เรื่องสั้น

คู่มือเศรษฐีนีชาวนาฉบับสาวน้อยทะลุมิติ

นิยาย Dek-D
อัพเดต 20 พ.ย. 2566 เวลา 09.05 น. • เผยแพร่ 20 พ.ย. 2566 เวลา 09.05 น. • Jinovel
แม้ต้องมาเกิดใหม่ในร่างหญิงสาวยากจน แต่โชคชะตากลับไม่ได้ทอดทิ้งนางซะทีเดียว ทั้งนำพาให้นางได้พบแหวนลึกลับที่นำนางไปสู่มิติช่องว่างที่น่าอัศจรรย์!

ข้อมูลเบื้องต้น

‘หูอู้ซี’ ไม่กล้าพูดเต็มปากนักว่าได้มาเกิดในร่างใหม่ เพราะนางรู้สึกเจ็บร้าว ราวกลับจะตายได้อีกรอบ

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

แม้จดจำได้จากความทรงจำเจ้าของร่างเดิมนาม ‘หูเจินจู’ว่า นางพลัดตกจากภูเขา

เพราะไปเก็บของป่า จนเกิดอุบัติเหตุถึงแก่ชีวิต

แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้น เมื่อความทรงจำแท้จริงของร่างเดิมกลับเข้ามา

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

หูเจินจูได้พบว่าของป่าที่คนเข้าใจว่าเธอลงไปเก็บนั้นเป็น ‘แหวนลึกลับ’

แหวนที่มีความพิเศษอย่างมากเพราะเมื่อใดที่นางสวม มันจะพานางไปยังยัง ‘มิติช่องว่าง’ ที่คนโบราณมักใช้ในการเพาะปลูกวัตถุดิบหายาก โดยภายในมีน้ำแร่วิเศษที่เพียงแค่ดื่มบาดแผลก็คลายความเจ็บปวด ทั้งเมื่อนำน้ำไปรดสมุนไพรก็เติบโตเร็วอย่างน่าประหลาด…

หรือว่ามิติช่องงว่างนี้จะทำให้นางพลิกชะตาครอบครัวหูที่แล้งแค้นนี้ได้กันนะ

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

เมื่อเป็นเช่นนี้…..เกิดใหม่ทั้งที่นางขอสู้ต่อ จะไม่ยอมแพ้ให้กับชะตาชีวิตครั้งนี้แน่นอน!

----------------------

ขอแนะนำนิยายสนุกๆ คัดสรรค์มาเพื่อคุณท่านโดยเฉพาะ
อยากอ่านเรื่องไหน จิ้มได้เลย <3

เป็นคนสองชาติภพ

หูอู้ซีถูกความเจ็บปลุกให้ตื่นขึ้น

ทั่วสรรพางค์กายเจ็บปวดปานถูกรถบดทับแตกละเอียดมา

หน้าผากปวดเสียจนใกล้แตกออก ในลำคอแห้งผากจนแทบมีเขม่าควันลอยออกมาได้

เธอพยายามลืมตา แต่เปลือกตากลับเหมือนมีทองคำหนักพันชั่งทับไว้ ไม่ใช่ว่าตนแค่เป็นไข้หลับไปเท่านั้นหรือ ทำไมถึงเจ็บได้ขนาดนี้

“ฉัน…นี่มันเกิดอะไรขึ้น ตัวร้อนจนสมองไหม้แล้วหรือ โอ้ย ทำไมเจ็บหัวขนาดนี้?”

หูอู้ซีปวดศีรษะแปลบๆ เหมือนถูกเข็มแทงอยู่พักหนึ่ง วิงเวียนศีรษะเกินรับไหว เธอพยายามเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้ง หลังจากนั้นไม่นาน แสงจางๆ จึงสะท้อนผ่านม่านตาเข้ามา

เธอกะพริบตาอย่างยากลำบาก ทัศนียภาพเบื้องหน้าค่อยๆ ชัดขึ้น ผนังดินตัดกับแสงสลัวๆ หลังคาบ้านต่ำเตี้ยเก่าๆ ส่งกลิ่นอายความเสื่อมโทรม แมงมุมตรงซอกกำแพงสร้างใยอย่างแข็งขัน

สติของเธอลางเลือนจึงค่อยๆ ขยับศีรษะ ทนอาการวิงเวียนแล้วมองสำรวจไปยังด้านล่าง พื้นไม่สม่ำเสมอ เครื่องเรือนเก่าๆ ที่ทำขึ้นอย่างเรียบง่าย ผนังยังมีรอยแตกทำให้มีแสงลอดผ่าน

หูอู้ซีตกตะลึง นี่…ที่ไหนกัน!?

