ข้อมูลเบื้องต้น
ผมกับเขา เราแต่งงานกันเพราะผู้ใหญ่ ก่อนหน้านี้ผมแอบปลื้มเขา แต่เขาไม่ได้รักผม เราจึงตกลงที่จะหย่ากันหลังทนใช้สถานะคู่สมรสตามกฎหมายมาได้หกเดือน
เรื่องมันควรจะจบแล้วต่างคนต่างแยกย้าย
แต่ความสัมพันธ์ด้านพฤตินัยดันเกิดขึ้นหลังหย่าได้ไม่ถึงวันนี่สิ
"อย่ามายุ่งกับผมอีก ระหว่างเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน"
"มั่นใจเหรอ ว่าระหว่างเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน"
"ใช่ เราจะเป็นอะไรกันได้อีกในเมื่อคุณกับผม เราหย่ากันแล้ว"
"ในเชิงกฎหมาย ใช่ แต่เธอก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าในทางพฤตินัยเราเป็นผัวเมียกัน"
"แต่สำหรับผมมันคือความผิดพลาด ที่ไม่ได้อยากให้เกิดขึ้น"
มาร่วมลุ้นไปกับความรักของทั้งคู่กันนะคะ
ฝาก น้องปุ้ม ปรรณพัชร์ เกียรติปัฐมากุล และ พี่อาชว์ อาชว์ โชติบดินทร์ ด้วยนะคะ
มารอดูคนโบ้ได้เลยค่ะ
*** อ่านฟรีทุกวัน ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ นะคะ ***
**** ตอนอ่านล่วงหน้าอัปทุกวันค่ะ ****
**** NC ติดเหรียญถาวรนะคะ ****
หลังลงจบจะติดเหรียญตั้งแต่บทที่ 4 เป็นต้นไป ซึ่งจะสูงกว่าตอนอ่านล่วงหน้านะคะ
บทนำ
"เรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับ"
เจ้าหน้าที่ประจำอำเภอพยักหน้าตอบอดีตคู่สมรสและยื่นใบสำคัญการหย่าให้
เมื่อได้รับคำตอบฝ่ายอดีตสามีก็ลุกออกจากเก้าอี้ทันทีและเดินไปขึ้นรถส่วนตัวที่จอดรอหน้าอำเภอโดยไม่สนใจที่จะหยิบเอกสารสำคัญของตัวเองไปด้วย มีเพียงลูกน้องที่เก็บใบสำคัญการหย่าของท่านประธานเข้ากระเป๋าแล้วโค้งลาอดีตภรรยาเจ้านายก่อนจะรีบตามไป
ใบหน้าหล่อกึ่งหวานเพียงแค่แลหางตามองด้วยสีหน้าเฉยชาแล้วหยิบใบหย่าส่วนของเขามาถือไว้ ก่อนจะเอ่ยลาเจ้าหน้าที่อย่างสุภาพแล้วเดินกลับมายังรถที่จอดรอตนอยู่เช่นกัน
"กลับบ้านเลยนะครับคุณหนู"
"ไม่ครับ ไปส่งผมที่บริษัท"
เขาเอ่ยสั่งคนขับรถส่วนตัวแล้วนั่งพิงเบาะ ลมหายใจพรูออกจากจมูกสวยเบา ๆ คล้ายเรื่องหนักบ่าได้ผ่านพ้นไปอีกเรื่อง ก่อนจะหยิบแซนวิชและน้ำส้มคั้นขึ้นมาดื่มด้วยสีหน้าเรียบเฉย พลันริมฝีปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยเมื่อรสชาติอาหารเช้าในมือช่างถูกปาก ป้านวลยังรู้ใจเขาเสมอสมกับที่ดูแลกันมานาน
ร่างเพรียวระหงก้าวลงจากรถเมื่อมาถึงบริษัท ตึกสูงกว่าสามสิบชั้นย่านเศรษฐกิจกลางเมืองหลวงคือสำนักงานใหญ่ของตระกูลเกียรติปัฐมากุลหรือที่ใคร ๆ ต่างเรียกกันว่า KP Group บริษัทจำหน่ายอาหารและผลผลิตด้านการเกษตรที่มียอดขายอันดับต้น ๆ ของประเทศและยังครอบคลุมผลิตภัณฑ์ด้านอื่น ๆ อีกมากมาย
"สวัสดีครับท่านรอง"
"สวัสดีครับ"
พนักงานต่างพากันทำความเคารพและทักทายอย่างสุภาพเมื่อรองประธานบริษัทเดินผ่าน ใบหน้าที่เรียบเฉยไม่ได้ทำให้ท่านรองดูน่ากลัวหากแต่เคารพและเกรงใจมากกว่า เพราะทุกคนในบริษัทรู้ดีว่าแม้ท่านรองประธานจะเข้มงวดขนาดไหน แต่จริง ๆ แล้วนั้นเขาเป็นคนใจดีและรักลูกน้อง ดูได้จากเงินเดือนและโบนัสที่สูงกว่าบริษัทอื่นแถมยังมีสวัสดิการที่ดูแลครอบคลุมถึงคนในครอบครัวพนักงาน นั่นก็เป็นนโยบายที่ท่านรองเสนอในที่ประชุมจนพนักงานได้มีสวัสดิการที่ดีอย่างทุกวันนี้
