ในขณะที่สถานการณ์ของการแพร่ระบาดของ โรคระบาดอย่างโควิด - 19 ในประเทศไทย ยังไม่มีที่ท่าว่าจะดีขึ้น กลับยิ่งทวีความรุนแรง
แม้ว่ารัฐบาล จะออกมาตรการ Lock Down ขณะนี้ ขยายวงกว้างกว่า 29 จังหวัดแล้ว ยอดผู้ติดเชื้อตอนนี้ พุ่งสูงเป็นสถิตกาลกว่า 20000+ อันนี้เป็นเพียงยอดต่อวัน นับเป็นรายอาทิตย์ นี่ติดเชื้อหลักแสน และยอดผู้เสียชีวิต พุ่งทะยานหลักร้อยต่อวัน ถือว่าเป็นความสูญเสีย ที่ไม่ใช่จำนวนน้อยอีกต่อไป กับความสูญเสียขนาดนี้ หลายคนคงมีความกังวลใจ หนักใจ กับสถานการณ์แบบนี้ เพราะหันไปทางไหน ก็เห็นแต่ความมืด ไม่รู้จะหาทางออกยังไงดี
ในด้านนึงอาจจะต้องยอมรับว่า โดยทั่วไปแล้ว ประชาชนในพื้นที่ประเทศไทย ไม่สามารถเข้าถึงการบริการทางด้านสาธารณะสุขที่ดีได้อย่งาที่ควร ทำให้ความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวเรื่องวิธีการป้องกัน รวมถึงการดูแลตัวเอง ให้ถูกต้อง เป็นเรื่องที่ห่างไกลเข้าไปอีก และนี่ความน่ากลัว ที่มากกว่าเรื่องของการแพร่ระบาดโรคซะอีก เพราะว่าประชาชน ไม่สารถป้องกันตัวเองได้เอง เพราะไม่มีความรู้ และยิ่งในเคสที่ฉุกเฉินมากๆ หรือ ที่ถูกเรียกเป็นส่วนของผู้ป่วย เหลือง และ แดง ให้ตายยังไงตอนนี้ ก็ไม่มีเตียงให้สำหรับนอน หรือ เฝ้าระวังให้หมอดูแลอาการอย่างใกล้ชิด เนื่องจากสถานการณ์ของเตียงรับผู้ป่วย ในประเทศ เต็มหลายๆที่ ยิ่งเป็นกทม คุณถอดใจไปได้เลย เพราะว่าหลายที่ แจ้งแล้วว่า เตียงเต็ม เกิน 100% ไปแล้วด้วยซ้ำ บางที่รับได้ 50 เตียง จำนวนผู้ป่วยนอนเตียงพุ่งไปถึง 80-100 เคส เยอะจนล้น จนต้องนำเตียงมากางข้างนอกพื้นที่ รพ. หรือ บริเวณลานจอดรถหน้าตึก แล้วดูแลผู้ป่วยไปแบบนั้น ซึ่งเป็นภาพที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น
ในภาคส่วนของเอกชนและประชาชนทั่วไป ก็ต่างร่วมมือ ร่วมด้วยช่วยกันอย่างเต็มที่ ในการร่วมมือกันสร้าง โรงพยาบาลสนาม รวมถึงบางส่วนบริจาคพื้นที่ หรือ อนุญาตให้ใช้สถานที่ของตนเอง เป็น Hospitel รวมถึงสถานที่พักคอย เพื่อให้ผู้ป่วยในเคส เขียว ได้เข้ามาพักรักษาตัว ดูอาการ รวมถึงรับยา จนกว่าจะหายจากโอกาสการแพร่ระบาดเชื้อโรค แล้วกลับบ้านได้
กลับมาที่ส่วนของการป้องกันตัวเอง สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้รับเชื้อ หรือ ยังไม่ติดเชื้อ โควิด - 19 จะทำอย่างไร ให้ตัวเองห่างไกลเชื้อให้ได้มากที่สุด จะทำอย่างไรดีให้เราปลอดภัย อย่างแรกที่แน่ ๆ เลย ที่จะทำให้เราไม่ติดเชื้อ คือ เราไม่ไปเจอใครเลย ถ้าไม่เจอคนอื่นแบบ 100% แบบอยู่คนเดียว อันนี้คุณไม่ติดแน่นอน 100% เหมือนกัน แต่มันจะเป็นได้ยังไง ในเมื่อมนุษย์ยังสังเคราะห์แสงเป็นอาหารไม่ได้ ไม่ได้ตากแดดแล้วอิ่มท้อง