"เลือกตั้งสหรัฐ" ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเอเชียอย่างไร? นโยบายทางการค้าทั้งแฮร์ริสและทรัมป์จะส่งผลมากน้อยแค่ไหน
วันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 สำนักข่าว Nikkei Asia รายงานว่า การเลือกตั้งสหรัฐ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนของ เศรษฐกิจเอเชีย เนื่องจากเงื่อนไขทางการค้าของสหรัฐอาจทำให้เศรษฐกิจในเอเชียต้องรีเซ็ตใหม่ หาก โดนัลด์ ทรัมป์ เอาชนะ คามาลา แฮร์ริส ขึ้นนั่งประธานาธิบดีสหรัฐอีกครั้ง และสามารถรักษาสัญญานโยบายหาเสียงได้
ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่าการแข่งขันระหว่างทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน และแฮร์ริส ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต มีแนวโน้มสูสีกัน ผู้ชนะคะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้ง ซึ่งแต่ละรัฐจะได้รับคะแนนเสียงจากผู้แทนในรัฐสภา น่าจะตัดสินกันใน 7 รัฐที่มีผลคะแนนสูสี ได้แก่ เพนซิลเวเนีย มิชิแกน วิสคอนซิน จอร์เจีย นอร์ทแคโรไลนา แอริโซนา และเนวาดา ซึ่งผลลัพธ์ดังกล่าวจะมีผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจเอเชีย เนื่องจากทรัมป์ได้กำหนดภาษีศุลกากรที่สูงขึ้น เป็นหัวใจสำคัญของแคมเปญหาเสียง
ทรัมป์กล่าวถึงภาษีศุลกากรในรายการ The Joe Rogan Experience ว่า“เป็นคำที่ไพเราะที่สุด ประเทศนี้สามารถร่ำรวยขึ้นได้ด้วยการใช้ภาษีศุลกากรอย่างเหมาะสม”
โดยเป้าหมายหลักของทรัมป์คือ จีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในเอเชีย โดยคิดเป็นมูลค่าการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐกว่า 536,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2565 หรือคิดเป็น 16.5% ของทั้งหมด ซึ่งมากกว่าประเทศอื่นๆ
ซึ่งทรัมป์กล่าวว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนถึง 60% หรือมากกว่านั้น โดยอ้างว่าจีนจะเป็นผู้จ่ายภาษี แต่ในความเป็นจริงแล้วภาษีนำเข้านั้นจ่ายโดยผู้นำเข้า ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้บริโภคต้องแบกรับต้นทุนเพิ่มเติม
นอกจากนี้ทรัมป์ยังเสนอภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศทั้งหมดในอัตรา 10% ถึง 20% ซึ่งจะทำให้ต้นทุนสินค้าจากพันธมิตรการค้าชั้นนำของสหรัฐ เช่น ญี่ปุ่น เวียดนาม และเกาหลีใต้ เพิ่มสูงขึ้น
อลัน วูล์ฟฟ์ อดีตรองผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก กล่าวเมื่อเดือนตุลาคมว่า“นี่เป็นการทดลองที่มีความเสี่ยงสูงมากและยังไม่มีขอบเขตที่ชัดเจน สิ่งสำคัญคือ ผลกระทบของภาษีศุลกากรที่บังคับใช้ในช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นครั้งที่ 2 นั้นประเมินค่าไม่ได้”
ขณะที่แฮร์ริสวิพากษ์วิจารณ์ภาษีที่ทรัมป์เสนอว่าจะทำให้ครัวเรือนชาวอเมิรกันต้องเสียเงินราว 4,000 ดอลลาร์ต่อปี แต่ไม่ได้พูดอะไรมากนักเกี่ยวกับแผนภาษีของตัวเอง แต่บรรดานักวิเคราะห์คาดว่าแนวทางเกี่ยวกับการค้าจะคล้ายกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งยังคงใช้ภาษีนำเข้าจากจีน และเพิ่มภาษีนำเข้าแผงโซลาร์เซลล์และรถยนต์ไฟฟ้าของจีน
ชิม ลี นักวิเคราะห์อาวุโสผู้เชี่ยวชาญด้านจีนจาก Economist Intelligence Unit กล่าวว่า “ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของแฮร์ริสและของทรัมป์คือความรวดเร็วและขอบเขตของมาตรการคุ้มครองทางการค้า”
เศรษฐกิจ การย้ายถิ่นฐาน และสิทธิในการทำแท้งเป็นประเด็นสำคัญอีกประเด็นหนึ่งในแคมเปญหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งถือเป็นประเด็นแรกนับตั้งแต่ศาลฎีกามีคำสั่งยกเลิกสิทธิในการทำแท้งทั่วประเทศในการตัดสินเมื่อปี 2565 ซึ่งมีผู้ได้รับการแต่งตั้งจากทรัมป์ถึง 3 คนเป็นเสียงส่วนใหญ่
ผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงระบุเศรษฐกิจเป็นปัญหาสำคัญในการสำรวจของ Gallup ในเดือนกันยายนนี้ และทรัมป์พยายามที่จะโยนความผิดให้กับภาวะเงินเฟ้อในยุคการระบาดใหญ่ต่อรัฐบาลของไบเดน
แฮร์ริสและผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตต่างใช้ถ้อยคำที่รุนแรงโจมตีทรัมป์ที่ปฏิเสธที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งปี 2563 เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทรัมป์ถูกตัดสินว่ามีความผิดทางอาญา 34 กระทงในนิวยอร์กจากแผนการที่จะแทรกแซงการเลือกตั้งปี 2559 และยังคงมีคดีอาญาอีก 3 คดี โดย 2 คดีเกี่ยวข้องกับการกระทำของเขาหลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2563
เช่นเดียวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อไม่นานนี้ การลงคะแนนเสียงส่วนใหญ่เกิดขึ้นก่อนวันเลือกตั้ง โดยจากการติดตามของมหาวิทยาลัยฟลอริดาเมื่อวันอาทิตย์ ได้มีการลงคะแนนเสียงทางไปรษณีย์และลงคะแนนเสียงล่วงหน้าไปแล้วประมาณ 77 ล้านใบในปี 2563 ซึ่งเป็นปีแรกที่เกิดความวุ่นวายจากการระบาดของ COVID-19 มีผู้คนลงคะแนนเสียงทางไปรษณีย์หรือลงคะแนนเสียงล่วงหน้ารวม 101 ล้านคน
จากข้อมูลการติดตามพบว่าผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งรอบแรกในรอบนี้ 54% เป็นผู้หญิง โดยพรรคเดโมแครตคิดเป็นเกือบ 38% ของทั้งหมด พรรครีพับลิกันคิดเป็น 36% และผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งอิสระและกลุ่มอื่นๆ คิดเป็น 26%
ในขณะที่การนับคะแนนจากรัฐทางภาคตะวันออก เช่น เพนซิลเวเนีย และจอร์เจีย อาจเป็นตัวบ่งชี้ผลเบื้องต้น นักวิเคราะห์คาดหวังว่าอาจต้องใช้เวลาสักระยะในการประกาศผู้ชนะ
อ้างอิง : asia.nikkei.com