ลิฟท์เปิดออกเมื่อถึงชั้นที่ยี่สิบ ขาเรียวพาเจ้าตัวเดินเข้าห้องก่อนจะพบว่ามีแขกมารอตั้งแต่ยังไม่เก้าโมง
"คุณแม่"
"น้องปุ้ม วันนี้ทำไมเข้าบริษัทช้าจังล่ะคะลูก"
คุณหญิงอรวดีเอ่ยถามลูกชายคนเล็กและรีบปรี่เข้าไปดึงแขนมานั่งที่โซฟา
"คุณแม่มาหาผมตั้งแต่เช้า มีธุระอะไรกับผมอย่างนั้นเหรอครับ"
"แหม แม่จะคิดถึงลูกชายคนเล็กบ้างไม่ได้เหรอ" ว่าแล้วก็หอมแก้มลูกชายสองข้าง
"มาแปลกนะครับคุณหญิงอรวดี"
พอถูกจับไต๋ได้คนเป็นแม่ก็ยิ้มเขิน ก่อนจะยอมบอกธุระที่ต้องรีบมาหาลูกชายแต่เช้าขนาดนี้
"ก็ได้ ๆ" ยอมรับแล้วขยับออกห่างเหลือเพียงมือที่คล้องแขนลูกสุดที่รักไว้หลวม ๆ
"คืนนี้แม่อยากให้ลูกไปงานประมูลเพชรแทนแม่หน่อย พอดีว่าแม่ติดทริปไปสวิซกับคุณหญิงนิ่มน่ะลูก น้องปุ้มไปให้แม่หน่อยนะคะ"
"แม่ครับ แม่ก็รู้ว่าปุ้มไม่ชอบไปงานแบบนี้"
"แค่ครั้งเดียวเท่านั้นค่ะลูก งานอื่นแม่แคนเซิลหมดแล้ว แต่งานนี้มันยกเลิกไม่ได้จริง ๆ คุณหญิงหน่อยก็เพื่อนสนิทแม่ จะให้แม่ยกเลิกก็เกรงใจกัน"
ชายหนุ่มมีสีหน้าปลงไม่ตกเมื่อมารดาบอกแบบนั้น คุณหญิงหน่อยกับมารดาเขาเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่เด็ก ถ้าปฏิเสธก็น่าเกรงใจอยู่ไม่น้อย
"แต่ว่า…"
"นะคะลูก ถ้าน้องปุ้มไม่อยากไปคนเดียวก็ชวนพี่เค้าไปด้วยสิคะจะได้ไม่เขิน ไหน ๆ ก็แต่งงานกันแล้ว ออกสื่อด้วยกันบ้างก็ดีนะแม่ว่า"
ถึงตรงนี้ลูกชายก็แกะมือแม่ออกเบา ๆ ก่อนจะบอกความจริงกับผู้เป็นมารดา
"ผมคงไปกับคุณอาชว์ไม่ได้หรอกครับ เราหย่ากันแล้วครับคุณแม่"
---------
"ว่ายังไงนะ!"
หญิงวัยกลางคนยกมือทาบอกทั้งตกใจคล้ายจะเป็นลม เมื่อลูกชายหัวแก้วหัวแหวนตอบออกมาหน้าตาเฉยว่าได้หย่าขาดกับลูกสะใภ้คนโปรดแล้ว หญิงรับใช้ที่ติดตามมาด้วยต้องรีบยื่นยาดมและพัดวีให้คุณหญิงพัลวัน
"เมื่อไหร่กันตาอาชว์"
"เมื่อเช้าครับ ก่อนผมมาทำงาน"
"แม่ไม่เข้าใจเลย เมื่อคืนเรายังไปทานข้าวด้วยกัน หนูปุ้มกับลูกก็ยังดี ๆ กันอยู่ หรือมีอะไรที่แม่ไม่รู้ไหม"
"ไม่มีอะไรครับ ก็แค่หย่า"
"แล้วน้องล่ะ ทำไมไม่นึกถึงใจน้องบ้าง"
"เขาเป็นคนเอ่ยปากชวนผมหย่าเองครับ"
"หา" คุณหญิงแทบจะเป็นลมรอบสอง "แล้วเราก็ยอมง่าย ๆ อย่างนั้นน่ะเหรอตาอาชว์"
"ครับ"
ปากกาตวัดเซ็นเอกสารและตรวจงานตรงหน้าไปเรื่อย ๆ เหมือนเรื่องที่มารดากำลังร้อนใจเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย
"ตายแล้ว ตายแน่ ๆ แล้วแบบนี้แม่จะเอาหน้าที่ไหนไปพบคุณหญิงอรวดี"
"คุณแม่ไม่ต้องทำอะไรหรอกครับ ผมไม่ได้เป็นคนขอหย่า ฝ่ายนั้นเองต่างหากที่เอ่ยปาก ผมก็แค่ตกลง ไม่ได้ผิดสัญญากับคุณแม่แม้แต่ข้อเดียวนะครับ"
คุณหญิงมองลูกชายอย่างรู้ทัน เธอเลี้ยงมากับมือทำไมจะไม่รู้ว่าลูกชายเธอเจ้าเล่ห์หัวหมอขนาดไหน
"ไม่เอ่ยปากก่อน แต่ทำตัวไม่ดีแล้วก็ต้อนโน้มน้าวให้น้องยอมหย่าเพื่อที่จะได้กลับไปหาผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม"