แน่นอน เราต้องออกไปซื้อหาร เพื่อการยังชีพ มันต้องออกไปข้างนอกเพื่อซื้อวัตถุดิบ หรือ อาหารสำเร็จ กินอยู่แล้ว ทำยังไงล่ะ ถ้าหากยังต้องออกไปเจอสังคม พบเจอผู้คนมากหน้าหลายตา ขั้นแรก ให้คุณกังวลไว้ก่อนได้เลย ว่าคนที่คุณเจอ ไมว่าจะแปลกหน้า หรือ คุ้นหน้านั้น ให้คิดไว้ก่อนเลยว่า เค้าได้ติดเชื้อไปแล้ว และ การปฏิบัติตัว และ การพูดคุย จะต้องเว้นระยะอย่างเหมาะสม ในพื้นที่ ที่มีอากาศถ่ายเทได้อย่างสะดวกด้วย ในขั้นตอนถัดมา คงหนีไม่พ้นเรื่องการดูแลตัวเอง อย่างการล้างมือเป็นประจำ ด้วยน้ำยาล้างมือ ที่ชำระล้างสิ่งสกปรกได้ รวมถึงสิ่งที่เราขาดไม่ได้ ถึงขนาดที่รณรงค์ในใช้ในบ้าน นั่นคือหน้ากากอนามัย
ถึงเนื้อหาของเรื่องหน้ากาก เป็นที่แน่นอนว่า ทุกคนต้องสวมหน้ากาก และ ทุกคนต้องการหน้ากาก ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อแบบสูงที่สุดอยู่แล้วด้วย เคยมีช่วงนึง ที่การระบาดเริ่มแพร่กระจายใหม่ ๆ ในประเทศไทย อุตสาหกรรมที่ผลิตหน้ากาก ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ผลิตไม่ทัน เพราะคนกักตุน รวมถึงเหมาไปขาย กันเป็นจำนวนมาก ทำให้หน้ากากอนามัย ที่เราเห็นได้ทั่วไป ซื้อที่ไหนก็ได้ ไม่มีเหมือนแต่ก่อน เพราะมันหมดทุกร้าน ทุกที่ ตอนนั้นการแพร่ระบาดต่อวัน ยังอยู่แค่เพียงหลักร้อยต้นๆ ด้วยซ้ำ ไม่มีขยับมาถึงหลักหมื่นเลย แล้วโควิด - 19 ก็โคจรออกไปสักพัก ทำให้สต๊อกหน้ากาก และ การขายที่เข้มข้น ที่ถึงขนาดต้องออกโรงเตือนด้วยกฎหมายที่เข้มงวด เรื่องของราคาต่อชิ้นเลยทีเดียว กลับมาปกติ ของมีสต๊อก และ มีพร้อมขาย เนื่องจากตอนนั้น การระบาดเบาลง ผู้ติดเชื้อลดลง ต้องบอกว่าคนเบาใจ ก็ไม่ต้องมีกากกักตุนหน้ากาก แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป เข้าสู้จุดพีค เช่นตอนนี้ หน้ากับมามีบทบาทอีกครั้ง โดยหลายคน เลือกที่จะสวมหน้ากาก 3 ชั้น เพราะคิดว่ามีความปลอดภัยมากกว่า เมื่อต้องออกไปใช้ชีวิต เจอกับผู้คน โดยคิดว่ามีความสามารถ ในการป้องกันเชื้อสายพันธุ์ใหม่ได้ดีกว่า
ต้องบอกว่ามันนต่างกันนิดหน่อย ตรงที่คนไม่สต๊อกหน้ากากไว้ใช้งานอีกแล้ว และยังหาซื้อง่ายอยู่ในสถานการณ์ที่แพร่ระบาดหลักหมื่น สิ่งที่แตกต่างออกไป คือ ความกังวลในเรื่องประสิทธิภาพของหน้ากากซะมากกว่า โดยตอนนี่ประเด็นที่กำลังร้อน และ ประสบกันได้บ่อย ๆ ของร้านที่ขายหน้ากาก หรือ มีสินค้าประเภทนี้พบ คือ ลูกค้าที่สั่งหน้ากาก ให้ความสนใจ กับตัวแปรของหน้ากากมากขึ้น โดยสิ่งที่กำลังพูดถึงคือ BFE , PFE , VFE สิ่งเหล่านี้คืออะไร ทำไมถึงกลายมาเป็นตัวแปร ในการตัดสินใจซื้อหน้ากากของบุคคลมากขึ้น เพราะอะไร อยู่ดี ๆ ถึงกลายมาเป็นประเด็นได้ ?
