นอกจากพระราชกรณียกิจที่สร้างคุณนานัปการให้กับแผ่นดินและปวงชนชาวไทยแล้ว เราเชื่อว่าสิ่งที่ยังอยู่ในดวงใจของชาวไทยทุกคนก็คือเรื่องเล่าต่างๆ ที่ส่งต่อกันมาเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทั้งพระเมตตา พระบารมี เรื่องเล่าจากการทรงงาน รวมไปถึงสิ่งหนึ่งที่เราหยิบกลับมาอ่านแล้วอ่านเล่าได้หลายครั้งก็คือเรื่องพระราชอารมณ์ขันของพระองค์ ขอนำมาแบ่งปันในคอลัมน์พิเศษนี้.. เรื่องเล่าของพ่อ : พระราชอารมณ์ขันของในหลวงร.๙
ตอน “วันนี้ฉันเป็นในหลวง…คงผ่านซุ้มนี้ได้แล้วนะ…”
พระราชอารมณ์ขันในเรื่องนี้เกิดขึ้นระหว่างการเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปยังพระราชวังไกลกังวล ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วในหลวงรัชกาลที่ 9 จะทรงขับรถยนต์พระที่นั่งไปเป็นการส่วนพระองค์ ไม่ได้บอกให้ราษฎรแถวนั้นรู้ล่วงหน้าว่าเสด็จมาถึงแล้ว
“วันหนึ่งทรงขับรถยนต์พระที่นั่งผ่านไปถึงยังบริเวณหมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านหมู่บ้านห้วยมงคล อำเภอหัวหิน ซึ่งราษฎรกำลังช่วยกันตกแต่งประดับซุ้มรับเสด็จกันอย่างสนุกสนานครื้นเครง และไม่คาดคิดว่าเป็นรถยนต์พระที่นั่งส่วนพระองค์ ต้องให้ในหลวงเสด็จฯก่อน แล้วพรุ่งนี้ถึงจะลอดผ่านซุ้มได้…'วันนี้ห้ามลอดผ่านซุ้มนี้ เพราะขอให้ในหลวงผ่านก่อนนะ'…ทรงขับรถพระที่นั่งเบี่ยงข้างทาง ไม่ลอดซุ้มดังกล่าว
วันรุ่งขึ้นเมื่อทรงขับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในหมู่บ้านนี้อย่างเป็นทางการ พร้อมคณะข้าราชบริพารผู้ติดตาม และมีพระดำรัสทักทายกับชายผู้นั้นที่เฝ้าอยู่หน้าซุ้มเมื่อวันวานว่า ‘วันนี้ฉันเป็นในหลวง…คงผ่านซุ้มนี้ได้แล้วนะ’ …”
ตอน “คนในแบงค์โทรมา”
เรื่องนี้มาจากนังสือ “พระราชอารมณ์ขัน” ที่เขียนโดยคุณวิลาศ มณีวัต เล่าว่า
“เมื่อคราวที่ทูลกระหม่อมฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ประทับที่ รพ.ศิริราช ช่วงเช้าตรู่มีโทรศัพท์ดังขึ้นใน ห้องบรรทม ของพระองค์ท่าน
พยาบาลที่ถวายงานพยาบาลอยู่จึงไปรับสาย ก็มีเสียงปลายทางพูดมาว่า 'ขอสายฟ้าหญิง'
คุณพยาบาลจึงได้ถามกลับไปว่า 'ขอประทานโทษค่ะ ใครจะเรียนสายด้วยคะ'
'บอกเขาว่า คนในแบงก์โทรมา' อีกฝ่ายตอบกลับ
คุณพยาบาลก็ถามกลับไปอีกว่า 'ธนาคารไหนคะ' และคิดในใจว่า ยังเช้าอยู่ โทรมาเรื่องอะไร
คุณพยาบาลก็ออกอาการงงอยู่ช่วงครู่ และเดินไปทูลฟ้าหญิง พอกลับมานั่งทบทวน 'คนในแบงก์โทรมา' ถึงกับตื่นเต้นตกใจขนลุกขนพอง เพราะคนในแบงก์ คือ 'ในหลวง' นั่นเอง”
ตอน “ส่งเสี่ยกลับวัง”
“เมื่อสมัยก่อนเสด็จแปร พระราชฐานไปยังหัวหิน มักจะเสด็จออกไปยังตลาดหัวหินบ่อยครั้ง และบางครั้งโดยลำพังพระองค์