"เรื่องงานประมูลเพชรคืนนี้ผมจะไปให้นะครับ"
เธอถามลูกชายออกไปอย่างเหลืออด แต่ชายหนุ่มกลับไม่สนใจคำถามของมารดา และเปลี่ยนเรื่องไปง่าย ๆ เสียอย่างนั้น
"ตาอาชว์นะตาอาชว์"
"ผมขอเวลาทำงานนะครับ นี่ก็สายมากแล้ว"
คุณหญิงกัลยาถอนหายใจอย่างอ่อนอกอ่อนใจ เธอจะทำอย่างไรให้ลูกชายหูตาสว่าง อุตส่าห์ดึงออกมาจากฝูงแร้งได้ขนาดนี้แล้วแต่ก็ยังกล้าจะหักหาญน้ำใจลูกสะใภ้เธออย่างเลือดเย็น หนูปุ้มที่แสนดีแสนน่ารักต้องมาเจ็บปวดเพราะลูกชายไม่รักดีของเธอ ไม่เห็นด้วยตาไม่ยอมเข้าใจสินะ คอยดูเถอะ วันไหนที่ตาอาชว์ได้เห็นธาตุแท้ของผู้หญิงคนนั้น เธอคนนึงที่จะไม่มีทางโอ๋ลูกคนนี้เด็ดขาด
คุณหญิงกัลยาได้แต่ทำใจและคิดหาคำอธิบายสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณหญิงอรวดี ก่อนจะคว้ากระเป๋าใบเล็กขึ้นมาถือเตรียมจะเดินออกจากห้องให้ลูกชายได้ทำงานตามคำขอกึ่งบังคับเมื่อครู่ แต่ถึงกระนั้นคุณหญิงกัลยาก็ยังหันมาถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
"อาชว์ไม่รักน้องบ้างเลยเหรอลูก"
ปากกาที่เซ็นอนุมัติโปรเจกต์ไม่ได้สะดุดหรือเสียจังหวะตวัดลายมือแต่อย่างใด ทุกอย่างยังคงเป็นปกติเหมือนทุก ๆ วันที่เขาทำงาน
"อย่างที่ผมเคยบอกครับ"
แฟ้มเอกสารปิดลงและแฟ้มใหม่ก็ถูกดึงมาเปิดต่อ
"คนที่ผมรักคือมาริสา"
ปากกาที่ตรวจงานยอมหยุดลงและเงยหน้าขึ้นมามองผู้เป็นมารดา
"ไม่ใช่ปรรณพัชร์"
-----------
บทที่ 1 : ไม่แต่ง
บ้านโชติบดินทร์
แปดเดือนก่อน
"อาชว์ แต่งงานกับหนูปุ้มนะลูก เชื่อแม่นะ หนูปุ้มเป็นคนดีและน่ารักมาก ลูกจะรักน้องได้แน่ นะลูกนะ"
"ไม่ครับ ผมไม่แต่ง คนที่ผมจะแต่งงานด้วยคือริสาคนเดียว"
"แต่แม่ดารานั่นไม่ใช่คนดีอย่างที่ลูกคิด"
"คุณแม่จะรู้จักเธอดีไปกว่าผมได้อย่างไรครับ ริสาคือเมียผม และเราจะแต่งงานกัน"
คุณหญิงกัลยาแทบลมจับเมื่อลูกชายคนเดียวประกาศกร้าวว่าดาราสาวที่ควงลับ ๆ เป็นเมียที่จะตบแต่งโดยไม่แคร์รูปแอบถ่ายหลายใบที่วางอยู่บนโต๊ะ รูปที่ไม่ว่าจะดูอย่างไรคนสองคนในภาพก็สนิทชิดเชื้อกันมากกว่าคนรู้จักธรรมดา
"แต่แม่มีหลักฐานขนาดนี้ลูกยังจะเชื่อใจแม่ริสานั่นอีกหรือตาอาชว์"
ชายหนุ่มเบือนหน้าหนีรูปแอบถ่ายแฟนสาวกับชายคราวพ่อคนหนึ่ง เขารู้จักมาริสาดี แฟนสาวเขาเป็นคนดีน่ารักและอ่อนหวาน เขารู้จักเธอมานานไม่มีทางที่เธอจะทำกับเขาแบบนี้
"นั่นอาจจะเป็นญาติผู้ใหญ่ของริสาก็ได้ คุณแม่ไม่ควรกล่าวหาเธอโดยที่ยังไม่ได้ถามความจริงนะครับ"
"นี่ลูกหาว่าแม่ใส่ความแม่คนนี้เหรอตาอาชว์"
ชายหนุ่มไม่ตอบอะไรมารดา และกำลังจะเดินหนีเพื่อขึ้นห้องตนเอง
"ผมขอตัวนะครับ"
"แต่แม่นั่นรับเงินจากแม่ไปแล้ว และบอกว่าจะยอมเลิกรากับลูก"
อาชว์ถึงกับหยุดชะงักเมื่อได้ยินสิ่งที่มารดาพูด
"ผู้หญิงที่เห็นแก่เงินแบบนั้น ลูกยังจะคิดว่าเธอรักลูกอยู่อีกอย่างนั้นเหรอ"
ชายหนุ่มหันมามองมารดาด้วยแววตาที่ไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเพิ่งจะได้ยิน ทั้งยังแฝงไปด้วยความแข็งกร้าวในที
"นั่นอาจจะเพราะเธอกลัวไงครับ คุณแม่อาจจะบังคับเธอให้เลิกกับผมก็ได้"
"ตาอาชว์!"
