้าสำราญ!

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

บทที่ 1 ข้าจะหาเงินเอง

บทที่ 1 ข้าจะหาเงินเอง

“ว่ากันว่า พระถังซัมจั๋งเป็นแค่คนโง่ ทั้ง ๆ ที่ชายชราผู้นั้นเป็นปีศาจกระดูกขาวแปลงกายมา และสายตาอันแหลมคมของซุนหงอคงก็เห็นร่างที่แท้จริงของมันตั้งแต่คราแรก ทว่าไม่มีใครเชื่อเขา…”

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

“สิ่งที่น่าชังที่สุดคือ การที่พระถังซัมจั๋งผู้นั้นแสดงอาการโกรธเกรี้ยวใส่ซุนหงอคง ‘เจ้าเป็นลิงแล้วยังคิดร้ายทำลายชีวิตคนอีก วันนี้อาจารย์คงละเว้นเจ้ามิได้แล้ว!’”

“หลังจากพูดจบ เขาก็ท่องคาถาสะกดซุนหงอคง…”

ณ แคว้นเหลียง ลานหลังจวนตระกูลฉิน

มีโต๊ะสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ตั้งอยู่บริเวณลานบ้าน มันถูกปูด้วยผ้าสีแดงพร้อมด้วยค้อนไม้เล็ก ๆ ที่วางอยู่

ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสวมชุดผ้าแพรยืนด้านหลังโต๊ะ ในมือเขาถือพัดพับแบบจีน เล่าเรื่องราวของซุนหงอคงจากเรื่องไซอิ๋วที่สามารถสังหารปีศาจกระดูกขาวได้

โดยมีผู้ชมเป็นบ่าวรับใช้ตระกูลฉินจำนวนยี่สิบกว่าคน

ตอนนี้อารมณ์ของพวกเขาถูกกระตุ้นโดยฉินเฟิง ใบหน้าแต่ละคนตึงเครียดเป็นอย่างมาก เพราะกลัวว่าพระถังผู้โง่เขลาจะฆ่าซุนหงอคงผู้เก่งกาจจนสิ้นชีพ

กึก!

ขณะเดียวกันฉินเฟิงก็ยกค้อนขึ้นทุบโต๊ะทำให้บรรยากาศตึงเครียดตามไปด้วย “ทันใดนั้น ซุนหงอคงที่ถือไม้กระบองทองคำอยู่ก็เจ็บปวดจนหน้ามืดตาลาย ขณะเดียวกันชายชราตระกูลเฉาที่เป็นปีศาจกระดูกขาวแปลงกายมาก็กางกรงเล็บแหลมคมอยู่ข้างหลังพระถังซัมจั๋ง…”

ชายหนุ่มจิบชาหนึ่งอึกให้พอชุ่มคอ เขาคลี่พัดออกพร้อมยกมุมปากยิ้มอย่างมีชัย “เรื่องราวจะดำเนินต่อไปอย่างไร โปรดติดตามต่อในครั้งหน้า”

“อ๋า…”

บรรดาคนที่กำลังฟังอย่างติดลมได้ยินเช่นนี้ก็ร้องโหยหวนขึ้นมาทันที

เห็นเพียงฉินเฟิงที่นำกล่องใบใหญ่ขึ้นมาจากด้านหลังโต๊ะ ดูเหมือนว่าบนกล่องจะมีตัวอักษรขนาดใหญ่สามตัวคือ ‘กล่องรางวัล’ เขียนอยู่

ฉินเฟิงยกเท้าขึ้นเหยียบโต๊ะและพูดกับทุกคนด้วยรอยยิ้ม “มา ๆๆ ในเมื่อพวกเจ้าฟังอย่างมีความสุขขนาดนี้ เช่นนั้นก็หมายความว่าสิ่งที่ข้าเล่าไม่เลว ไม่ว่าเจ้าจะมีเงินหรือไม่ ก็มาตกรางวัลให้เงินข้ากันเยอะ ๆ เถิด”

“…”

กลุ่มบ่าวรับใช้ผงะไปทันที

พวกเขารู้ว่านายน้อยของตนฟุ่มเฟือย เขาถูกคุณหนูใหญ่และคุณหนูสามจำกัดเงินเดือน แต่ละเดือนนายน้อยสามารถถอนเงินจากห้องบัญชีได้เพียงหนึ่งร้อยตำลึงเงินเท่านั้น

หนึ่งร้อยตำลึงเงินสำหรับนายน้อยเจ้าสำราญจะเพียงพอได้อย่างไรเล่า?

ดื่มสุราบุปผาหนึ่งครั้งยังไม่พอจ่ายเลย
แต่คาดไม่ถึงว่าเพื่อให้มีเงินมากพอที่จะเที่ยวเตร่ นายน้อยถึงกับละทิ้งจิตสำนึก กอบโกยเงินจากบ่าวอย่างพวกเขาแบบอาจหาญและโจ๋งครึ่ม!

ใบหน้าของทุกคนซีดลงครู่หนึ่ง บ่าวรับใช้บางคนกังวลจนถึงกับน้ำตาไหลอาบแก้ม…

“นี่ ๆๆ ทำสีหน้าอันใดของพวกเจ้ากัน ทำอย่างกับว่ากำลังโดนข้า นายน้อยผู้นี้กลั่นแกล้งไปได้”

ฉินเฟิงกรอกตาอย่างเดือดพล่าน

เขารู้มาว่าบ่าวรับใช้พวกนี้เคยอาศัยชื่อของเขาหากินและได้เงินมาจำนวนไม่น้อย วันนี้ก็แค่ให้พวกเขาจ่ายคืนบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้นเอง

เมื่อเห็นทุกคนมีสีหน้าสลด ชายหนุ่มจึงไม่พอใจทันที “อะไรกัน? เจ้าคิดว่าข้านายน้อยผู้นี้หลอกเอาเงินอย่างนั้นหรือ? นี่เป็นค่าตอบแทนฝีมือของข้าเข้าใจหรือไม่?”

“พวกเจ้ามาเข้าแถวให้หมดและให้รางวัลมาทีละคน!”

“ไม่ต้องห่วง รอข้าหาเงินได้จะพาพวกเจ้าไปกิน ดื่ม เล่นสนุกสุขสำราญด้วยกันให้ทั่วเมืองหลวงเลย…”

ตอนแรกทุกคนก็รู้สึกแย่มากแล้ว ตอนนี้พอได้ยินฉินเฟิงพูดออกมาแบบนั้น น้ำตาของพวกเขาก็แทบจะไหลนองหน้า

หาเงิน?

