มีคำถามในหัวกับตัวเองว่าทำไมอยากมาเที่ยวที่นี่ ?? ทำไมอยากมาเห็นกับตาถึงสถานที่ที่มีฆาตกรรมหมู่ที่น่าจะเป็นจำนวนผู้เสียชีวิตมากที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้น ??? คำตอบส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะได้ดูภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ที่กำกับโดย สตีเว่น สปีลเบิร์ก ผู้กำกับมือรางวัล ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนั้น คือ Schindler’s List นั่นเอง กวาดรางวัลออสการ์ใน ปี 2537 ไปถึง 7 รางวัล ในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม ถ่ายภาพยอดเยี่ยม ลำดับภาพยอดเยี่ยม กำกับศิลป์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และเพลงประกอบยอดเยี่ยมที่ยังคงติดอยู่ในความทรงจำถึงทุกวันนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงจากนิยายเรื่อง Schindler's Ark ผลงานของโธมัส คนีลลีย์ โดยเล่าถึง ออสการ์ ชินด์เลอร์ นักธุรกิจชาวเยอรมัน ผู้ช่วยชีวิตชาวยิวมากกว่า 1,100 คน ในค่ายกักกันในประเทศโปแลนด์ ใช่แล้วค่ะที่ๆเราตั้งใจพามา คือ ค่ายเอาช์วิทซ์-เบอร์เคอเนา ที่ซึ่งเยอรมันเรียกว่า Final Solution เพราะที่นี่ “คนที่ไม่เป็นที่ต้องการ” เมื่อเข้ามาแล้วไม่มีใครได้กลับออกไป
จากอิทธิพลของภาพยนตร์เรื่องนี้นอกจากจะทำให้เราได้รับรู้ถึงเหตุการณ์สำคัญส่วนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์แล้ว ยังทำให้เห็นความโหดเหี้ยม โหดร้ายที่มนุษย์สร้างขึ้น เพียงเพราะมีความแตกต่างกันที่ชาติกำเนิด เผ่าพันธุ์ โดยไม่ได้คำนึงถึงคุณค่าความเป็นมนุษย์เช่นเดียวกันเลยแม้แต่นิด ข้อสงสัยว่าทำไมการจุดประกายความขัดแย้งถึงจุดติด จนคนทนที่จะอยู่รวมโลกกับคนเหมือนกันไม่ได้ ถึงขนาดต้องฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เรื่องราวที่ดูเหมือนจะมีปมอยู่เพียงไม่มาก แต่ทำไม ? ทำไม ? ซึ่งนั้นก็อาจเป็นเหตุให้ผู้คนมากมาย หลั่งไหลกันมาจากทั่วโลก ทั้งเพื่อค้นหา คำตอบ ศึกษาเรียนรู้ และบางกลุ่มก็มาเพื่อซึมซับ รับรู้ถึงความเจ็บปวดที่เพื่อนร่วมเชื้อชาติในอดีตถูกกระทำ
เมื่อเดินทางมาถึง ไกด์ท้องถิ่น จะพาเราเข้าไปสถานที่เกิดเหตุในเมือง ออสวิซิม Oświęcim ที่เยอรมันเรียกว่า เอาช์วิทซ์ อยู่ในประเทศโปแลนด์ มี 2 ส่วนด้วยกัน ส่วนแรกเป็นค่ายกักกัน เอาช์วิทซ์ Auschwitz ส่วนที่ 2 เป็นค่ายเบอร์เคอเนา Birkenau ทำไมต้องโปแลนด์ เพราะที่นี่เป็นจุดศูนย์กลางของยุโรป การเดินทางของชาวยิวจากทุกประเทศทั่วยุโรป มาที่นี่ และ เบอร์เคอเนา
ประตูทางเข้าค่ายเอาช์วิทซ์
Arbeit Macht Frei “ทำงานเพื่อเสรีภาพ”
โดยที่ เอาช์วิทซ์ ค่ายแห่งแรกถูกดัดแปลงจากที่ทำการทหารของโปแลนด์มาเป็นค่ายกักกัน นาซีเยอรมันใช้วิธีกวาดต้อนผู้คนโดยหลอกว่าจะให้มาทำงานเพื่อแลกกับการที่จะได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น หนึ่งในคำให้การของ รูด็อล์ฟ เฮิส Rudolf Höss นาซีเยอรมนี ผู้บัญชาการค่าย เขากับ ร้อยเอก Karl Fritzsch ผู้ใต้บังคับบัญชา ได้ทดลองฆ่าคนจำนวนมากด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อใช้ในการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ยิวในยุโรปภายใต้การยึดครองของเยอรมันอย่างเป็นระบบ หรือ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มาตราการสุดท้าย (Final Solution) โดยเลือกใช้สารกำจัดศัตรูพืช ไซคลอน บี ที่มีสารไฮโดรเจนไซยาไนด์เพื่อการสังหารหมู่ด้วยวิธีรมแก๊ส