BFE , PFE , VFE ตัวแปรสามตัวนี้ คืออะไร ทำไมมีความสำคัญ ?
เกิดประเด็นการแชร์ ในโลกออนไลน์อย่าง วิธีการเลือกหน้ากาก ทั้งของเด็ก และ ผู้ใหญ่ ที่ว่า จะเลือกหน้ากากที่ดี และ มีความปลอดภัย โดยใช้หลักการดูอักษรบริเวณกล่องหน้ากากอนามัย เป็นตัวอักษร 3 ชุด แต่ละชุดประกอบด้วยตัวอักษร 3 ตัว เช่น BFE 99% , PFE 99% อะไรประมาณนี้ สิ่งเหล่านี้คืออะไร ?
โดยค่าดังกล่าวเป็นค่ามาตรฐาน ของการผลิตหน้ากาก เพื่อวัตถุประสงค์ของการใช้งาน ในการป้องกันสารคัดหลั่ง ละอองฝอย ละอองปกติ น้ำลาย น้ำมูก จากการไอ การจาม เพื่อป้องการแพร่กระจายของเชื้อโรค โดยสถาบัน FDA หรือ อย. เกิดในประเทศสหรัฐอเมริกา กำหนดเพื่อเป็นเกณฑ์ ในการใช้ตรวจ และ วัดมาตรฐานของหน้ากากนั่นเอง เป็นหน้ากากอนามัย ที่ใช้ในโรงพยาบาล สำหรับผ่าตัด หรือ งานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และ ต้องการสวมหน้ากากเพื่อป้องกัน โดยแบ่งประสทิธิภาพดังนี้
BFE > 99% = (Bacterial Filtration Efficiency : BFE) ค่าที่บ่งบอกถึงความสามารถ ของหน้ากากอนามัย ในการกรองอนุภาคของแบคทีเรียและเชื้อจุลินทรีย์อื่นๆ ซึ่งมีอนุภาคเฉลี่ย (Mean Particle Size : MPS) ขนาด 3-0.3 ไมครอน
PFE > 99% = (Particulate Filtration Efficiency : PFE) เป็นค่าที่บ่งบอกถึงความสามารถของหน้ากากอนามัยในการกรองอนุภาคที่มีขนาดเล็กมาก ซึ่งมีอนุภาค (Particle Size) ขนาด 0.1 ไมครอน ดังนั้น จึงสามารถกรองฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ได้ด้วย
VFE > 99% = (Viral Filtration Efficiency : VFE) เป็นค่าที่บ่งบอกถึงความสามารถของหน้ากากอนามัยในการกรองอนุภาคของไวรัส ซึ่งมีอนุภาคเฉลี่ย (Mean Particle Size : MPS) ขนาด 3-0.3 ไมครอน
เคลียร์ชัด ๆ อีกรอบ หน้ากาก BFE , PFE , VFE ป้องกัน โควิดได้หรือไม่ ?
