เมืองไทย 360 องศา
ต้องเรียกว่าถาโถมเข้ามาเป็นขบวนจนตั้งรับแทบไม่ทันเลยทีเดียวสำหรับสารพัดปัญหาที่เรียกว่าเข้าขั้น “วิกฤติ”ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเริ่มต้นด้วย ภัยแล้ง ที่คาดว่าปีนี้จะลากยาวไปจนถึงเดือนมิถุนายนเลยทีเดียว จากนั้นก็ตามมาด้วยเรื่อง ฝุ่นขนาดเล็ก พีเอ็ม 2.5 ที่คลุ้งไปทั่วประเทศมาได้พักใหญ่แล้ว จากนั้นก็ตามมาด้วยร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 จำนวน 3.2 ล้านล้านบาทที่เสี่ยงเข้าข่ายโมฆะจากกรณี ส.ส.เสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน
และล่าสุดกำลังเจอกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่โคโรน่าจากประเทศจีนและกำลังแพร่กระจายไปทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีนกท่องเที่ยวจากประเทศจีนเดินทางเข้ามาจำนวนมาก และมีการตรวจพบผู้ติดเชื้อและพบผู้ป่วยรายใหม่ในหลายจังหวัดเกือบทั่วประเทศเกือบสิบรายแล้ว
ดังนั้นก็ต้องบอกว่าแต่ละเรื่องถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่ยากจะรับมืออยู่แล้ว แต่นี่ยังมาประดังเข้ามาในเวลาไล่เลี่ยกันมันก็เป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสไมน้อยเลยทีเดียว ที่สำคัญต้องมาเจอกับ “การเมืองแสนห่วย” ที่จ้องฉวยโอกาสซ้ำเติมทำลาย มีเป้าหมายอย่างเดียวก็คือต้องการทำลายรัฐบาลและ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ล้มลงไปให้เร็วที่สุดเท่านั้น พวกกับพวกนักวิจารณ์ในโลกโซเชียลฯที่เกรียนกันหน้าจอแบบไม่ยั้งมันกิ่งไปกันใหญ่
อย่างไรก็ดีอีกด้านหนึ่งในฝั่งของรัฐบาลบางครั้งมันก็สมควรที่ต้องถูกวิจารณ์แบบรุนแรงเหมือนกัน เพราะบางเรื่องที่กลายเป็นวิกฤติอยู่ในเวลานี้ เช่น ภัยแล้ง และปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ที่รับรู้และสามารถคาดการณ์กันได้ล่วงหน้า แต่การรับมือและการสร้างมาตรการรับรู้ให้กับชาวบ้านกลับทำกันแบบเรื่อยเฉื่อย เหมือนสถานการณ์ปกติ หรือบางครั้งแม้จะมีมาตรการต่างๆออกมาแต่ก็ไม่ทันใจ ไม่เข้มข้นให้ชาวบ้านสัมผัสได้อย่างพอใจ
แน่นอนว่าเรื่องภัยแล้ง และปัญหาฝุ่นละออง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของภัยธรรมชาติ แต่ขณะเดียวกันก็สามารถเตรียมการรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพหากมีการเตรียมการรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการ “มีเจ้าภาพ” ที่ดูแลแก้ปัญหาและบรรเทาปัญหา” ที่เกิดขึ้น
แต่กลายเป็นว่า เวลานี้ทุกปัญหากำลังพุ่งเข้าหา “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นจุดเดียว มีแต่เสียงโจมตีวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง และ “มันปาก” แต่ขณะเดียวกันกลับไม่ค่อยได้เห็นมาตรการในการแก้ปัญหาของหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงอย่างเข้มข้นหรือในลักษณะ “วอร์รูม” เพื่อรับมือกับวิกฤติในเรื่องดังกล่าวทั้งหมด สิ่งที่เห็นก็คือการแถลงข่าว หรือการชี้แจงในแบบกระจัดกระจาย ไม่มีน้ำหนักเท่าที่ควร รัฐมนตรีในแต่ละกระทรวงที่เกี่ยวข้อง กลับไม่ค่อยได้เห็นแอ็กชั่นที่ดูแล้วเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงมหาดไทยที่กำกับดูแลโดย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา กระทวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย นายวราวุธ ศิลปอาชา ที่ดูแลพอเกิดวิกฤติเข้าจริงๆกลับไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหวเท่าที่ควร ซึ่งก็โชคดีที่ปัญหาเรื่องฝุ่นเริ่มคลี่คลายไปโดยธรรมชาติจากกระแสลมที่พัดพาไป แต่สำหรับภัยแล้งก็จะกลายเป็นว่าเป็น “ความเดือดร้อนที่ชินชา”ไปเองหรือเปล่า