หรือเธอกำลังฝันไป?…

ครั้นมองลอดออกไปที่แสงสว่างนอกประตู เห็นบ้านที่ก่อสร้างขึ้นด้วยดิน มุงหลังคาด้วยวัชพืชอย่างลวกๆ อยู่ตรงข้าม ปล่องไฟบนหลังคายังคงปล่อยควันดำออกมา บนภูเขาที่ไกลออกไปมีต้นไม้ใบหญ้างอกงามเขียวชอุ่มอยู่บนยอดเขาเป็นชั้นๆ

หูอู้ซีทอดมองอย่างใจลอย แล้วตั้งสติดึงสายตากลับมา มองดูผ้าห่มปะลวดลายดอกไม้ที่คลุมอยู่บนร่างกาย

ความปั่นป่วนภายในใจของเธอรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หญิงสาวพยายามยกมือขึ้นอย่างช้าๆ จนถึงเบื้องหน้า

“อา…” เสียงตื่นตระหนกแหบแห้งทุ้มต่ำเปล่งออกมา มือดำๆ ลีบและหยาบตรงหน้า เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่มือเรียวขาวผ่องของตน เธอรู้สึกเบ้าตาร้อนผ่าวขึ้นมา หน้าซีดลงทันที สุดท้ายก็หายใจติดๆ ขัดๆ แล้วเป็นลมไป

หูอู้ซีเป็นลมไปไม่นาน นอกประตูเกิดเสียงฝีเท้าจังหวะถี่ๆ ดังขึ้นอยู่สักพักก่อนที่เด็กชายผอมลีบคนหนึ่งจะรีบวิ่งเข้ามาในห้อง โผตัวมายังหน้าเตียง เสียงเล็กตะโกนอย่างลนลานอยู่สองครั้ง “ท่านพี่…ท่านพี่” เมื่อเห็นคนบนเตียงไม่ตอบสนอง เด็กชายรู้สึกกลัวเล็กน้อยจึงดึงมือหูอู้ซีขึ้นแล้วคิดจะเขย่าเธอให้ตื่น

ขณะเดียวกันนั้นปรากฏฟู่เหริน [1] คนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง ในมือประคองถ้วยยาที่มีไอร้อน เด็กชายหันกลับมาเห็นฟู่เหรินจึงส่งเสียงสะอื้นไห้ทันที

“ท่านแม่ ท่านพี่เป็นอะไรไป?”

ฟู่เหรินนำถ้วยในมือวางไว้บนโต๊ะ แล้วยิ้มอบอุ่นให้แก่เด็กชาย พร้อมกับตบหลังปลอบขวัญเบาๆ ชี้ถ้วยบนโต๊ะแล้วค่อยชี้ไปทางหูอู้ซี เด็กชายพยักหน้าอย่างวิตกกังวลและเอ่ยตอบรับเสียงเบา

“ท่านแม่ เอ้อร์หนิวบอกว่าท่านพี่ตกลงมาจากไหล่เขาใช่หรือไม่? นี่คือยาของท่านพี่หรือ?”