โถ่นายน้อย ตระกูลฉินที่ยิ่งใหญ่เกือบจะล้มละลายเพราะท่านแล้ว!
หากท่านหาเงินได้ แม่หมูก็คงปีนต้นไม้ได้เช่นกัน…

แต่เมื่อฉินเฟิงพูดอย่างนั้น พวกเขาก็ไม่กล้าขัดขืนจึงพากันเข้าแถวอย่างไม่เต็มใจแล้วยัดเงินลงในกล่องรางวัล

จากนั้นนายน้อยตระกูลฉินก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เขาหมุนพัดและฮัมเพลงเดินไปทางเก้าอี้เอนด้านข้าง ก่อนจะนั่งลงไป

เป็นเวลาเดียวกันกับที่สาวใช้ร่างบางผู้น่ารักเดินมาพร้อมกับจานผลไม้ นางคุกเข่าลงตรงหน้าเขา เผยให้เห็นกระดูกไหปลาร้าที่งดงาม…

“โอ๊ะ เสี่ยวเซียงเซียง ข้าไม่เจอเจ้าแค่พักเดียว ดูเหมือนจะสวยขึ้นอีกแล้ว!”

ฉินเฟิงก็เป็นเช่นนี้เสมอ ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นเอื้อมคว้าองุ่น แต่มือของเขากลับอยู่ไม่สุข

มันสัมผัสกับผิวนุ่มนิ่มนั่น จนทำให้ใจสั่นไหว

สาวรับใช้หน้าแดง แต่ก็ยังคงปอกเปลือกองุ่นแล้วส่งเข้าปากของนายน้อยแห่งตระกูลฉินทีละลูก ๆ

ด้านหลังเก้าอี้เอนมีเด็กชายอายุสิบห้าปียืนอยู่ เด็กคนนี้มีใบหน้าซุกซนสมวัย เขาสวมหมวกสักหลาดใบเล็กและกำลังโยกเก้าอี้ให้ฉินเฟิงอย่างเบามือพร้อมกับเอ่ยคำเยินยอ

“นายน้อย ท่านหาทางออกได้เสมอ! ข้าเพิ่งดูมาเมื่อกี้ กล่องของขวัญของเรามีสองร้อยตำลึงเงินแล้ว!”

ชื่อของเด็กหนุ่มคือฉินเสี่ยวฝู เขาเป็นสหายของฉินเฟิง สายตาที่มองไปยังนายน้อยตระกูลฉินเปี่ยมล้นไปด้วยความนับถือ

นายน้อยก็คือนายน้อย ไม่เพียงแต่ผลาญเงินของตระกูลเท่านั้น แม้แต่เงินของบ่าวรับใช้ก็ไม่ละเว้น!

ฉินเฟิงใจสลายเมื่อได้ยินเช่นนั้น แม้แต่พวกบ่าวรับใช้ยังร่ำรวยกว่าเขาเสียอีก

ตัวเขาในตอนนี้เรียกได้ว่ายากจนสุดชีวิต ไม่มีของมีค่าแม้แต่ชิ้นเดียวในลานบ้าน

เพราะไม่มี เขาจึงใกล้ล้มละลาย…

แต่สิ่งที่ทำให้ฉินเฟิงอยากจะอาเจียนเป็นโลหิตออกมาคือ เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย

เขาไม่ใช่นายน้อยเจ้าสำราญของตระกูลฉิน แต่เป็นผู้จัดการแผนกจากบริษัทในศตวรรษที่ 21 ต่างหาก เขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ พอตื่นขึ้นมาวิญญาณก็ทะลุมิติมายังโลกที่ไม่คุ้นเคยใบนี้แล้ว

โลกนี้คล้ายกับราชวงศ์ซ่งในความทรงจำก่อนหน้านี้ของเขามาก ทว่าด้อยกว่าในแง่ของนวัตกรรมและวัฒนธรรม

สำหรับฐานะของร่างนี้ เขาเป็นนายน้อยเสเพลที่มีชื่อเสียงดังกระฉ่อนในเมืองหลวง ยิ่งกว่านั้นยังเป็นถึงบุตรชายของเสนาบดีกรมกลาโหม

เพราะถือว่าตนมีพี่สาวสี่คนที่รักใคร่เอ็นดู ฉินเฟิงผู้นี้จึงแทบจะไม่ทำตามกฎหมาย เขารู้จักชิงตัวสาวชาวบ้านตั้งแต่อายุยังน้อย เที่ยวหอโคมเขียว เข้าบ่อนพนัน เป็นอันธพาล…

สิบวันก่อน เขาถูกหลอกให้เดิมพันครั้งใหญ่กับหลี่รุ่ยบุตรของเสนาบดีกรมคลัง ด้วยเหตุนี้เขาจึงสูญเสียที่ดินอันอุดมสมบูรณ์ของตระกูลฉินที่อยู่นอกเมืองให้กับอีกฝ่ายถึงหนึ่งหมื่นหมู่ ทำให้บิดาโมโหจนแทบจะกระอักเลือดตาย…

ผู้เป็นพ่อจึงสั่งกักบริเวณนายน้อยแห่งตระกูลฉินด้วยความโกรธเกรี้ยว

แต่ฉินเฟิงผู้นี้ก็ยังไม่ยอมอยู่เฉย!

ความดื้อรั้นประกอบกับการยั่วยุของหลี่รุ่ยทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจปีนกำแพงออกจากจวนกลางดึก มุ่งหน้าไปยังเรือสำราญเพื่อดื่มกินและเที่ยวเล่นกับกลุ่มสหายสุนัขพวกนั้น

สุดท้ายไม่รู้ไปอย่างไรมาอย่างไร ฉินเฟิงถึงได้ถูกมอมเหล้าจนเมามายและพลัดตกลงไปในทะเลสาบ กว่าจะช่วยขึ้นมาได้ เขาก็ตายไปแล้ว!

ทว่า

หลังจากเรียบเรียงความทรงจำครั้งแล้วครั้งเล่า ฉินเฟิงรู้ดีว่าเขาไม่ได้จมน้ำตายแต่โดนวางยาพิษต่างหาก

เมื่อนึกถึงคืนนั้นเขาก็พบว่าหลี่รุ่ยแปลกไปจากปกติ อีกฝ่ายยิ้มอย่างมีมารยาท ดูแลแขกในงาน เลี้ยงอาหาร ทั้งยังจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อเชิญผู้มีชื่อเสียงมาร่วมดื่มกิน

ดังคำกล่าวที่ว่า ถ้ามีสิ่งใดผิดจากปกติจะต้องมีกับดัก หลี่รุ่ยต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เป็นแน่

สถานการณ์ปัจจุบันของฉินเฟิง หาได้สงบราบเรียบดั่งเช่นที่เห็นไม่

หลี่รุ่ยรู้ว่าเขาสบายดีและอาจจะกลับมาฆ่าเขาอีกครั้ง

อีกฝ่ายกล้าที่จะลงมือกับบุตรชายของเสนาบดีกรมกลาโหม การพัวพันของผลประโยชน์ต้องไม่ธรรมดา!