"ผมขอตัวนะครับ คืนนี้ผมจะค้างที่คอนโด"
ชายหนุ่มเดินตรงไปที่รถและขับออกไปด้วยความเร็ว คุณหญิงกัลยาแทบจะวิ่งตามลูกชายที่อารมณ์ร้อนเสียจนเธอเป็นห่วงว่าจะเกิดอุบัติเหตุ
"ตาอาชว์นะตาอาชว์ แม่ดารานั่นมีอะไรดีนักลูกถึงได้หูตามืดบอดหลงจนหัวปักหัวปำขนาดนี้"
-----
รถหรูวิ่งฉิวเข้ามาจอดใต้คอนโดที่ช่วงนี้เขามาบ่อยเสียยิ่งกว่าคอนโดตัวเอง ชายหนุ่มซื้อมันเป็นของขวัญให้คนรักเนื่องในโอกาสวันครบรอบที่คบกันได้สองปี เขายังจำรอยยิ้มที่เธอมอบให้เขาได้ดี วันนั้นเขาและเธอสัญญาว่าจะแต่งงานกันเมื่อเธอพร้อม ความฝันที่จะสร้างครอบครัวอันอบอุ่นและสงบสุข มีลูกตัวน้อยสักสามคน แต่วันนี้ผู้เป็นมารดาตนกลับกำลังทำให้มันพังแล้วยัดเยียดคนที่เจอหน้ากันไม่กี่ครั้งให้มาเป็นภรรยาเขา
เลขชั้นถูกกดโดยไม่ต้องนึกเมื่อชายหนุ่มเข้ามายืนในลิฟท์ เพียงไม่นานที่ถึงชั้นเป้าหมายขายาวก็ก้าวไปยังหน้าห้องที่เขาคุ้นเคย
"ริสา เปิดประตูให้ผมหน่อย"
ชายหนุ่มเคาะประตูหน้าห้องอยู่นานแต่ก็ไม่มีใครมาเปิดรับเขาเหมือนอย่างทุกที
"ริสา คุณอยู่ข้างในใช่ไหม เปิดประตูให้ผมหน่อยริสา"
อาชว์ทั้งเคาะประตู กดออดหน้าห้อง ทั้งร้องเรียกแฟนสาว มือก็ต่อสายหาคนรักไม่ยอมว่าง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครมาเปิดประตู ซ้ำโทรศัพท์ก็ยังไร้คนรับสาย
"ริสา คุณอยู่ไหน"
ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังเดือดเนื้อร้อนใจที่ติดต่อแฟนสาวไม่ได้ ก็มีสายโทรเข้ามา
"สวัสดีครับ"
'เอ่อ คุณอาชว์ใช่ไหมคะ'
เสียงชายหนุ่มที่ติดจะจีบปากจีบคอทำให้ชายอาชว์มุ่นคิ้วและดึงโทรศัพท์ออกมามองเพื่อเช็คว่าใครโทรมา แต่เบอร์แปลกนั้นกลับไม่คุ้นเคยในสายตาเขา
"ครับ ผมอาชว์"
ปลายสายเงียบไปอึดใจก่อนจะบอกว่าตัวเองเป็นใคร
'ดิฉันเอเลนเองนะคะ'
ผู้จัดการของดาราสาวรีบแจ้งชายหนุ่ม
"คุณเอเลนเหรอครับ ตอนนี้ริสาอยู่ที่ไหนครับ ผมมาหาเธอที่ห้องแต่ก็ไม่มีใครอยู่"
'เอ่อคือ ใจเย็น ๆ ก่อนนะคะคุณอาชว์ คืออย่างนี้นะคะ น้องริสาอยู่กับเอเลนค่ะ'
"แล้วคุณเอเลนอยู่ที่ไหนครับ เดี๋ยวผมไปรับริสาเอง"
สองขายาวเตรียมจะเดินออกจากหน้าห้องพักคนรัก แต่ก็ต้องชะงักเพราะประโยคถัดไปของผู้จัดการส่วนตัวแฟนสาว
'คือ น้องริสาฝากเอเลนมาบอกคุณอาชว์ว่า ไม่ต้องมาตามหาน้องค่ะ ช่วงนี้น้องเครียดเลยขอหยุดพักงานและไม่อยากติดต่อใครค่ะ น้องริสาเลยฝากให้เอเลนมาบอกคุณอาชว์ว่า เอ่อ…'
"ริสาฝากมาบอกว่าอะไรครับ"
ชายหนุ่มเร่งรัดอย่างร้อนใจ ในขณะที่ผู้จัดการแฟนสาวคล้ายน้ำท่วมปากไม่กล้าบอก
'เอ่อ คือน้องฝากเอเลนมาบอกคุณอาชว์ว่า ขอให้เรื่องระหว่างเธอกับคุณอาชว์จบลงแค่นี้ค่ะ'
ชายหนุ่มนิ่งค้างไปเมื่อได้ยินประโยคนั้น จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อเขากับริสารักกันมาก หรือที่ริสาต้องทำแบบนี้เพราะแม่เขา