ฟู่เหรินถอนหายใจที่เต็มไปด้วยความทุกข์ พยักหน้าอย่างทำอะไรไม่ได้ นางยื่นมือออกไปจัดเสื้อผ้าให้เด็กชาย เห็นว่าอีกคนยังไม่ตื่นเลยชี้ไปที่ห้องครัว เห็นเด็กชายพยักหน้าเข้าใจ ฟู่เหรินจึงหมุนกายไปห้องครัว

“ท่านพี่ ท่านพี่…ลุกขึ้นมาดื่มยาเถิด ยาจวนจะเย็นแล้ว”

หูอู้ซีสะลึมสะลือ เธอได้ยินเสียงเรียกตะโกนอยู่พักหนึ่ง เมื่อเปิดเปลือกตาขึ้น ศีรษะของเด็กชายก็พรวดพราดยื่นเข้ามา สายตาของเขาปรากฏความดีใจและประหลาดใจออกมาชั่วครู่ พร้อมกล่าวอย่างตื่นเต้น

“ท่านพี่ ท่านฟื้นแล้ว ยังเจ็บอยู่หรือไม่? หน้าผากท่านได้รับบาดเจ็บ เป็นแผลรูใหญ่มาก ทำไมท่านถึงไม่ระวังกลิ้งตกจากไหล่เขาลงมาได้? ทำเอาพวกข้าตกใจแทบตาย ฮือ…” เด็กชายพูดแล้วก็ค่อยๆ สะอึกสะอื้นขึ้น

“ข้า…แค่ก…แค่ก…” พอจะพูดอะไรสักอย่าง ลำคอแห้งเหือดก็ไอออกมา

“ท่านพี่…ท่านเป็นอะไรหรือ? ข้า…ข้าจะไปเรียกท่านแม่” เด็กชายหมุนกายวิ่งออกจากห้องไปอย่างรีบร้อน

หูอู้ซีผ่อนคลายลมหายใจ อาการไอจึงค่อยๆ หยุด มองดูตนเองที่ยังคงอยู่ในสภาพแวดล้อมแปลกประหลาดเช่นเดิมนี้ เธอรู้สึกยอมจำนนและขมไปทั่วปาก เมื่อครู่ตอนที่เธอไม่ได้สติ ความทรงจำที่ไม่ใช่ของเธอต่างก็ทยอยปรากฏอยู่ในหัว ปีนี้เด็กสาวอายุสิบขวบ แซ่หูเหมือนเธอ นามว่าหูเจินจู เด็กชายผอมแห้งเมื่อครู่คนนั้นคือน้องชายของหูเจินจูชื่อหูผิงอัน ส่วนเธอหูอู้ซีเป็นคนหนึ่งที่ได้รับเกียรติในการทะลุมิติ ดูสภาพแล้วยังมาอยู่ในร่างของตระกูลคนจนอีกด้วย

ครั้นกวาดตามองแวบหนึ่ง วัชพืชมุงหลังคาห้อง โคลนสีเหลืองลายพร้อยบนกําแพงดิน ชี้ให้เห็นถึงความยากจนของครอบครัวนี้

หูอู้ซีขมวดคิ้ว รู้สึกอีกาฝูงหนึ่งร้อง “กา…กา” บินผ่านไป ทำไมถึงทะลุมิติมาได้เล่า?

“ฉันไม่อยากทะลุมิติ!” ในใจหูอู้ซีร้องโหยหวนพักหนึ่ง แม้ยุคปัจจุบันเธอจะเป็น “สาวสามไม่” ที่ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ ไม่มีแฟน แต่เธอมีหน้าที่การงานพอใช้ได้ ทุกเดือนเมื่อหักค่าใช้จ่ายชีวิตประจำวันต่างๆ ออกไปยังมีเงินเก็บเล็กน้อย ที่ผ่านมาใช้ชีวิตคนเดียวก็ค่อนข้างสบายดี อีกอย่างใช้ชีวิตในสังคมยุคปัจจุบันที่ขึ้นชื่อว่าชายหญิงเท่าเทียมกันมาเกือบสามสิบปีแล้ว ให้ย้อนกลับมาในสังคมศักดินาที่ผู้ชายเหนือกว่าผู้หญิง จะให้เธอปรับตัวได้อย่างไร แค่คิดก็ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวแล้ว

ที่น่าเศร้ายิ่งกว่าคือเด็กสาวตัวเล็กนามว่าหูเจินจูคนนี้ อยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เธอมีท่านพ่อที่เสียโฉม ท่านแม่ที่เป็นใบ้ และยังมีน้องชายอ่อนแอที่คลอดก่อนกำหนด…