ลูกธนูไม่มีวันย้อนกลับ แม้ว่าฉินเฟิงจะปิดปากเงียบไม่เอ่ยถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น อย่างไรเสีย หลี่รุ่ยก็คงจะไม่ปล่อยเขาไปง่าย ๆ

ดังนั้น เขาต้องเตรียมการรับมือล่วงหน้า

จะเตรียมตัวอย่างไรน่ะหรือ?

แน่นอนว่าก้าวแรกก็คือการหาเงินไงเล่า!

ต้องมีเงินก่อนถึงจะสามารถเกณฑ์ทหาร รับสมัครผู้มากความสามารถเพื่อสร้างอิทธิพลได้

ทว่าหลังจากที่เขาตื่นขึ้น หลิ่วหงเหยียนพี่สาวคนรองกลับประกาศการตัดสินใจครั้งใหญ่ นางตัดเงินเดือนของเขาเหลือหนึ่งร้อยตำลึงเงิน!

แล้วจะให้ฉินเฟิงใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไร?

หากไม่ให้เงินข้า เช่นนั้นข้าก็จะหาเงินเอง!

จะดีร้ายเช่นไรข้าก็เคยเป็นถึงพนักงานขายอันดับหนึ่ง ขนาดนี้ยังต้องกลัวว่าจะหาเงินเป็นกอบเป็นกำในสมัยโบราณไม่ได้อีกหรือ?

ทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นเหตุผลที่ทำให้ฉาก ‘บ่าวให้เงินนาย’ เบื้องหน้าปรากฏขึ้น…

“แน่นอน! นายน้อยคนนี้คือใคร? กับอีแค่เงินทอง จะทำอะไรข้าได้?”
ฉินเฟิงท่าทางราวคนสุรุ่ยสุร่าย เขาพูดอย่างไม่ละอายใจ “อย่าว่าแต่สามหรือสี่ร้อยตำลึงเงินเลย ต่อให้เป็นสามหรือสี่ล้านตำลึงเงิน สำหรับข้านายน้อยผู้นี้ก็ใกล้แค่เอื้อมมือคว้าเท่านั้น”

“คืนนี้พวกเราก็ออกไปเที่ยวเล่นให้สนุกกันเสียหน่อย ได้ยินมาว่าหออี้หงมีคนมาใหม่ เรียกได้ว่าขาวละมุน…”

ในขณะที่เขากำลังคิดอย่างมีความสุข ฉินเสี่ยวฝูพลันหดคอลงด้วยความตกใจ เด็กหนุ่มจ้องมองนายน้อยของตนด้วยดวงตาเบิกกว้างพร้อมกับทำปากส่งสัญญาณอย่างแข็งขัน

“คุณหนูรอง… ข้างหลัง”

ในขณะเดียวกันก็มีกลิ่นหอมจาง ๆ โชยเข้าจมูก

บัดซบ!

ฉินเฟิงรู้สึกราวกับใจของเขาหล่น ‘ตุ้บ’

จบแล้ว พี่หญิงรอง?!

บทที่ 2 เจ้ายังกล้าเข้าร่วมการสอบชุมนุมกวีอีกหรือ?

บทที่ 2 เจ้ายังกล้าเข้าร่วมการสอบชุมนุมกวีอีกหรือ?

ฉินเฟิงชะงักค้าง จากนั้นก็รีบตอบสนองด้วยการตบลงไปบนหัวของฉินเสี่ยวฝู แล้วพูดเสียงดังทันที

“เสี่ยวฝู! นายน้อยผู้นี้เป็นคนเช่นนั้นหรือ? ข้าบอกเจ้าแล้วว่ากำลังปิดประตูสำนึกผิด*[1]อยู่ ถ้าเจ้ายังกล้ามายั่วยุข้าอีก คอยดูเถอะ ข้าจะหักขาสุนัขของเจ้าเสีย…”

ก่อนที่เขาจะพูดจบ ฉินเฟิงรู้สึกเพียงว่าหูของตนตึงและถูกบิดราวสามร้อยหกสิบห้าองศาได้ “ฮึ ๆ แสดงให้ข้าดูงั้นหรือ ใช่หรือไม่?”

“พี่หญิงรอง ๆๆ… ข้าเจ็บ…”

ฉินเฟิงเอียงศีรษะด้วยความเจ็บปวด เขาเดินกึ่งดิ้นไปรอบ ๆ หลิ่วหงเหยียน

พี่หญิงรองของข้าช่างโหดเหี้ยมจริง ๆ

แม้ว่าพี่หญิงทั้งสี่จะเป็นเด็กกำพร้าที่ท่านพ่อของเขารับเลี้ยง แต่พวกนางต่างก็เก่งกาจยิ่งนัก

ยกตัวอย่างเช่น พี่หญิงรองซึ่งเป็นสตรี หลังจากที่นางจัดการเงินทองของตนเองได้ นางก็ใช้เวลาเพียงสี่ปีอาศัยกลยุทธ์สร้างรากฐานในเมืองหลวงและสร้างกิจการที่รุ่งโรจน์จนกลายเป็นสตรีที่ร่ำรวยที่สุด

เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ที่ร้ายกาจเช่นนี้ ฉินเฟิงจึงทำได้เพียงร้องขอความเมตตา

“ข้าสั่งให้เจ้าปิดประตูสำนึกผิด เจ้าก็ปิดประตูสำนึกผิดเช่นนี้น่ะหรือ?”

หลิ่วหงเหยียนสวมชุดยาวสีแดงเลือดหมู ใบหน้าสวยงามของนางตอนนี้เขียวปั้ด เจ้าเด็กคนนี้ไม่รู้จักสำนึกผิดจริง ๆ ขนาดกักบริเวณแล้วก็ยังมีลูกไม้ใหม่ออกมา!