ใช่ เพราะแม่เขาบังคับเธอ
"ว่าอะไรนะครับ จะเป็นไปได้ไง ไม่จริง ผมขอสายริสาหน่อยครับ"
แต่ไม่ว่าชายหนุ่มจะขอร้องผู้จัดการส่วนตัวแฟนสาวอย่างไร คำตอบเดิมที่ได้กลับมาก็คือคนรักเขาไม่มีอะไรจะคุย และยืนยันที่จะจบความสัมพันธ์กว่าสามปีลงเสีย
สายโทรศัพท์ถูกตัดไปแล้ว และชายหนุ่มที่เคยองอาจกลับทรุดตัวลงด้วยความเจ็บปวด เขาไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ทำไมกัน ทำไมแฟนสาวที่เขารักถึงได้ยอมทิ้งกันไปง่าย ๆ ทำไมถึงไม่ยอมสู้ไปด้วยกัน เขาเชื่อว่าเธอเป็นคนดี อย่างไรเสียถ้าแม่ได้รู้จักเธอจริง ๆ เหมือนที่เขารู้จัก แม่จะต้องรักริสาเหมือนที่เขารัก
แต่ทั้งหมดทั้งมวลมันต้องพังลงเพราะคนคนเดียว น่ารักอย่างนั้นหรือ แสนดีอย่างนั้นหรือ คนดีที่ไหนกันยุยงให้คนที่เค้ามีแฟนแล้วต้องเลิกกันเพื่อที่จะได้มาแต่งงานกับตัวเอง หน้าด้านสิไม่ว่า คงจะเป่าหูมารดาเขา เสแสร้งมารยาให้แม่เขาหลงเชื่อ ทำให้ท่านใช้เงินข่มขู่บังคับคนรักเขาให้ต้องยอมเลิกรา ดีไม่ดีปรรณพัชร์เองนั่นแหละที่เป็นฝ่ายเสนอเงินแล้วอาจจะขู่มาริสา
ชายหนุ่มกำมือแน่น พลางนึกถึงดวงหน้ากึ่งหวานของลูกชายเพื่อนแม่ ที่พักหลัง ๆ เขาได้เจอหน้าค่าตาอีกฝ่ายบ่อยเสียจนนึกแปลกใจ ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือตามงานสังคมที่มักจะมาคู่กับคุณหญิงอรวดี มารดาของอีกฝ่าย
แม้จะไม่ค้านสายตาว่าปรรณพัชร์นั้นมีรูปร่างหน้าตาที่จัดว่าดีมาก แม้ใบหน้างดงามนั้นจะดูเรียบเฉยจนคล้ายหยิ่งและเย็นชาไปบ้างแต่ก็ไม่ได้ลดทอนความงามนั้น
อาชว์เคยเห็นปรรณพัชร์ยิ้มอยู่บ่อยครั้ง ในยามนั้นปรรณพัชร์ราวกับเป็นคนละคนกับตอนที่นิ่งเฉย อีกทั้งกิริยามารยาทก็งามสมเป็นลูกผู้ดีมีเชื้อสายอย่างคุณหญิงอรวดี
และถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นชาย แต่เขาก็ไม่ได้รังเกียจรังงอนที่จะสานสัมพันธ์ถ้าหากเขายังโสดหรือไม่มีใครดูใจ แต่เพราะเขามีคนรักอยู่แล้วจึงสงวนท่าทีและพยายามเว้นช่องว่างระหว่างกันให้พอเหมาะพอควร แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่สนใจเสียอย่างนั้น
เพิ่งรู้ก็วันนี้นี่เองว่าท่าทีในยามที่ดวงหน้างดงามยิ้มน้อย ๆ ให้เขาตอนที่ได้พูดคุยกันทุกครั้ง มันคือการล่อลวงให้เขารักให้เขาชอบ ตอนนนี้จึงทำให้อาชว์แทบจะเกลียดชังในความเสแสร้งมารยาของอีกคน
"เธอมันร้าย ปรรณพัชร์"
นี่อยากได้เขาจนตัวสั่นขนาดนี้เชียวหรือ ไม่สนแม้กระทั่งว่าเขาจะมีคนรักหรือมีพันธะกับใครเลยหรืออย่างไร
บทที่ 2 : การตัดสินใจ
บ้านเกียรติปัฐมากุล
สองวันถัดมา
แก้วชายามบ่ายวางลงหลังจิบไปเพียงเล็กน้อยเมื่อเห็นรถประจำตัวของลูกชายคนเล็กจอดลงที่หน้าบ้าน รอยยิ้มจึงปรากฎแต่งแต้มดวงหน้าที่ยังคงสวยหวานแม้จะเลยวัยสาวมามากแล้ว
"คุณแม่เรียกปุ้มมาไม่ทราบว่ามีธุระอะไรเหรอครับ"