ร่างกายหูอู้ซีอดสั่นเทาไม่ได้ ในใจกรีดร้องสบถมารดามันเถอะออกมานับครั้งไม่ถ้วน คุณน้อง อย่าทำร้ายเจ้แบบนี้ได้ไหม เธอเป็นคนหนึ่งที่เติบโตมาในเมือง ไม่เอาการเอางาน โง่เขลาขาดความรู้ จะสามารถอยู่ในหมู่บ้านบนภูเขาเล็กๆ ที่ยากจนและล้าหลังเช่นนี้ได้อย่างไร ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงหนทางสู่ความร่ำรวยมีอันจะกินเลย

ความคิดสับสนปนเปที่ปรากฏในหัวหายไป หูอู้ซีหยุดความรู้สึกซับซ้อน อาการเจ็บปวดที่หน้าผากทวีความรุนแรงมากขึ้น

“โอ๊ย!…เจ็บจะตายแล้ว” ขณะที่เธอยื่นมือจะไปสัมผัสบาดแผลบนศีรษะ ก็มีเสียงฝีเท้าเล็กๆ ดังสะท้อนอยู่นอกประตู

“ท่านแม่ เร็วเข้าๆ ท่านพี่ตื่นแล้ว” หูผิงอันจูงมือฟู่เหรินก้าวมาด้วยความเร่งรีบ

หูอู้ซีเงยหน้าขึ้นมองไปยังสองแม่ลูกที่เดินมาตรงหน้า บนกายฟู่เหรินสวมเสื้อคลุมสองชั้นสีฟ้าอมเขียว ส่วนหน้าของเสื้อเปิดออก กระโปรงยาวสีชมพูอมเทาที่ถูกซักจนซีด ผมยุ่งเกล้าไว้หลวมๆ สีหน้าอมทุกข์ แก้มตอบ ตาแดงบวมเล็กน้อยปรากฏให้เห็นว่ามีเรื่องรบกวนใจ นี่คือหลี่ซื่อท่านแม่ของหูเจินจู

“ท่านพี่ ท่านดีขึ้นบ้างหรือไม่?” หูผิงอันก้าวมาด้านหน้าถามด้วยความร้อนรน

หูอู้ซีมองน้องชายแปลกหน้าแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา หูผิงอันน่าจะเจ็ดขวบแล้ว หน้าตางดงาม สีหน้ากลับมีสีเหลืองเล็กน้อย รูปร่างผอมแห้งกว่าเด็กวัยเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด เพราะคลอดก่อนกำหนดร่างกายจึงเจ็บออดๆ แอดๆ ตั้งชื่อว่าผิงอันก็เพื่อหวังให้เขาเติบโตได้อย่างแข็งแรงมีความสุข

หลี่ซื่อลูบหน้าผากหูอู้ซีเบาๆ แล้วหมุนกายกลับไปประคองยาบนโต๊ะมานั่งลงข้างเตียง หยิบช้อนขึ้นมาป้อนยาให้แก่หูอู้ซี เธอเองก็ไม่ปฏิเสธ เปิดปากรับยาแต่โดยดี ลำคอของเธอแห้งผากเกินกว่าจะรับไหว แม้ยาจะขมแต่ก็ดับความกระหายได้บ้าง

เธอขมวดคิ้วแล้วดื่มยาจนหมด รู้สึกขมปร่าไปทั้งปาก ก็เลยพูดประหนึ่งคนลิ้นใหญ่ “น้ำ…ข้าอยากดื่มน้ำ”

หลี่ซื่อรีบหมุนกายไปเอาน้ำที่ห้องครัว

“ท่านพี่ ขมมากหรือ? ขมจึงจะมีประโยชน์นะ ท่านหมอหลินบอกว่าขมปากจะเป็นยาดี ตั้งใจดื่มอาการป่วยก็จะหาย” หูผิงอันที่ยืนอยู่ด้านข้างพูดด้วยใบหน้าจริงจัง เพราะเขามักจะป่วยและดื่มยาขมบ่อยๆ

หูอู้ซีมองใบหน้าเล็กๆ ที่ผอมเหลืองตรงหน้า ร่องรอยความทุกข์ระทมก็เกิดขึ้นในใจ เธอฝืนยิ้มให้เขาและพูดด้วยเสียงแหบแห้งที่ฟังไม่ชัด “อื้ม ตั้งใจดื่มอาการป่วยก็จะหาย”