ค่ายเบอร์เคอเนา ตัวค่ายเหมือนคอกม้า มีห้องปลดทุกข์ที่มีเวลาให้ใช้อย่างจำกัดสำหรับคนหลักพัน
สภาพเรือนนอนที่ค่ายเบอร์เคอเนา 1 ช่องต้องนอนเบียดกันถึง 5 คน
มีการสร้างห้องขนาดใหญ่สำหรับการฆาตกรรมคนนับพันคนภายในเวลาไม่ถึง 20 นาที ตัวเลขของนักโทษชาวยิวเขียนไว้ว่ามีชาวยิว 1.1 ล้านคน แต่จากคำให้การของเฮิสระบุว่ามีชาวยิวกว่า 3 ล้านคนมาที่นี่ จากเกือบทุกประเทศในยุโรป ส่วนใหญ่ถูกสังหารในห้องรมแก๊ส โดยเฉพาะ ผู้หญิง เด็ก ผู้พิการ จะโดนเลือกเข้าห้องอาบน้ำ (ชื่อเรียกห้องรมแก๊ส) ตั้งแต่วันแรกที่เดินทางมาถึง ส่วนอื่นๆเสียชีวิตจากความอดอยาก การใช้แรงงาน โรคภัยไข้เจ็บ ถูกยิง และ การทดลองทางแพทย์ ค่ายทั้ง 2 แห่ง นี้ถูกปลดปล่อยโดยทหารรัสเซียในวันที่ 27 มกราคม 1945 ซึ่งกลายเป็นวันรำลึกถึงเหตุการณ์ฆ่าล้างเผาพันธุ์นานาชาติ (International Holocaust Remembrance Day)
หน้าห้องอาบน้ำ (GAS CHAMBER ) ที่ยังคงหลงเหลือให้เห็น
ภายในห้องอาบน้ำ ยังคงมีร่องรอย ความหดหู่ที่รู้สึกได้
ติดกันเป็นเตาเผาศพ ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่เพียงพอ
จำลอง ห้องสังหารขนาดใหญ่
กระป๋องแก๊สจำนวนมากถูกพบที่ค่าย
ในปี ค.ศ. 1947 โปแลนด์ได้เปิดค่ายทั้ง 2 ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ เพื่อระลึกถึงผู้เสียชีวิต แม้ว่า Gas Chamber ที่เบอร์คาเนาจะโดยทำลายหลักฐานไป แต่ที่เอาช์วิทซ์ยังคงมีให้เห็น หลักฐานของความโหดเหี้ยมของมนุษย์ที่มีกับมนุษย์ด้วยกัน
โถใส่เถ้ากระดูกของชาวยิว
เจ้าของรองเท้าจะรู้เรื่องอะไรไหม?
และแน่นอนว่าเจ้าของขาเทียมเหล่านี้เป็นกลุ่มแรกที่ถูกกำจัด
ภาพถ่ายของกลุ่มที่มาถึงค่ายก็ต้องเข้าห้องอาบน้ำเลยทันที แม่และเด็ก
ฝาแฝด Eva - Miriam Mozes รอดชีวิตจากการทดลองทางพันธุกรรม ฝาแฝดกว่า 3 พันคู่ต้องเสียชีวิตจากการทดลองทางการแพทย์ที่โหดร้ายทารุณ Eva ได้เขียนหนังสือเล่าถึงเรื่องประสบการณ์อันเลวร้ายที่ตัวเธอได้รับ
ในส่วนนิทรรศการก็จะแสดงภาพภายหลังการปลดปล่อยค่าย ผู้คนที่รอดชีวิตมีสภาพร่างกายซูบผอม เห็นกระดูก เพราะไม่มีอาหารเพียงพอ
เสียดายว่าทริปนี้เรามีเวลาแค่ 2 ชั่วโมง ซึ่งจริงๆแล้ว อย่างน้อยต้องให้เวลาที่นี่ 3 ชั่วโมงครึ่ง ถ้าจะให้ลงลึกถึงรายละเอียดก็ต้องใช้เวลา 2 วันเต็ม
Cr. เรียบเรียงและรูปภาพ โดย : อัจฉรา บัวสมบูรณ์
พี่อ้อ การพลัดพรากที่ไร้ชึ่งการสั่งลา
26 มิ.ย. 2562 เวลา 03.09 น.
หดหู่!
26 มิ.ย. 2562 เวลา 02.12 น.
Akk ความเกลียดชัง ที่เกิดจากการปลูกฝังค่านิยมผิดๆ
จนถึงทุกวันนี้ก็ยังเหมือนเดิม
26 มิ.ย. 2562 เวลา 07.09 น.
สมนต์พร RE(ซิมค่ะ) เจ็บปวดทุกครั้งที่อ่านเรื่องนี้
26 มิ.ย. 2562 เวลา 05.37 น.
มิน่านักท่องเที่ยวถึงต้องการมาดูที่ย่าน ราชประสงค์+ถนนดินสอ และถนนราชดำเนินเช่นกัน
26 มิ.ย. 2562 เวลา 04.40 น.
ดูทั้งหมด