“พี่หญิงรอง มันไม่ใช่ความผิดของข้าจริง ๆ! ข้าเองก็เป็นเหยื่อ…”

ฉินเฟิงเข้าใจอารมณ์ของหลิ่วหงเหยียนดี หากเขายอมรับในตอนนี้จะต้องตายเป็นแน่ ชายหนุ่มกลอกตาไปมาอย่างเจ้าเล่ห์และโยนความผิดไปให้คนอื่นหน้าด้าน ๆ

“ล้วนเป็นความผิดของทาสสุนัขพวกนี้ พวกเขายืนกรานที่จะให้เงินข้าเอง”

“พี่หญิงรอง ข้ายืนเกลี้ยกล่อมอยู่นานแต่พวกเขาก็ไม่ฟัง! พวกเขาบอกว่าข้าได้เงินเดือนน้อยเกินไป ไม่พอใช้จ่าย จึงสมัครใจควักเบี้ยหวัดของตนออกมาให้ข้าไว้สำหรับทำการใหญ่…”

ทุกคน “…”

นายน้อย ท่านยังไร้ยางอายได้มากกว่านี้อีกหรือไม่…

หลิ่วหงเหยียนได้ยินเช่นนี้จึงทั้งโกรธทั้งขำ จะโกหกหน้าด้าน ๆ แบบนี้น่ะหรือ? เจ้าคิดว่าข้าตาบอดหรืออย่างไร? ถึงจะไม่เห็นคำว่า ‘กล่องรางวัล’ ที่เขียนอยู่

“เจ้าเก่งกาจมากจริง ๆ ตอนนี้แม้แต่บ่าวรับใช้ก็ไม่ละเว้นหรือ? หน้าด้านหน้าทนเพียงนี้ ข้ายังอับอายแทนเจ้าเลย!”

นางปล่อยใบหูของฉินเฟิงแล้วตบลงบนศีรษะ ก่อนจะพูดอย่างโกรธเคือง “หยุดพูดไร้สาระ ข้าขอถามเจ้า การสอบชุมนุมกวีจะเริ่มขึ้นในไม่ช้าแล้ว เจ้าท่องบทกวีที่ข้าให้จำได้หรือยัง”

“กวี? กวีอะไร?”

ใบหน้างดงามของหลิ่วหงเหยียนเคร่งขรึมทันที

“เอ่อ… แค่ก แค่ก ก็แค่บทกวีมิใช่หรือ อัจฉริยะอย่างข้าจะท่องไม่ได้เชียวหรือ”

ฉินเฟิงเพิ่งตระหนักได้ว่าวันนี้เขาต้องเข้าร่วมชุนนุมกวีของสำนักศึกษาเซิ่งหลิน

เพื่อให้ฉินเฟิงได้รับอันดับหนึ่งในการสอบชุมนุมกวีครั้งนี้ หลิ่วหงเหยียนส่งบทกวีให้เขาอ่านเมื่อสองสามวันก่อน

ผลคือเจ้าของร่างเดิมยังท่องได้ไม่เท่าไหร่ ก็ไปเสียแล้ว…

โชคดีที่ความจำของฉินเฟิงนั้นยอดเยี่ยม เมื่อเห็นหลิ่วหงเหยียนโกรธ เขาก็ตัวสั่นด้วยความตกใจและรีบท่องบทกวีออกมาอย่างรวดเร็ว

“ครั้งอำลาบุปผายังสะพรั่ง เส้นทางยังกรุ่นกลิ่นรินรวยรื่น สองเราเฝ้าหยอกเย้าเคล้าเคียงคืน รัญจวนชื่นมวลหมอกรุ้งฟุ้งนภา ครั้งหวนกลับหมู่บุหงันพลันร่วงหล่น เส้นทางหม่นปณิธานมิหาญกล้า เมฆทมึนลอยอ้างว้างกลางทิวา หวังสุราขจัดทุกข์นำสุขคืน”

หลังจากได้ฟัง สีหน้าของหลิ่วหงเหยียนดีขึ้นเล็กน้อยพลางเอ่ย “อืม ไม่เลว และก็ไม่เสียแรงที่ข้าใช้หนึ่งหมื่นตำลึงเงินขอบทกวีนี้จากเซี่ยจิ้นซื่อมาให้เจ้า!”

“ว่าไงนะ หมื่นตำลึงเงิน?!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ฉินเฟิงก็กระโดดขึ้นทันที เขาตกใจจนใบหน้าเหยเก

“บทกวีกระจอกงอกง่อยเช่นนี้ มีราคาหมื่นตำลึงเงินงั้นหรือ! พี่หญิงรองบอกข้ามาเถิด ท่านถูกหลอกแน่ ๆ บทกวีบ้าบอนี่เป็นเพียงเรื่องไร้สาระ! แม้แต่กับคนธรรมดาทั่วไปก็ไม่สามารถจัดการได้ ไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว”

“น้องชายของท่านแต่งบทกวีเล่นสักบท ยังดีกว่ากวีบทนี้เป็นพันเท่าหมื่นเท่า…”

ฉินเฟิงยกมือเท้าเอวและพ่นคำพูดออกมา ไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่าใบหน้างดงามของหลิ่วหงเหยียนโกรธเกรี้ยวจนเขียวปั้ด นางกัดฟันขาวของตนเบา ๆ

เพื่อขอบทกวีนี้ นางต้องยืนอยู่นอกจวนจิ้นซื่อเป็นเวลาหนึ่งวัน ตอนนี้กลับมาถูกฉินเฟิงวิพากษ์วิจารณ์ว่าไร้ค่า?

“หุบปาก!”

หลิ่วหงเหยียนจ้องมองฉินเฟิงและตวาดออกมาอย่างกราดเกรี้ยว

“ความรู้ของเจ้าน้อยนิด แม้แต่อักษรก็จำไม่ครบ กลับรู้ว่าบทกวีนั้นดีหรือไม่ดีอย่างนั้นหรือ?

“อีกอย่างแม้แต่พี่หญิงใหญ่ก็ยังบอกว่านี่เป็นบทกวีที่ดีและหายาก เจ้าอย่ามาทำเป็นรู้ดีหน่อยเลย! ในการสอบชุมนุมกวี เจ้าแค่อ่านบทกวีนี้ก็พอ!”

พี่หญิงใหญ่เสิ่นชิงฉือเป็นสตรีมีพรสวรรค์ที่เป็นที่รู้จักในเมืองหลวง นางงามพร้อมทั้งมารยาท ความสามารถ และรูปโฉม ตอนได้ยินว่าแม้แต่พี่หญิงใหญ่ยังชมบทกวีบทนี้ ฉินเฟิงถึงกับพูดไม่ออก…

หากนี่ถือเป็นบทกวีที่ดี แล้วบทกวีที่โด่งดังจากอดีตถึงปัจจุบันที่อยู่ในสมองของเขาจะเอาไปไว้ที่ใดเล่า?

แต่พอคิด ๆ ดูแล้ว ฉินเฟิงก็เริ่มกระจ่าง แคว้นเหลียงเป็นแคว้นใหม่ เพิ่งสถาปนามาเพียงยี่สิบปีเท่านั้น วรรณกรรมน่าจะกำลังอยู่ในช่วงของการฟื้นฟู ค่อนข้างคล้ายกับราชวงศ์ถังยุคแรก พวกความคล้องจองก็เพิ่งจะปรากฎ

เมื่อนึกถึงจุดนี้ ดวงตาของนายน้อยตระกูลฉินก็สว่างขึ้น!