หูผิงอันยิ้มขึ้นมาทันที

หลี่ซื่อประคองถ้วยสองใบเข้ามา หูอู้ซีเห็นดังนั้นก็อดกลั้นความเจ็บหยัดกายลุกขึ้นนั่ง ยื่นมือไปรับถ้วยน้ำมาดื่ม “อึก…อึก” น้ำหมดในรวดเดียว ฟื้นคืนน้ำเสียงแล้วรู้สึกดีขึ้นมาก

หลี่ซื่อรับถ้วยเปล่าไว้ แล้วเอาอีกชามหนึ่งส่งให้ หูอู้ซีรับมาจึงเห็นว่าเป็นถ้วยโจ๊กผักกวางตุ้ง มีน้ำมันเล็กๆ กระจายอยู่บนผิวหน้าของโจ๊ก เธอหิวจนท้องร้องโครกครากมานานแล้ว จึงรีบลงมือทานโจ๊กจนหมดอย่างรวดเร็ว

หลี่ซื่อมองเธอด้วยความสงสาร หลังหยิบถ้วยเปล่าไปก็ทำท่าทางให้เธอนอนลงและห่มผ้าให้

แม้หูอู้ซีจะไม่ง่วงแต่ก็ถือโอกาสหลับตาลง เธอไม่รู้ว่าควรปฏิบัติตัวกับพวกเขาอย่างไร และยังกลัวเผยอะไรออกมาให้คนสงสัย จึงทำได้เพียงแกล้งหลับไป

“ท่านพี่” หูผิงอันมองเธอแล้วพูดอึกๆ อักๆ พอคิดจะถาม หลี่ซื่อก็โบกไม้โบกมือใส่เขา ท่าทางห้ามเขาพูด ผิงอันพยักหน้ารับอย่างฝืนใจ หลี่ซื่อยิ้มปลอบขวัญ พอหมุนกายไปหยิบถ้วยแล้วจึงจูงมือเขาออกจากห้อง

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าห่างออกไป หูอู้ซีแอบเปิดตามองเล็กน้อย เห็นหลี่ซื่อดึงผิงอันที่ไม่เต็มใจเท่าไรไกลออกไปช้าๆ เธอถอนหายใจโล่งอกออกมา เผชิญหน้ากับญาติที่ยังไม่ค่อยคุ้นเคย จึงรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก เธออยากหลบหลีกความจริงนี้เสียจริงๆ

หูอู้ซีรู้สึกว่าตนเองเหมือนฝันอยู่ แต่ความเจ็บเป็นพักๆ บนร่างกายกลับย้ำเตือนทุกชั่วขณะว่านี่ไม่ใช่ความฝัน “ไอ๊หยา!” เธอลูบไหล่ซ้ายที่เจ็บหนัก บวมเป็นก้อนใหญ่อย่างเห็นได้ชัด คิดย้อนไปน่าจะเป็นตอนกลิ้งตกเขาปะทะเข้ากับก้อนหิน พอลองขยับขาต่อ ขาขวายังรู้สึกปกติดี พอถึงคราขาซ้ายขยับบ้างก็เจ็บน่องขึ้นมาอย่างฉับพลัน คาดว่าน่าจะถูกกระแทก โชคดีที่กระดูกไม่หัก มิเช่นนั้นต้องทนกับการปวดกล้ามเนื้อ กระดูกร้าวไปอีกร้อยวัน และทำได้เพียงนอนนิ่งนานสามเดือน สำหรับครอบครัวที่ยากจนเช่นนี้แล้ว ถือเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัดอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

พลิกกายเลี่ยงไม่ให้โดนบาดแผลอย่างยากลำบาก หันหน้าไปทางผนังสีขาวเทาเก่าๆ คิดมากมายสารพัดปนเปกัน