มีครั้งหนึ่งระหว่างจะเสด็จกลับ ซาเล้งที่ตลาดทูลถามว่า 'ไปไหมเสี่ย' ปรากฏว่าเสี่ยพระองค์นี้สนพระทัยก็ตรัสจ้างไปยังพระราชวังไกลกังวล โดยที่ซาเล้งคนนั้นไม่รู้ นึกว่าเป็นข้าราชการ
แต่พอถึงหน้าพระราชวัง ทหารสั่ง วันทยาวุธ เท่านั้นแหละ ซาเล็งถึงรู้ว่า เสี่ยที่มาส่งน่ะเป็นใคร”
ตอน “เราจับได้แล้ว”
ท่านผู้หญิงเกนหลง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา นางสนองพระโอษฐ์ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เล่าเรื่องนี้เอาไว้ว่าครั้งหนึ่งในงานนิทรรศการ “ก้าวไกลไทยทำ” วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2538 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนิน พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถไปยังงานนี้ ทั้งสองพระองค์เสด็จไปตามศาลาการแสดงต่างๆ และไปทรงไปเยี่ยมศาลาของบริษัทโซนี่ (อิเล็กทรอนิกส์)
“ภายในศาลาแต่งเป็น “พิภพใต้ทะเล” โดยใช้เทคนิคใหม่ล่าสุด จะมีช่วงให้เห็นสัตว์ทะเลว่ายผ่านไปมา ปลาตัวเล็กๆ สีสวยจะว่ายเข้ามาอยู่ตรงหน้า ข้อสำคัญเขาเขียนป้ายไว้ว่า…ถ้าใครจับปลาได้ เขาจะให้เครื่องรับโทรทัศน์
พวกเราไขว่คว้าเท่าไหร่ก็จับไม่ได้ เพราะเป็นเพียงแสงเท่านั้น แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวO มีพระราชดำรัสว่า “เราจับได้แล้ว” พร้อมทั้งทรงยกกล้องถ่ายรูปชูให้ผู้บรรยายดู แล้วรับสั่งต่อ “อยู่ในนี้” ต่อจากนั้นคงไม่ต้องเล่า เพราะเมื่ออัดรูปออกมาก็จะเป็นภาพปลาและจับต้องได้ บริษัทโซนี่จึงต้องน้อมเกล้าฯถวายเครื่องรับโทรทัศน์ตามที่ประกาศไว้…”
ตอน “ชื่อเดียวกันเลย”
เรื่องการใช้คำราชาศัพท์เป็นสิ่งที่หลายคนไม่ถนัด ถึงแม้จะเป็นข้าราชการก็ตามที ถ้าต้องไปพูดหน้าพระพักตร์เมื่อไร ก็อาจจะตื่นเต้นจนผิดพลาดได้เหมือนกับเรื่องนี้
“ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ รองราชเลขาธิการ เคยเล่าให้ฟังว่า ด้วยพระบุญญาธิการและพระบารมีในพระองค์นั้นมีมากล้น จนบางคนถึงกับไม่อาจระงับอาการกิริยาประหม่ายามกราบบังคมทูลฯ จึงมีผิดพลาดเสมอ แม้จะซักซ้อมมาเป็นอย่างดีก็ตาม ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน มีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงานว่า “ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า “พลตรีภูมิพลอดุลยเดช” ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกราบบังคมทูลรายงาน…” เมื่อคำกราบบังคมทูล ในหลวงทรงแย้มพระสรวลอย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ถือสาว่า “เออ ดี เราชื่อเดียวกัน…” ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้าฯต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัย เพราะผู้กราบบังคมทูลรายงานตื่นเต้นจนกระทั่งจำชื่อตนเองไม่ได้”