บัดซบ บทกวีบ้าบอนี้มีค่าหนึ่งหมื่นตำลึงเงิน เช่นนั้นบทกวีที่มีชื่อเสียงในสมองของเขาคงจะมีค่าหนึ่งแสนตำลึงเงินกระมัง? หรือหนึ่งล้านตำลึงเงิน?!
การสอบชุมนุมกวีอันใด! นี่มันงานประชุมการขายที่สมบูรณ์แบบชัด ๆ!

“รวยแล้ว รวยแล้ว…”

ฉินเฟิงถูมือของเขาและหมุนตัวไปมาสองครั้งอย่างตื่นเต้น พลางมองไปที่หลิ่วหงเหยียนที่อยู่ข้าง ๆ และเอ่ย “พี่หญิงรอง เราสองพี่น้องร่วมมือกัน ทำกิจการขนาดใหญ่เป็นอย่างไร”

“วันนี้ ข้าน้องชายของท่านจะมีชื่อเสียง เหยียบย่ำบุรุษทุกคนในใต้หล้าให้อยู่ใต้ฝ่าเท้า”

“ข้าต้องการให้พวกเขาพ่ายแพ้ราบคาบ”

ใบหน้าของหลิ่วหงเหยียนเข้มขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนี้

เจ้าเด็กเวร เจ้าจะก่อเรื่องอันใดอีก! มิรู้ตัวเลยหรือว่าเจ้ามีความรู้น้อยนิดเพียงใด?

เจ้าจะชนะคนอื่นอย่างราบคาบรึ?

ข้าคิดว่าเจ้าต้องการล้างผลาญตระกูลฉินให้สิ้นซากเสียมากกว่า!

หลิ่วหงเหยียนไม่เชื่อฉินเฟิงตามคาด นางกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าลองเล่นพิเรนทร์ดูสิ การสอบชุมนุมกวีครั้งนี้จะตัดสินว่าเจ้าสามารถศึกษาต่อในสำนักศึกษาเซิ่งหลินได้หรือไม่ ทั้งยังเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของตระกูลฉิน! หากเจ้ากล้าทำพัง ก็รอโดนท่านพ่อตีให้ก้นลายได้เลย!”

“ไสหัวไปเตรียมตัวเดี๋ยวนี้ ข้าจะไปบอกให้ลุงฝูเตรียมรถม้าให้ อีกประเดี๋ยวต้องเดินทางไปสำนักศึกษาเซิ่งหลิน”

หลังจากพูดจบนางก็หันหลังจากไปโดยไม่แม้แต่จะมองฉินเฟิง

นายน้อยตระกูลฉินคร่ำครวญอยู่ครู่หนึ่ง สิ่งที่ตนพูดคือความจริง ไยจึงไม่มีผู้ใดเชื่อเลยเล่า

แต่ไม่เป็นไร รออีกเดี๋ยว ท่านก็จะรู้เองว่าน้องชายของท่านแข็งแกร่งแค่ไหน

เสี่ยวเซียงเซียงและสาวใช้อีกสองคนช่วยฉินเฟิงเปลี่ยนอาภรณ์เป็นสีขาวอย่างรวดเร็ว ผมยาวของเขาถูกมัดรวบสูง ในมือถือพัดพับด้ามจิ๋ว ตอนนี้เขากลายเป็นชายหนุ่มรูปงามและหล่อเหลา

เสี่ยวเซียงเซียงมองเขาจนหน้าแดงอยู่พักหนึ่ง…

“ออกจวนไปไขว่คว้า ข้าต้องได้อันดับหนึ่งกลับมา!”

ฉินเฟิงโอบไหล่สาวใช้คนสวยแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย

“เสี่ยวเซียงเซียง อยู่ที่จวนรอนายน้อยกลับมานะ รอข้าหอบเงินทองกองเท่าภูเขากลับมา! ฮ่าฮ่าฮ่า…”

สำนักศึกษาเซิ่งหลินซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองหลวง เป็นสำนักศึกษาแห่งแรกที่ก่อตั้งหลังสถาปนาแคว้นต้าเหลียง

มีภูมิหลังของราชวงศ์และโดดเด่นในเมืองหลวง

การสอบชุมนุมกวีของสำนักศึกษาจะจัดขึ้นปีละครั้ง อันดับหนึ่งของงานแต่ละปี ไม่เพียงแต่มีชื่อเสียงไปทั่วหล้า แต่ถ้าบทกวีนั้นน่าทึ่งจริง ๆ พวกเขาอาจมีโอกาสได้รับราชโองการเรียกตัวจากจักรพรรดิ เพื่อเข้ารับตำแหน่งขุนนางโดยตรง

อย่างไรก็ดี ต่อให้ตกรอบก็ยังใช้โอกาสนี้อวดอ้างชื่อเสียง สร้างความประทับใจแก่ผู้คุมสอบหรือเหล่านักปราชญ์ได้ ด้วยเหตุนี้ ขุนน้ำขุนนางขั้นสูงและเศรษฐีหลายคนจึงส่งบุตรหลานมา 'ชุบตัว'

ทว่าการสอบชุมนุมกวีปีนี้แตกต่างจากที่ผ่านมา หลายคนมาที่นี่เพื่อดูฉินเฟิงขายหน้าโดยเฉพาะ

สำนักศึกษาเซิ่งหลินได้ปล่อยข่าวออกไปแล้วว่า หากบัณฑิตคนใดไม่ขวนขวายหาความก้าวหน้า พึ่งพาภูมิหลังของตระกูล ก่อเรื่องวุ่นวาย ทำให้สำนักศึกษาเซิ่งหลินเสื่อมเสียชื่อเสียงจะถูกไล่ออก จะไม่ได้รับการต้อนรับอีกต่อไป

ทุกคนรู้ดีว่า ‘บัณฑิตคนใด’ ในที่นี้หมายถึงฉินเฟิงอย่างแน่นอน

เพราะอย่างไรเสีย ในฐานะหัวหน้าสี่จอมวายร้ายแห่งเมืองหลวง เรื่องสกปรกของฉินเฟิงในช่วงหลายปีที่ผ่านมายากที่จะร่ายเรียงออกมาให้ครบ

เขาโอบไหล่นางคณิกาในหอโคมเขียว ทำลายชื่อเสียงของสำนักศึกษา เผาหอตำราของสำนักศึกษา สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับฉินเฟิง

สำนักศึกษาไม่พอใจมานานแล้ว

เพียงแต่เห็นแก่หน้าบิดาของอีกฝ่ายซึ่งเป็นเสนาบดีกรมกลาโหม จึงทำได้เพียงอดทนอดกลั้น

ตอนนี้ต้องทำให้เขาตกที่นั่งลำบากอย่างกะทันหัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะทนกับพฤติกรรมของฉินเฟิงไม่ไหวอีกต่อไป

อีกเหตุผลสำคัญคืออาจมีใครบางคนอยู่เบื้องหลังคอยเติมเชื้อไฟ!