คุณหญิงอรวดีเดินไปจูงแขนบุตรชายคนเล็กเข้ามานั่งที่ศาลาริมน้ำก่อนจะเอ่ยเรื่องสำคัญที่เธอเพิ่งจะไปคุยกับเพื่อนคุณหญิงมาในวันนี้
"น้องปุ้มของแม่อายุเท่าไหร่แล้วนะลูก"
มือผู้เป็นมารดาวางลงลูบศีรษะบุตรชายผู้เป็นดั่งดวงใจอีกคนด้วยความเอ็นดู
"คุณแม่พูดเหมือนลืมวันเกิดลูก"
ดวงหน้าหล่อกึ่งหวานคล้ายจะค้อนผู้เป็นแม่ก่อนจะยกแขนสอดเข้าที่เอวนุ่มของมารดาแล้วบอกอายุตนพลางซบหัวทุยอ้อนเหมือนเด็ก
"ปุ้มยี่สิบเจ็ดแล้วครับ อีกแปดเดือนก็ยี่สิบแปด ทำไมเหรอครับ หรือคุณแม่จะเตรียมของขวัญให้ปุ้ม"
รอยยิ้มสดใสแต่งแต้มบนแก้มเนียน บุตรชายคนเล็กเธอน่ารักและอ่อนโยนเสมอ ภายใต้ใบหน้าที่มักจะเรียบเฉยงดงามนี้ขี้อ้อนไม่มีใครเกิน แล้วก็เข้มแข็งได้อย่างไม่น่าเชื่อ นึกเป็นห่วงอยู่เนือง ๆ ว่าใครกันที่จะได้มาเป็นคู่ครองเจ้าตัวแสบ เพราะต่างคิดว่าเจ้าลูกชายคนเล็กของคุณหญิงอรวดีนั้นเข้าถึงยากจนไม่กล้าทักเสียอย่างนั้น
"แบบนี้ก็ออกเรือนได้แล้วสิ"
พอพูดแบบนั้นเจ้าลูกชายก็แทบจะเด้งตัวออกจากอ้อมกอดมารดาทันทีพลางเอ่ยถามด้วยดวงตาที่โตเท่าไข่ห่าน
"คุณแม่ว่าอะไรนะครับ"
มือคุณหญิงจึงเอื้อมมาวางลงบนมือนุ่มของลูกชาย อดที่จะขำไม่ได้กับท่าทีตกใจปานนั้น ก่อนจะลูบเบา ๆ เป็นเชิงให้วางใจกับสิ่งที่เธอกำลังจะบอกกับลูกรัก
"แม่กับพ่อก็แก่ลงทุกวัน พี่ชายเราเขาก็มีครอบครัวแล้ว รอแล้วรอเล่าน้องปุ้มของแม่ก็ไม่เคยพาแฟนมาให้แม่ดูตัวสักที แบบนี้แม่จะอดห่วงได้ยังไงล่ะคะคนเก่ง"
พอพูดแบบนั้นใบหน้าหล่อกึ่งหวานของลูกชายก็แทบจะมู่ทู่ เธออยากให้คนที่บอกว่าลูกชายเธอหยิ่งจนยากจะเอื้อมถึงให้มาเห็นตอนนี้เสียจริง
"ไม่เห็นต้องคิดมากเลยนี่ครับคุณแม่ ปุ้มแค่ยี่สิบเจ็ดเองนะ ยังมีเวลาอีกนานครับ แต่จะว่าไป ปุ้มรักชีวิตโสดมากกว่า เห็นจากเพื่อนหลายคนแล้วพอมีครอบครัวก็วุ่นวายแต่กับภรรยาและลูก ปุ้มเห็นแล้วยังเหนื่อยแทน ไว้ปุ้มรอเลี้ยงหลานดีกว่า
อีกอย่างปุ้มยังสนุกกับงานครับคุณแม่ คุณแม่ก็รู้ว่าลูกชอบทำงานและยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่อยากทำ ให้ลูกแต่งกับงานไปก่อนละกันนะครับคุณแม่"
ว่าจบคนหวงความโสดก็โดนมือมารดาตีที่แขนเสียดังจนสะดุ้ง
"คุณแม่ครับ ปุ้มเจ็บนะ"
"เรานั่นแหละ จะมาต่งมาแต่งกับงานได้ยังไง"
"ก็ปุ้มยังไม่พร้อมที่จะมีภรรยานี่ครับ"
"แล้วคุณอาชว์ล่ะ"
คุณหญิงอรวดีถามและรอคอยคำตอบจากเจ้าตัวดี
"ถ้าเป็นคุณอาชว์ ลูกชายคุณหญิงกัลยา ลูกของแม่พอจะสนใจสละโสดได้ไหมนะ"
"หมายความว่ายังไงครับ คุณอาชว์เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้"
มือคุณหญิงจึงวางลงกุมมือบุตรชายคนเล็กเบา ๆ
"เมื่อวาน แม่กับคุณหญิงกัลยาได้มีโอกาสไปทานข้าวแล้วพูดคุยกัน คุณหญิงกับคุณประพัฒน์เอ็นดูลูกมาก อีกทั้งคุณอาชว์ลูกชายคุณหญิงก็ยังไม่ได้แต่งงาน อายุอานามก็สมควรแก่การมีครอบครัวแล้ว แต่ครั้นแม่จะตอบเองก็ยังไม่ได้ถามความสมัครใจของลูก