จากข้อกำหนดมาตรฐานของ BFE ที่ดูเหมือนกัน ระดับการป้องกันจะต่ำกว่า อีกสองอันด้านล่าง ทำให้คนมองหน้าหน้ากาก PFE และ VFE เป็นจำนวนมาก หากไม่ใช่สองอันนี้หรือต่ำกว่านี้ ก็กลายเป็นว่าไม่เชื่อไปอีก พาลจะไม่ซื้อเอา ต้องเรียกมาเคลียร์ให้ชัดอีกรอบ ทำความเข้าใจใหม่
หน้ากากอนามัย BFE ≥ 98% เหมาะสำหรับป้องกันการกระจายของของเหลว ละออง และ/หรือ ละอองฝอยในปริมาณมากถึงปานกลาง “บุคลากรทางการแพทย์และบุคคลทั่วไปสามารถสวมใส่เพื่อป้องกันสารคัดหลั่งจากการไอ จามหรือสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยทางเดินหายใจ รวมถึงผู้อยู่ในระยะเฝ้าระวังว่าจะติด COVID-19 เช่น กลับจากพื้นที่ซึ่งมีการระบาด หรือสัมผัสผู้ป่วยโดยไม่ได้ป้องกัน”
ยืนยัน นั่งยัน นอนยัน ว่า BFE 99% หรือจะอันไหน ในสามอัน ก็มีความสามารถในการปัองกันการติดเชื้อได้เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าหน้ากาก PFE และ VFE จะป้องกันได้เท่านั้น เดี๋ยวจะเป็นช่องว่างที่ทำให้เข้าใจผิด และ ผู้ค้าทำการโก่งเอากำไรจากความเชื่อดังกล่าวได้
ในสถานการณ์จริงๆ เราแทบจะไม่ได้ใช้หน้ากาก ที่มีความสามารถในการป้องกันไวรัสได้โดยตรง (แต่ถ้าใช้ก็ไม่ได้ผิดอะไร) เพราะในสถานการณ์การใช้ชีวิต ไวรัสที่แพร่ในอากาศนั้น ต้องอาศัยพาหะ หรือ ตัวนำพา เพื่อเกาะ และ แพร่กระจายไปที่อื่น ซึ่งเชื้อจะอยู่ใน น้ำลาย น้ำมูก สารคัดหลั่ง ออกมาจากการไอจาม การสัมผัส และ เมื่อไวรัสจะแพร่กระจาย ที่เกาะกับพาหะนั้น มีขนาดใหญ่กว่า ขนาดที่ Test ในหน้ากาก "เยอะมาก" โดยสรุปแล้วก็คือ หน้ากา BFE 99% ก็ป้องกันได้ ก็สามารถใส่ป้องกันโควิด - 19 ได้ แต่ข้อสังเกตคือ ไม่ได้ระบุชัดว่าป้องกันได้กี่ % ซึ่งต่า'จาก VFE ซึ่งระบไว้ชัดเจนว่า ป้องกันเชื้อไวรัสได้ 99%
สิ่งที่สำคัญจริง ๆ มากกว่า คือ การใส่ใจกับการใส่หน้ากากที่ถูกต้อง และ การไม่ใช้ซ้ำ และ เลือกซื้ำหน้ากากที่เหมาะสม ผลิตจากโรงงานที่ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองจากองกรค์ที่เกี่ยวข้อง ของการตรวจสอบหน้ากากที่ถูกตามหลักมาตรฐานสากล มีใบอนุญาตถูกต้องจากร้านค้าที่น่าเชื่อถือเป็นสาระสำคัญมากกว่าการสังเกตสัญลักษณ์ข้างบรรจุภัณฑ์ว่ามีตัวอักษรดังกล่าวหรือไม่ เพราะท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าจะ BFE / PFE และ VFE ก็สามารถสวมใส่ป้องกันการแพร่เชื้อและรับเชื้อโควิด-19 ได้ทั้งสิ้น
การซื้อหน้ากากอนามัยป้องกันโควิด-19
หน้ากากอนามัยที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิด-19 ควรมีข้อความบนกล่องต้องเขียนข้อความอย่างใดอย่างหนึ่ง
หน้ากากอนามัยทางการแพทย์
Medical mask
Surgical mask
โดยไม่จำเป็นต้องมีการเขียนกำกับเรื่อง VFE, BFE หรือ PFE ก็ได้เช่นกัน
กรณีที่ไม่มั่นใจ เกรงว่าจะมีการปลอมแปลงข้อความข้างกล่อง สามารถตรวจสอบรายชื่อผลิตภัณฑ์ที่ทาง อย. รับรอง ได้ที่เว็บไซต์ www.fda.moph.go.th
REF : 3D Kids Mask Kid , Fascino , Promotion