ใช้หัวแม่เท้าคิดยังรู้เลยว่าหนึ่งในนั้นขาดหลี่รุ่ยไปไม่ได้แน่

ทันทีที่ฉินเฟิงถูกไล่ออกจากสำนักศึกษา ไม่เพียงแต่เสนาบดีกรมกลาโหมที่รับผลเสีย แต่ชื่อเสียงของเขาในฐานะจอมเสเพลก็จะแพร่กระจายไปทั่วหล้า

แม้ว่าเสนาบดีกรมกลาโหมจะไม่ถูกสอบสวน แต่เส้นทางขุนนางของตระกูลฉินก็คงจะสิ้นสุดลงที่นี่

ถ้าเสนาบดีกรมกลาโหมไม่ได้รับความโปรดปราน ผู้ที่ได้ผลประโยชน์ สุดท้ายแล้วก็ไม่พ้นตระกูลหลี่

ฉินเฟิงเข้าร่วมการสอบชุมนุมกวีครั้งนี้ มีส่วนตัดสินอนาคตของตระกูลฉินทั้งหมด

แม้จะไม่มีหลิ่วหงเหยียนมาเร่งรัด ฉินเฟิงก็อยากจะสืบหาความจริงว่าหลี่รุ่ยมีบทบาทอย่างไรในสำนักศึกษาเซิ่งหลินนี่อยู่ดี!

ตอนนี้ประตูของสำนักศึกษาเซิ่งหลินได้รับการป้องกันอย่างแน่นหนา ผู้คนจำนวนมากล้วนต่อแถวเพื่อยืนยันเทียบเชิญ ต้องตรวจสอบให้ชัดแจ้งจึงจะสามารถเข้าไปได้

ที่นี่มีแต่ผู้รากมากดี และผู้มีฐานะร่ำรวยจากเมืองหลวง!

ฉินเฟิงมองไปที่คนเหล่านั้น ดวงตาของชายหนุ่มสว่างสดใส ราวกับว่ากำลังมองไปที่ภูเขาสีทองอร่ามตา

เมื่อเห็นเช่นนี้ ใบหน้าของหลิ่วหงเหยียนก็เข้มขึ้น นางกลัวว่าน้องชายจะหนีไปสร้างปัญหา หลังจากแสดงเทียบเชิญจึงลากฉินเฟิงเข้าไปในสำนักศึกษา

“โอ้ นี่นายน้อยฉินมิใช่หรือ จุ๊ ๆ …นี่เจ้ากล้ามาเข้าสอบชุมนุมกวีจริงหรือ!”

ขณะที่เขากำลังเหม่อลอย เสียงหัวเราะเยาะเย้ยก็ดังขึ้นข้างหู

[1] ปิดประตูสำนึกผิด : การปลีกตัวอยู่ลำพังเพื่อใช้เวลาขบคิด ไตร่ตรองถึงความผิดพลาดของตนเอง

บทที่ 3 การสอบชุมนุมกวีรอบคัดเลือก

บทที่ 3 การสอบชุมนุมกวีรอบคัดเลือก

ฉินเฟิงจำได้ทันที

คนที่ยืนขวางทางเขาอยู่คือเฉิงฟา ลูกน้องของหลี่รุ่ย เฉิงฟาเป็นบุตรชายของเลขาธิการกรมคลัง

ในคืนที่ฉินเฟิงถูกสังหาร บนเรือสำราญมีเฉิงฟาผู้นี้อยู่ด้วย

หลิ่วหงเหยียนรู้จักน้องชายดี เจ้าคนโหดเหี้ยมที่พอได้ยินอะไรไม่เข้าหูก็ต่อยตีได้หมดไม่สนลูกใคร การสอบชุมนุมกวีวันนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของตระกูล ไม่อาจปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดได้ ดังนั้นนางจึงพยายามลากฉินเฟิงออกไป

ทว่าเฉิงฟากลับก้าวเข้ามาก่อน เขาขวางทางสองพี่น้องไว้อีกครั้ง และเริ่มเอ่ยยั่วยุ

“งานวันนี้เป็นงานใหญ่ที่ดึงดูดความสนใจของผู้มีความรู้ในใต้หล้า นายน้อยฉิน เจ้าเป็นนายน้อยเสเพลที่รู้จักแต่เที่ยวผู้หญิง มิได้รู้หนังสือมากมาย คงไม่จำเป็นต้องมาร่วมสนุกหรอกกระมัง”

“ถ้าทำเรื่องขายหน้าขึ้นมาก็เท่ากับทำให้คนทั้งใต้หล้าหัวเราะเยาะ นี่จะไม่เป็นการทำลายชื่อเสียงของสำนักศึกษาเซิ่งหลินจนหมดสิ้นหรือ?”

ในสำนักศึกษามีหูตามากมาย เมื่อพวกเขาเห็นว่ามีเรื่องให้ดู จึงค่อย ๆ มารวมตัวกัน

เมื่อเห็นว่าเป็นฉินเฟิง บัณฑิตทุกคนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ

“เจ้านี่กล้ามาจริง ๆ! หรือว่าแต่งกลอนตลกขบขันอะไรมา”

“กลอนตลกขบขันก็แล้วไปเถิด ข้าเกรงว่าจะเป็นคำลามกอนาจารที่เรียนรู้มาจากหอนางโลมเสียมากกว่า”

“ฮึฮึ หน้าตาของเสนาบดีกรมกลาโหมถูกเจ้าหมอนี่ทำลายจนหมดสิ้นแล้ว ไร้ยางอายนัก”

เมื่อเผชิญกับการชี้มือชี้ไม้รอบ ๆ ฉินเฟิงไม่เพียงแต่ไม่โกรธ ทว่าเขายังอยากหัวเราะอีกด้วย

ในฐานะแชมป์การขายในชีวิตที่แล้ว ทักษะที่ได้รับการฝึกฝนมาก็คือหนังหน้าหนา

สำหรับเรื่องฝีปากแล้ว นายน้อยที่ดูมีความรู้เหล่านี้ยังห่างชั้นจากพวกคุณป้าปากร้ายที่ฉินเฟิงเคยต้องจัดการอยู่หลายชั้น

ฉินเฟิงมองไปที่เฉิงฟาด้วยรอยยิ้ม “ขนาดพี่เฉิงยังสามารถเข้าร่วมได้ แล้วทำไมข้าถึงเข้าร่วมไม่ได้เล่า หรือว่าสำนักศึกษาเซิ่งหลินนี้เป็นของตระกูลเจ้า? ตอนที่ดื่มสุรากับสาวงามด้วยกันบนเรือสำราญ เจ้าก็เอาแต่พูดว่าข้าเป็นอัจฉริยะ เหตุไฉนตอนนี้ถึงได้ไม่ยอมรับเสียแล้ว”

“หรือว่าพี่เฉิงรู้สึกไม่พอใจที่ดาวเด่นบนเรือสำราญมาอยู่กับข้าในคืนนั้น?”

ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ทุกคนก็หันไปสนใจเฉิงฟา
แม้ว่าการดื่มสุรากับสาวงามจะเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ในแวดวงผู้รู้หนังสือ ทั้งยังมีคนกล่าวว่าหอนางโลมเป็นสถานที่ที่สง่างาม

แต่การพูดในที่สาธารณะก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะการสอบชุมนุมกวีที่มีสายตาผู้คนมากมายเช่นนี้

หากอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาทราบ เขาอาจโดนหักคะแนนความประทับใจก่อนได้เข้าร่วมการสอบด้วยซ้ำ

ใบหน้าของเฉิงฟาเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที “ใคร… ใครไปเรือสำราญ ฉินเฟิงเจ้าอย่าสาดน้ำสกปรก!”

ฉินเฟิงยักไหล่ ทำท่าไร้เดียงสา

“วันนี้แม่นางบนเรือสำราญยังมาบ่นกับข้าอยู่เลย นางบอกว่าพี่เฉิงไปดื่มกินโดยไม่จ่ายเงินอยู่เรื่อย”

ทันทีที่ฉินเฟิงพูดจบ เสียงหัวเราะก็ดังขึ้น

เฉิงฟาตัวสั่นด้วยความโกรธ ชี้ไปที่ฉินเฟิงและกล่าวตะกุกตะกัก “เจ้ากำลังพูดไร้สาระ! ข้าเป็นถึงบุตรชายของเลขาธิการกรมคลัง ข้าจะฟ้องอาจารย์ใหญ่ว่าเจ้าหมิ่นประมาท!”

ฉินเฟิงไม่ได้จริงจังนัก เขายื่นมือออกไปตรง ๆ “ก่อนที่เจ้าจะฟ้องร้อง ไปจ่ายเงินก่อนนะ เป็นข้าที่ช่วยจ่ายล่วงหน้าให้เจ้า… แม้ว่าเจ้าจะใช้เวลาแค่ครึ่งถ้วยชา*[1] แต่สิ่งที่ควรจ่ายก็ต้องจ่าย ทุกท่านคิดว่าถูกหรือไม่”

“ฮ่าฮ่าฮ่า! เจ้าพูดถูก ไม่ว่าจะไร้ประโยชน์แค่ไหน ก็ต้องจ่ายเงิน…”

“ดูพี่เฉิงสิ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำแล้ว…”

“ฮะ ๆๆ นายน้อยเสเพลผู้นี้ อะไร ๆ ก็กล้าพูดออกมา ข้าขำจะตายแล้ว!”

คนที่เข้าสำนักศึกษาเซิ่งหลินได้นั้นมีทั้งคนรวย คนเก่ง พวกเขาไม่เกรงกลัวว่าจะทำให้ใครโกรธเคือง ดังนั้นเมื่อฉินเฟิงพูดจบ จึงมีเสียงหัวเราะมากมายดังขึ้นรอบ ๆ

ชั่วพริบตา บริเวณนั้นก็เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความสนุกสนาน

เฉิงฟาโกรธจนกัดฟันแน่น ใบหน้าซีดเซียว พูดไม่ออกเป็นเวลานาน

เดิมทีเขาวางแผนที่จะทำให้ฉินเฟิงขายหน้าต่อหน้าธารกำนัล แต่ใครจะไปคิดว่าคนผู้นี้จะไร้ยางอายและหน้าหนาถึงขั้นนี้

ถึงกับยอมรับอย่างใจกว้างว่าไปดื่มกินบนเรือสำราญ แต่ตัวเฉิงฟาเองกลับต้องอับอายขายขี้หน้า เขายกก้อนหินทุบเท้าตัวเองเสียแล้ว

ครั้งนี้ จึงไม่มีใครสนใจฉินเฟิงอีก

เพราะอย่างไร… ตราบใดที่ฉินเฟิงไม่รู้สึกอาย คนที่อายก็คือผู้อื่น

หลิ่วหงเหยียนรู้สึกทั้งโกรธทั้งขำ นางรู้ว่าฉินเฟิงมีนิสัยไม่ดี เดิมทีนางกังวลว่าจะมีคนใช้ข้อเสียนี้กีดกันไม่ให้เขาเข้าร่วมการสอบชุมนุมกวี
ท้ายที่สุด คาดไม่ถึงว่า ‘พลังการต่อสู้’ ของเขาจะทรงพลังถึงเพียงนี้ ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกละอายใจด้วยคำพูดไม่กี่คำจนสะบัดแขนเสื้อจากไป

หัวใจของหลิ่วหงเหยียนซึ่งแขวนไว้สูงตลอดเวลาค่อยวางลงได้บ้าง

ทว่าท่ามกลางบรรยากาศครึกครื้น ไม่มีใครสังเกตเห็นยิ้มเย้ยหยันที่มุมปากของฉินเฟิง

การปรากฏตัวของเฉิงฟา ยืนยันการคาดเดาก่อนหน้านี้อย่างไม่ต้องสงสัย

พวกหลี่รุ่ยต้องการใช้การสอบชุมนุมกวีเพื่อขับไล่ฉินเฟิงออกจากสำนักศึกษาเซิ่งหลิน และทำลายชื่อเสียงในราชสำนักของบิดาเขาฉินเทียนหู!

แผนการนี้สามารถมองเห็นได้อย่างง่ายดาย เสียทีที่ฉินเฟิงคิดมากเกินไป ไตร่ตรองมาเสียตลอดทาง

ไม่ใช่ว่าฉินเฟิงทำตัวเก่งกาจเกินจริง

หลังจากผ่านประสบการณ์ศึกเอาชีวิตรอดในที่ทำงานอันแสนทรหด จนในที่สุดก็ได้ตำแหน่ง ‘นักขายอันดับหนึ่ง’ มา ยังมีกลอุบายใดอีกเล่าที่เขาไม่เคยเห็น?

แผนการระดับเด็กอนุบาลแบบนี้ ในชีวิตที่แล้วของเขา ฉินเฟิงคร้านที่จะสนใจ

ขณะที่หลิ่วหงเหยียนเดินนำ ฉินเฟิงเชิดหน้าขึ้นสูงพลางเดินไปที่ห้องโถงใหญ่
ในเวลานี้ ‘บรรดาคนดี’ ที่ไม่ได้พูดอะไรเมื่อครู่ ต่างพากันชี้ไม้ชี้มือตามหลังฉินเฟิงไปและเริ่มวิพากษ์วิจารณ์

“สมแล้วที่เป็นนายน้อยฉิน เรื่องบนเรือสำราญ ก็กล้าพูดต่อหน้าธารกำนัล หน้าไม่อายจริง ๆ ทั้งยังดูภูมิใจอีก!”