ตอน “นางมณีเมขลา”
ปี 2538 เป็นปีที่มีพายุไต้ฝุ่นแอนเจลล่ากระหน่ำเข้ามา คุณสมิทธ ธรรมสโรช อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ก็กราบบังคมทูลรายงาน พร้อมกับออกโทรทัศน์ประกาศว่าพายุลูกนี้กำลังมุ่งหน้ามาทางประเทศไทยแน่นอนภายใน 3 วัน ให้คนกรุงเทพ ฯ เตรียมเรือเอาไว้
“ปรากฏว่าผู้คนตกใจแตกตื่นเป็นการใหญ่ ทั้งซีเอ็นเอ็นและบีบีซีก็ออกเป็นข่าวด่วนด้วย
วันรุ่งขึ้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 มีพระราชกระแสรับสั่งถึงอธิบดีสมิทธว่า ซูเปอร์ไต้ฝุ่น “แอนเจลล่า” จะอ่อนแรงเปลี่ยนทิศทางขึ้นเหนือ ไม่เข้าไทยแน่นอน ขอให้แจ้งประชาชนด้วย ว่า ไม่ต้องตกใจ
วันต่อมาสิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น ก่อนจะถึงเวียดนามพายุ “แอนเจลล่า” ได้เปลี่ยนทิศทางหักมุม 90 องศาขึ้นเหนือ ขึ้นฝั่งทางตอนใต้ของประเทศจีน มีคนตาย 700 – 800 คน
ต่อมาไม่นาน ผมได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เข้าร่วมโต๊ะเสวย ช่วงหนึ่ง ผม(ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล) ได้กราบบังคมทูล ว่า อธิบดีสมิทธิ บอกว่า ‘นักอุตุนิยมวิทยาทั่วโลก เห็นตรงกันว่า ไต้ฝุ่น “แอนเจลล่า” ต้องเข้าเวียดนามและไทยแน่นอน ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท พระองค์เดียว ทรงยืนยันว่า ไม่เข้า เขาจะพากันเผาตำราทิ้งหมดแล้ว ทรงทราบได้อย่างไร พระพุทธเจ้าข้า’
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแย้มพระสรวล พลางรับสั่งว่า ‘ฉันให้นางมณีเมขลาไปห้ามไว้’ ”
ความจริงที่ทำให้พระองค์ทรงทำนายไว้เช่นนั้นก็คือพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชไม่ได้ทรงบรรทมทั้งคืนแต่ทรงตรวจสอบข่าวสารอยู่โดยตลอด ทำให้พระองค์วิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำและแตกต่างจากแหล่งข้อมูลอื่นๆ โดยสิ้นเชิง
ที่มา
https://www2.mtec.or.th/th/e-magazine/admin/upload/227_65-69.pdf
https://www.thairath.co.th/content/894360
🩰☁️💫 อ่านไป ก็น้ำตาไหลไปด้วยความระลึกถึงพระองค์อย่างสุดซึ้ง
24 ต.ค. 2561 เวลา 22.15 น.
smileyboy อ่านแล้วยิ้มทั้งน้ำตา ..."คิดถึงพระองค์ท่าน"
ธ สถิตอยู่ในใจไทยนิรันด์
24 ต.ค. 2561 เวลา 22.23 น.
พงษ์พิสิษฐ์ K9/8 King of king
กาลเวลาผ่านพ้น
ไม่อาจหยุดยั่ง
เฉกเช่นเดียวกับที่
ข้าพระพุทธเจ้า คิดถึง
พระองค์ทุกลมหายใจ
24 ต.ค. 2561 เวลา 22.17 น.
คล้ายเดือน อ่านไปร้องไห้ไป ข้าฯรองพระบาทคนนี้ยังคงคิดถึงพระองค์เหลือเกิน
24 ต.ค. 2561 เวลา 22.58 น.
ทรงพระเจริญ สถิตในใจชั่วนิรันด์🙏
24 ต.ค. 2561 เวลา 23.18 น.
ดูทั้งหมด