ขณะที่ปัญหาใหม่ที่คาดไม่ถึงอย่าง เช่นเรื่องการเสียบบัตรลงคะแนนแทนกันของ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ที่กำลังมีปัญหาและส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเป็นโฆษะหรือไม่ แม้ว่าการเสียบบัตรแทนกันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง แต่ที่น่าสังเกตตามมาอีกก็คือส่วนหนึ่งมันก็เกี่ยวพันกับความ “แค้นส่วนตัว”จากความพ่ายแพ้การเลือกตั้งที่ผ่านมาระหว่าง อดีตผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ที่พ่ายแพ้ให้กับผู้สมัครจากพรรคภูมิใจไทยในจังหวัดพัทลุงอย่างหมดรูป จนเกิดปัญหาบานปลายตามมาในเวลานี้ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการลงทุนในประเทศที่ต้องใช้งบประมาณล่าช้าออกไปอีก จากเดิมที่ล่าช้าไปมากแล้ว
ล่าสุดก็วิกฤติโรคระบาดจากไวรัสโคโรนาที่เริ่มระบาดจากเมืองฮู่ฮั่น มณฑลลหูเป่ย ประเทศจีน ที่เวลานี้มีผู้ติดเชื้อโดยมีตัวเลขทางการจำนวนกว่า 2 พันคนมียอดผู้เสียชีวิตจากข้อมูลเมื่อวันเสาร์ที่ 25 มกราคมจำนวน 56 คนกำลังสร้างแตกตื่นไปทั่วโลก
โดยเฉพาะมีการตรวจพบผู้ติดเชื้อทั้งที่เป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน และคนไทยที่เดินทางกลับจากประเทศจีนรวมแล้ว 5 คน และกำลังเฝ้าระวังอีกนับร้อยคน แต่สำหรับกรณีของไวรัสดังกล่าวนี้จากเท่าที่ติดตามการเฝ้าระวังจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุข ที่นำโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล ก็ถือว่าตื่นตัวรับสถานการณ์ได้รวดเร็ว และอยู่ในภาวะควบคุมได้ และที่ผ่านมาก็มีการแสกนผู้ป่วยจากนักท่องเที่ยวตั้งแต่เกิดระบาดในช่วงแรกๆ รวมทั้งมีการเปิดเผยข้อมูลให้ชาวบ้านได้รับรู้มาอย่างต่อเนื่องและเข้มข้น
ดังนั้นหากพิจารณาจากสารพัดวิกฤติที่กำลังถาโถมเข้าใส่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และประเทศไทยในครั้งนี้ถือว่า “สุดหนักห่วง” มีผลกระทบต่อชีวิต ความเป็นอยู่ของคนไทยทั้งประเทศ โดยเฉพาะเศรษฐกิจที่เป็นผลต่อเนื่องมาจากเรื่อง “สงครามการค้า” ระหว่างสองมหาอำนาจ แม้ว่าดูแนวโน้มเริ่มคลี่คลาย แต่ก็มาเจอกับเรื่องโรงระบาดจากเชื้อไวรัสเข้าไปอีก มันก็ยิ่งซ้ำเติม ทั้งเรื่องการท่องเที่ยว เรื่องปัญหางบประมาณ ซึ่งทุกฝ่ายจะต้องช่วยกันแก้ไขประคับประคองหาทางออก เพื่อไม่ให้วิกฤตต้องเลวร้ายลงไปอีก
แต่กลายเป็นว่าเวลานี้ “การเมือง” กำลังสบช่องเพื่อทำลายล้าง ต้องการให้ฝ่ายตรงข้ามล้มลงไป โดยการซ้ำเติมจากวิกฤตดังกล่าว ซึ่งในที่สุดก็จะไม่เป็นผลดีกับใครเลย !!
คิดดี ทำดี มีน้ำใจ รัฐบาลที่ถูกประชาชนส่วนมากสาปแช่ง ก่นเ่า ขับไล่ ก็ย่อมต้อวงถูกนรกสาป ให้มีอันเป็นไปเช่นนี้ มีแต่ปัญหาไม่จบสิ้น บ้านเมืองไร้ความสงบสุข ประชาชนทุกข์ยาก. ขอให้นรกรีบเอาพวกมันไปเร็ว ๆ เถิด... สาธุ
27 ม.ค. 2563 เวลา 09.48 น.
ข้าวหอมมะลิแท้ กระสันต์ เป็นนายกฯ เป็นรัฐบาลเพื่อมาทำไรไม่เป็น ได้แค่ด่าประชาชน ผลาญเงินภาษี ออกไปเถอะไอ้พวกงั่ง ให้คนเก่งมาแก้ปัญหา ประชาชนจะดีใจมาก
27 ม.ค. 2563 เวลา 07.10 น.
Thanunrat แต่ละเรื่องซ้ำไปเตือนรบ.ชุดนี้เสร็จแน่คงไม่มีปัญญาแก้
27 ม.ค. 2563 เวลา 06.58 น.
P4021เมธาพันธ์ อดิศิ ไม่มีใครจะทำลายรัฐบาลเลยแต่รัฐบาลได้ทำลาย ตัวเอง ปชช.ไม่เคยได้อ้าปากเลย แต่พวกคุณทำลายกันเองจะโทษใครครับ ผลงานก้อเห็นกันตำตา ทำไมไม่คิดดูบ้างครับ โทษแต่
ว่าจะล้มรัฐบาล ทำผิดต้องยอมรับครับ
27 ม.ค. 2563 เวลา 04.04 น.
JP เสียเวลาประเทศชาติ
27 ม.ค. 2563 เวลา 04.01 น.
ดูทั้งหมด