ตามข่าว “ไวรัสโคโรน่า” อยู่ดี ๆ เทรนด์ #หลานของผม ก็ผุดขึ้นมาเป็นประเด็นในโลกออนไลน์
จุดเริ่มต้นคือแอคเคาท์ชื่อเดียวกับแฮชแท็ก #หลานของผม ที่คาดเดากันว่าเป็นน้าชาย กระทำการอุกอาจด้วยการเจาะกล่องทิชชูแล้วซ่อนกล้อง เพื่อแอบถ่ายหลานสาวในห้อง หลังจากพี่สาวให้หลานมาพักอยู่ด้วย
คลิปหลานสาวผู้โชคร้ายถูกเผยแพร่ในออนไลน์จำนวน 2 คลิป เป็นภาพเด็กผู้หญิงชุดม.ปลายในอิริยาบถต่าง ๆ ในสถานที่ที่ควรจะเป็นพื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง น่าเศร้าที่เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าคนที่เธอควรจะไว้ใจที่สุดเลือกที่จะหักหลังเธอ ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลและนำคลิปส่วนตัวของเธอไปแชร์ในโซเชียลมีเดีย
ยิ่งชวนหดหู่เข้าไปอีกเมื่อแอคเคาท์ดังกล่าวที่เปิดมาได้เพียงไม่กี่วัน มีผู้ติดตามกว่า 20,000 คนในเวลาอันรวดเร็ว ความเห็นส่วนหนึ่งของผู้ติดตามก็เป็นไปในทางคล้อยตามและเห็นด้วย บางความเห็นถึงกับให้กำลังใจชื่นชม ทำให้เราตั้งคำถามว่า“ทำไมหัวข้อที่ควรถูกประณาม ถึงกลายเป็นเรื่องบันเทิงสำหรับคนบางกลุ่มไปเสียได้?”
“ด้านมืด” พื้นที่เสรีของชาวเน็ต
คำกล่าวที่ว่า “อินเทอร์เน็ตเป็นดาบสองคม” ไม่ใช่คำพูดที่เกินจริงสักนิดเมื่อเราค้นพบ #หลานของผม เพราะเมื่อชำแหละดูเทรนด์ดังกล่าว เราจะพบทั้ง:
- 1. สายสัมพันธ์ผิดศีลธรรมของน้าชายกับหลานสาว ว่าด้วยการมีความรู้สึกทางเพศกับบุคคลซึ่งเป็นสายเลือดของตน
- 2. การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ในที่นี้กล่าวถึงการ “แอบถ่ายคลิป” โดยผู้เสียหายตกอยู่ในภาวะไม่สามารถขัดขืนได้ แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้สัมผัสต่อเนื้อตัวร่างกายของผู้เสียหายโดยตรง ก็มีความผิดในข้อหากระทำอนาจารได้
- 3. มีการส่งคลิป อันเป็นการทำให้แพร่หลาย ซึ่งมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
หากมองข้ามอคติส่วนตัวไป ความผิด 3 ข้อดังกล่าวก็นับว่า “ผิดศีลธรรมและมีความผิดตามกฎหมาย” ประเทศไทยอยู่ดี ดังนั้นแล้ว “ด้านมืด” ที่ชาวเน็ตหลายคนให้เหตุผลว่าคือพื้นที่เสรีสำหรับคนเฉพาะกลุ่มเท่านั้น ถือเป็นรสนิยมส่วนตัวอย่างที่เขาว่าจริง ๆ หรือแค่ข้ออ้างให้คนไม่น่าไว้ใจได้แฝงตัวรวมกลุ่มกันก่อปัญหาเท่านั้น?
“รสนิยม” หรือ “อาชญากรรม”
ด้านหนึ่งของอินเทอร์เน็ต เราเห็นผู้คนแชร์ข่าวสาร ภาพแมวน้อยน่ารัก หรือโปรโมชั่นตั๋วเครื่องบินสุดร้อนแรงให้กันและกัน ในขณะที่อีกด้านหนึ่งที่มืดมนกว่า เราอาจขุดคุ้ยไปเจอภาพคดีฆ่าหั่นศพ หรือสื่อลามกอนาจารไร้การเซนเซอร์ แต่ไม่ว่าดินแดนอินเทอร์เน็ตจะป่าเถื่อนแค่ไหน ก็ยังถูกครอบด้วยขอบเขตศีลธรรมและข้อกฎหมายที่ชาวเน็ตทุกคนควรให้ความเคารพ
เรื่องของ “รสนิยม” หรือ “อาชญากรรม” เคยถูกถกเถียงอย่างเผ็ดร้อนมาแล้วในกรณีของ “โรคใคร่เด็ก” หรือการรักเด็กจนเกินขอบเขต ว่าด้วยการเกิดอารมณ์ทางเพศกับเด็ก โดยเฉพาะเด็กอายุเฉลี่ย 13 ปีหรือต่ำกว่านั้น ที่กลุ่มคนหนึ่งบอกว่าเป็นเพียงรสนิยมส่วนตัวและไม่ควรมีใครถูกตัดสิน แต่ในทางการแพทย์ โรคใคร่เด็กนี้ ถือเป็นความผิดปกติของสมองอย่างหนึ่ง สามารถไปบำบัดได้ เพื่อยับยั้งการล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งถือเป็นคดีความที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในสังคมไทย
กรณี #หลานของผม ก็มีชาวเน็ตบางส่วนมองว่าเป็นเพียงรสนิยมในการ“ถ้ำมอง” เพื่อทำเรื่องส่วนตัวลับ ๆ เท่านั้น เว้นแต่ว่าการถ้ำมองโดยมีจุดหมายเพื่อเผยแพร่ภาพที่แอบถ่ายมาได้ มีความผิดทางอาญาอย่างที่เรากล่าวไปแล้ว ทั้งยังมีความผิดในข้อหา “ประทุษร้ายแก่จิตใจ” เนื่องจากเป็นการกระทำที่ทำให้เหยื่อต้องรู้สึกสะเทือนใจและอับอายอีกหนึ่งกระทง
สอนลูกของเรา ให้เคารพผู้อื่น
การละเมิดสิทธิเป็นการกระทำที่แสดงให้เห็นว่าผู้ละเมิดมี “อำนาจ” เหนือกว่าเหยื่อ โดยเฉพาะเมื่อผู้ละเมิดเป็นชาย เหตุผลคงต้องย้อนไปดูสิ่งที่หยั่งลึกฝังรากในค่านิยมของสังคมไทย ที่ว่าผู้ชายต้องเข้มแข็ง เป็นผู้นำ เป็นหัวหน้าครอบครัว ในขณะที่ผู้หญิง ถึงจะทำงานข้างนอกบ้านเก่งขนาดไหนก็ยังคงต้องเป็นช้างเท้าหลังเสมอ หรือแม้แต่ละครโทรทัศน์ที่เราเสพ อย่างซีรีส์แนวตบจูบ พล็อตเรื่องที่พระเอกกักขังหน่วงเหนี่ยวนางเอกแต่สุดท้ายเธอกลับตกหลุมรักเขาอย่างหมดใจเหล่านี้ ก็ตอกย้ำแนวคิด “ชายเป็นใหญ่” ที่ยังคงวนเวียนและฝังอยู่ในรากลึกของค่านิยมไทย
ผลลัพธ์ของสมการที่ไม่เคยเท่ากันระหว่างเพศชายและเพศหญิงนี้นำมาสู่การใช้อำนาจในทางที่ผิด โดยสถิติของ UN Women ปี 2018 เผยว่าผู้หญิง 1 ใน 3 คนเคยตกอยู่ในสถานการณ์ความรุนแรง และที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ 83% ของผู้กระทำคือบุคคลใกล้ตัว เช่น คนในครอบครัว เพื่อน หรือคนรัก
#หลานของผม ผมต้องได้รับโทษ
ด้านความคืบหน้าของคดี เมื่อวันที่ 29 ม.ค. พล.ต.ท.จารุวัฒน์ ไวศยะ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว และป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศพดส.ตร.) หรือ TICAC เปิดเผยว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจมีข้อมูลเบาะแสเกี่ยว #หลานของผม แล้ว เบื้องต้นยืนยันว่าหลักฐานในคลิป เข้าข่ายความผิดฐานผลิตและเผยแพร่สื่อลามกอนาจารเด็ก ตำรวจสามารถดำเนินคดีได้ทันทีโดยที่ผู้เสียหายไม่ต้องเข้าแจ้งความ พร้อมยืนยันอีกครั้งว่าตำรวจรู้พิกัดคุณน้าแล้ว และจะมีเบาะแสเพิ่มเติมอีกครั้งภายในสัปดาห์หน้า
โทษทางกฎหมายก็มี ผลกระทบต่อจิตใจคนตกเป็นเหยื่อก็ชัด หากจะอ้างว่าเป็นเรื่องของ “รสนิยม” อีก ก็เจอกันในศาลแล้วกัน
--
อ้างอิง
Aoynaka นี่คือความเสื่อมของจิตใจมนุษย์ยุคนี้ ยุคที่เทคโนโลยีก้าวไปข้างหน้า แต่จิตใจมนุษย์เสื่อมถอย ขาดความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เอาความรู้สึกของตัวเองเป็นที่ตั้ง แล้วแบบนี้ลูกหลานเราจะเติบโตไปกับสิ่งน่ากลัวแบบนี้เหรอ? คนในครอบครัวยังไว้ใจไม่ได้ แล้วจะอยู่กันยังไง😭😭😭
30 ม.ค. 2563 เวลา 01.46 น.
DGUN จะด่าว่า "เลว" มันยังน้อยไป
จะบอกว่า "จิตสำนึก" มันก็คงไม่มี
สังคมจิตป่วน อวดความชั่ว ความผิด มันทำง่าย ทำเร็ว กันจัง
กฎหมาย ก็ไม่เคยทำให้คนเหล่ากอนี้ กลัวเกรง รึ ระคาย จริงๆ
30 ม.ค. 2563 เวลา 01.56 น.
NONAME ไว้ใจใครไม่ได้จริงๆ ยุคอะไรวะ
30 ม.ค. 2563 เวลา 01.18 น.
ไม่ว่าคนเราจะอยู่ร่วมกันในสังคมใดก็ตาม ตราบใดที่คนเราไม่มีจิตสำนึกที่ดีให้ต่อกันแล้ว เหตุการณ์ต่างๆในทางที่ไม่ดีก็สามารถที่จะเกิดมาขึ้นได้เสมอ.
30 ม.ค. 2563 เวลา 01.43 น.
NONAME ไอ้โรคจิตไอ้เลวสมควรถูกประหารกูอยากกระทืบมัน
30 ม.ค. 2563 เวลา 02.00 น.
ดูทั้งหมด