วันนี้ แม่จึงเรียกลูกมาถาม ว่าลูกจะตัดสินใจยังไง แม่ไม่บังคับ แล้วแต่ลูกนะ แต่ถ้าถามแม่ คุณอาชว์เค้าก็ไม่มีอะไรเสียหาย เอาการเอางาน อีกทั้งยังหล่อเหลา บุคลิกเวลายืนข้างกันกับลูกแม่ก็สมกันราวกิ่งทองใบหยก"
"คุณแม่ครับ"
คุณหญิงอรวดีอดที่จะยิ้มไม่ได้เมื่อเอ่ยแซวบุตรชายคนเล็ก เธอพอจะรู้ว่าลูกชายคนนี้ของเธอก็พอจะมีใจแอบปลื้มบุตรชายเพื่อนสนิทของเธออยู่บ้าง อาจจะเห็นเป็นต้นแบบการทำงาน แต่นั่นก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี เพราะอย่างน้อยลูกชายคนเล็กก็มีแววสนใจใครสักคนขึ้นมาบ้าง แม้จะไม่ได้มากมายก็ตาม
"ว่ายังไงลูก ถ้าลูกตอบตกลง แม่จะได้ไปคุยกับคุณหญิงกัลยากับคุณประพัฒน์ ทางนั้นก็เร่งอยากจะได้คำตอบจะได้หาฤกษ์หายาม สงสัยอยากได้ลูกแม่เป็นสะใภ้หนักแล้ว"
รอยยิ้มอย่างนึกปลงเผยออกมาประดับดวงหน้าหล่อกึ่งหวาน คุณอาชว์เองก็ใช่ว่าจะมีข้อเสีย แต่เขาเองปลื้มอีกฝ่ายในฐานะที่เป็นนักธุรกิจที่ทำงานเก่งก็เท่านั้น ยังไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษใด ๆ กับอีกฝ่ายเลย
แต่ถ้าจะลองศึกษากันไปล่ะ มันอาจจะดีไหมนะ จะว่าไปก็นานมากแล้วที่เขาไม่มีแฟน คนล่าสุดก็เลิกไปเมื่อสมัยเรียนมหาวิทยาลัย จนตอนนี้อดีตแฟนสาวคนนั้นก็แต่งงานมีครอบครัวแล้ว และยังเป็นเพื่อนกันมาจนถึงทุกวันนี้
แต่ถึงจะไม่มีปัญหา แต่ผู้ชายที่สมบูรณ์แบบอย่างคุณอาชว์นี่น่ะหรือจะไม่มีคนรัก เขายังไม่มั่นใจในจุดนี้เสียเท่าไหร่
"แต่คุณอาชว์เค้าโสดเหรอครับคุณแม่ คนที่เพอร์เฟ็คแบบนั้น ปุ้มว่าน้อยนักที่จะไม่มีแฟน"
"คุณหญิงกัลยายืนยันด้วยตัวเองว่าคุณอาชว์เธอโสด ตั้งแต่กลับมาจากเมืองนอกก็ไม่เห็นจะควงหนุ่มควงสาวคนไหนเลย เรื่องนี้คุณหญิงการันตีว่าลูกแม่สบายใจได้"
"แล้วเรื่องที่ปุ้ม…"
มืออุ่นวางลงบนมือนิ่มของลูกชายพลางบีบเบา ๆ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของมารดาสะท้อนความห่วงใยและจริงใจแก่ลูก
"คุณหญิงและคุณประพัฒน์ท่านทราบแล้ว และยินดีมากที่ลูกแม่พิเศษกว่าใคร และแม่ก็เชื่อว่าคุณอาชว์เองก็จะยินดีเช่นกัน"
คุณหญิงวางมือลูบหัวลูกชายอันเป็นที่รัก ถ่ายทอดความอบอุ่นให้รับรู้ว่าแม่อยู่ข้าง ๆ เสมอ เธอรู้ว่าลูกเธอพิเศษ การเป็นคนสองเพศมีโอกาสเกิดขึ้นได้เพียงไม่กี่เปอร์เซ็นบนโลก และลูกเธอได้รับพรนั้น คุณหญิงอรวดีเรียกมันว่าพรจากสวรรค์ แม้อาจจะต้องดูแลและพบหมอบ่อยครั้ง แต่เธอก็ได้สร้างความเชื่อมั่นให้ลูกชาย ปุ้มเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กฉลาด ใจดี อ่อนโยน และเข้มแข็ง เธอวางใจในทุกเส้นทางที่ลูกเลือกเสมอ ทุกคนในครอบครัวรักและไม่เคยมองว่ามันคือความผิดปกติ