“ข้าเคยเห็นคนไร้ยางอาย แต่ข้าไม่เคยเห็นคนไร้ยางอายระดับนี้มาก่อน”

“ฮึฮึ ชูคอไปเถิด มาดูกันว่าเขาจะชูคออยู่ได้นานแค่ไหน!”

เมื่อฟังเสียงสนทนารอบตัว หลิ่วหงเหยียนก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว มองไปที่ฉินเฟิงอย่างเรียบเฉย เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะโกรธในที่สาธารณะและจบเรื่องลงด้วยการเอะอะมะเทิ่ง

ปรากฏว่า ฉินเฟิงกลับสงบกว่าที่คาดคิด

หรือว่าน้องชายของข้าเติบโตขึ้นในชั่วข้ามคืน เรียนรู้ที่จะอดทนแล้ว… หลิ่วหงเหยียนบ่นพึมพำในใจและถามด้วยเสียงต่ำว่า “เจ้าไม่โกรธเลยเหรอ”

ฉินเฟิงยักไหล่ “มีอันใดให้โกรธเล่า? พวกเขาก็แค่อิจฉาในรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาของข้าเท่านั้นเอง”

“เอ่อ…”

หลิ่วหงเหยียนทั้งฉุนทั้งขำ หนังหน้าเช่นนี้ ดาบสามเล่มก็ไม่อาจฟันทะลุได้!

คราแรกนางตั้งใจจะสั่งสอนเขาสักสองสามคำ คนรุ่นเยาว์ต้องไม่หยิ่งผยองเกินไป มิฉะนั้นจะเสียเปรียบในอนาคตอย่างแน่นอน

แต่ก็กลืนคำที่จะพูดลงไป การสอบชุมชุมกวีในวันนี้มีความสำคัญมาก ไม่ควรทำให้ความกระตือรือร้นของเจ้าเด็กคนนี้ลดลง

แต่ไม่มีผู้ใดทราบว่าตั้งแต่เข้ามาในห้องโถงใหญ่ ฉินเฟิงไม่เคยละสายตาจากบัณฑิตหญิงที่อยู่ตรงนั้นเลย เขาไม่ได้ยินเสียงรอบข้าง…

สตรีที่ถูกส่งมาที่สำนักศึกษาเซิ่งหลิน ล้วนเป็นบุตรสาวอันเป็นที่รักของตระกูลมั่งคั่ง

หาใช่ผู้ที่สาวใช้ตัวน้อยในตระกูลจะเทียบเคียงได้ แต่ละคนต่างหยิ่งยโสไม่แพ้กัน ใบหน้าเล็ก ๆ นั่นเกือบจะแหงนขึ้นไปบนฟ้า

ฉินเฟิงอดแอบคิดในใจไม่ได้

ภรรยารองหนึ่งคนจ่ายเบี้ยหวัดหนึ่งพันตำลึงเงินทุกเดือน ภรรยารองสิบคนจ่ายเบี้ยหวัดหนึ่งหมื่นตำลึงเงิน

จู่ ๆ ฉินเฟิงก็ไม่อยากต่อสู้อีกต่อไป เกาะผู้หญิงกิน ไม่ดีกว่าหรือ?

ราวกับสัมผัสได้ถึงดวงตาที่มุ่งร้ายของฉินเฟิง บัณฑิตหญิงที่อยู่ที่นั่นพ่นลมหายใจอย่างฉุนเฉียว นางหันหน้าหนีไป แววตาเต็มไปด้วยความขยะแขยง

ไม่ต้องพูดถึงสำนักศึกษาเซิ่งหลิน ทั่วเมืองหลวงมีใครไม่รู้บ้างว่าฉินเฟิงโลภบ้าตัณหา โง่เขลา และไร้ความสามารถ?
ต่อให้ต้องแต่งงานกับบัณฑิตยากไร้ ก็อย่าคิดไปเกี่ยวดองกับคนบ้าราคะเช่นนี้

เมื่อเห็นดวงตาเลื่อนลอยของฉินเฟิง หลิ่วหงเหยียนก็ยื่นมือไปตบหน้าผากของเขาหนึ่งทีและพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “คิดอะไรของเจ้า? เอาความคิดมาอยู่ที่การสอบชุมนุมกวีเสีย หากเจ้าทำพัง ข้าไม่ละเว้นเจ้าแน่!”

จากนั้นฉินเฟิงก็ถอนสายตากลับอย่างไม่พอใจ สำหรับการสอบชุมนุมกวี เขาไม่ได้ให้ความสนใจกับมันมากนัก

ในชีวิตที่แล้วของเขา เขาเป็นถึงแชมป์ฝ่ายขายของบริษัทใหญ่ นอกจากฝีปากที่สามารถทำให้คนตายฟื้นคืนชีพได้ ที่เหลือคือความรู้ที่ลึกล้ำอย่างยิ่ง

บทกวีถังและซ่งสามร้อยบท เขาท่องจนไม่รู้ว่าจำได้กี่ฉบับแล้ว

การสอบชุมนุมกวีครั้งนี้คนอื่นอาจทดสอบทักษะทางวรรณกรรม แต่สำหรับฉินเฟิงนี่คือการทดสอบความจำ

ก็แค่นี้เอง ไม่แปลกที่เจ้าตัวจะไม่กังวล…

การสอบชุมนุมกวีได้เริ่มขึ้นแล้ว โดยแบ่งออกเป็นสามรอบ หลังจากผ่านรอบคัดเลือกรอบแรกและรอบคัดเลือกรอบสอง จึงจะมีสิทธิ์เข้าร่วมแข่งขันรอบชิงซึ่งมีคณบดีของสำนักศึกษาเซิ่งหลินเป็นประธาน

ทุกคนเข้าแถวเดินมาหาผู้คุมสอบรอบคัดเลือกรอบแรกทีละคน และเริ่มสอบอย่างกระหยิ่มใจ

“เส้นแบ่งมหาสมุทรท้องนภาจากโบราณถึงวันนี้ ข้าอยากปีนขึ้นไปมองท้องฟ้าให้สูง แต่อาภรณ์เต๋าแพงระยับ…”

ผู้คุมสอบมีสีหน้าเย็นชา “ไม่มีความเกี่ยวโยง สอบตก คนต่อไป!”

[1] ครึ่งถ้วยชา : ช่วงเวลาราว 5 ถึง 15 นาที

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

ดูข่าวต้นฉบับ