"อย่างนั้นเหรอครับ"
แม้ในใจจะยังมีคำถาม แต่ปรรณพัชร์ก็เลือกที่จะไม่เอ่ยคำใดออกไป หากผู้ใหญ่ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้ว ก็คงจะจริงดังนั้น
สองเดือนถัดมา
งานมงคลสมรส
ปรรณพัชร์ เกียรติปัฐมากุล
และ
อาชว์ โชติบดินทร์
งานมงคลสมรสแห่งปีถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แขกเหรื่อมากมายต่างตบเท้าเข้าร่วมงานกว่าสองพันคน เรือนหอมูลค่าหลายสิบล้าน สินสอดทองหมั้นที่สูงสมฐานะและคู่รักที่สมกันราวกิ่งทองใบหยกต่างเป็นหัวข้อให้สื่อสนใจและจับตามอง
ช่างแต่งหน้าทำผมกำลังแสดงฝีมืออย่างสุดความสามารถ กระจกบานใหญ่สะท้อนภาพดวงหน้าหล่อกึ่งหวานที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางค์อย่างพอเหมาะ ผิวเนียนละเอียดกับชุดสูทไหมที่โอลด์โรสยิ่งส่งเสริมคนตรงหน้าให้ดูงดงามยิ่ง
มือเรียวบีบแน่นเมื่อสัมผัสได้ว่าตนเองกำลังตื่นเต้นจนรู้สึกประหม่า ตั้งแต่ตบปากรับคำผู้ใหญ่ว่าจะแต่งงานกับคุณอาชว์ก็แทบจะไม่ได้มีเวลาอยู่กับตัวเองนัก แม้จะถามใจทุกวันว่ามันดีแล้วหรือไม่ ถูกต้องแล้วใช่ไหม แต่คำตอบที่ได้ก็มีสองอย่างทุกครั้งไป
อาจจะดี และ อาจจะไม่ดี แต่ถึงอย่างนั้นปรรณพัชร์ก็เลือกที่จะให้โอกาสตัวเองที่จะได้เรียนรู้
ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร อาจเพราะเราแทบไม่ได้มีโอกาสเรียนรู้กัน พบเจอกันแทบจะนับครั้งได้ก็ตอนนัดลองชุด เลือกการ์ด และซักซ้อมพิธี
แม้หน้าตาเจ้าบ่าวจะดูเรียบนิ่ง แต่นั่นก็เป็นบุคลิกของคุณอาชว์อยู่แล้วส่วนหนึ่ง ถ้าเขาฝืนใจคงจะปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้ไปเสียแล้ว แต่นับตั้งแต่ตนตอบตกลง ก็ไม่ได้ยินคำปฏิเสธใดหลุดออกมาจากปากอีกฝ่ายเลย ซ้ำยังมารับมาส่งไปลองชุดและเลือกการ์ดด้วยกันปกติ
อาจจะเป็นเขาเองที่คิดมาก หลังแต่งงานก็ค่อย ๆ เรียนรู้และปรับจูนกันไปเหมือนผู้ใหญ่แนะนำก็คงจะดีขึ้น ตัวเขาพร้อมที่จะปรับปรุงและยอมรับข้อดีข้อเสียของอีกฝ่าย ขอแค่เปิดใจคุยกันก็พอ
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ปรรณพัชร์หลุดออกจากภวังค์ความคิดและยิ้มให้คนที่เข้ามาหา
"ตื่นเต้นไหมน้องปุ้ม"
คุณหญิงอรวดีเอ่ยถามบุตรชายคนเล็กพลางเช็คความเรียบร้อยของชุดให้ลูกอีกที
"คุณแม่ครับ"
มือเรียวเอื้อมจับมือมารดาไว้ คนเป็นแม่อดที่จะยิ้มเอ็นดูไม่ได้เมื่อลูกชายกำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝา
"ใจเย็น ๆ นะลูก ไม่ต้องกังวล ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี"
ยิ้มอบอุ่นจากมารดาปลอบประโลมหัวใจลูกชายให้คลายกังวล คุณหญิงดึงลูกรักเข้ามาโอบกอดพลางลูบหลัง
"ปะ ถึงเวลาแล้วลูก"
ปรรณพัชร์ยิ้มรับ สูดหายใจเข้าปอดเพื่อเรียกขวัญกำลังใจให้ตนเอง และเดินตามมารดาเข้าสู่พิธีตามฤกษ์ที่ถูกกำหนดไว้