หวนนึกถึงตัวเองในยุคปัจจุบันขึ้นมา หูอู้ซีรู้สึกเป็นคนสองชาติภพ เพราะตอนเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยคะแนนสุดแสนจะธรรมดา เลยต้องเรียนคณะบริหารธุรกิจการตลาดที่ทำงานได้ทุกอย่างแต่ไม่เก่งอะไรเป็นพิเศษอย่างว่าง่าย เพราะว่าสาขานี้ “ทำทุกสิ่งได้อย่างละนิด แต่ไม่ชำนาญอะไรสักอย่าง” ทำงานไปวันๆ อยู่สามสี่ปีก็ยังไม่มั่นคง สุดท้ายพี่สาวของเธอก็รู้สึกว่า เธอใช้ชีวิตทำงานอย่างไร้ความสามารถไปวันๆ จึงบากหน้าไปหาคนรู้จัก เอาเธอยัดเข้าหน่วยงานแห่งหนึ่งเป็นพนักงานออฟฟิศ แม้เงินเดือนไม่สูงแต่มั่นคงกว่า อีกทั้งงานก็ง่าย สำหรับเธอที่ไม่มีความทะเยอทะยานอะไรแล้วนับว่าพอใจเป็นอย่างมาก

นึกถึงพี่สาวก็อดนึกถึงพ่อกับแม่ไม่ได้ สามวันก่อนยังกลับบ้านไปทานข้าวเย็นกันอย่างมีความสุขอยู่เลย ไม่นึกไม่ฝันว่าเพียงหมุนกายจากมาจะเปลี่ยนเป็นจากไปอย่างไม่มีวันหวนคืน

นึกถึงเรื่องอ่อนไหวจึงถือโอกาสปล่อยหยดน้ำตาไหลริน ถึงแม้พ่อกับแม่จะรำพันถึงการแต่งงานของเธอมาตลอด แต่หูอู้ซีไม่เคยคิดว่าตัวเองจะหลุดพ้นจากความห่วงใยรักใคร่เอ็นดูของท่านด้วยวิธีนี้ นึกถึงความเศร้าโศกที่พ่อกับแม่ผมขาวแล้วต้องมาส่งคนผมดำ น้ำตายิ่งไหลพรากไม่หยุด

โชคดีที่บุพการีทั้งสองสุขภาพร่างกายไม่แย่ พี่ชายพี่สาวปกติก็เชื่อฟังพวกท่าน เธอนึกปลอบตัวเองว่าอดทนให้ผ่านไปสักพักก็คงดีขึ้นได้ แม้จะคิดแบบนั้น แต่ความโศกเศร้าในใจกลับควบคุมไว้ไม่อยู่ เธอยื่นมือที่ไม่ได้รับบาดเจ็บมาดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตนเอง ปล่อยให้น้ำตาเม็ดโตหยดแล้วหยดเล่าล่วงหล่นลงมา

เชิงอรรถ

[1] ฟู่เหริน หมายถึง ผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว

----------------------

หากคุณท่านชอบนิยายเรื่องนี้ สามารถกดติดตาม
เพื่อรับการแจ้งเตือนตอนใหม่ๆได้ที่นี่เลยค่า~ >/\<

> จิ้มตรงนี้เพื่อติดตาม <

.

ขอแนะนำนิยายสนุกๆ คัดสรรค์มาเพื่อคุณท่านโดยเฉพาะ
อยากอ่านเรื่องไหน จิ้มได้เลย <3

ครอบครัวของหูเจินจู

ขณะที่หูอู้ซีซ่อนตัวนอนร้องไห้อยู่บนเตียงและเช็ดน้ำตา ในบ้านก็มีเสียงฝีเท้าเบาก้าวเข้ามา หลังจากนั้นเสียงของฟู่เหรินแหบๆ ที่บ่งบอกถึงการผ่านโลกมามากก็ดังขึ้น

“ลูกสะใภ้ๆ เจินจูเป็นเช่นไรบ้าง? ฟื้นหรือยัง?”

“ท่านย่า ท่านพี่เพิ่งฟื้น แต่ดื่มยาเสร็จก็นอนหลับไปอีกแล้ว” น้องชายของเธอตอบอย่างกระฉับกระเฉง

หูอู้ซีได้ยินเสียงพูดคุยกระตุ้นเตือนก็หยุดร้องไห้ในทันที กลัวว่าอีกเดี๋ยวพวกเขาจะเข้ามาเห็นตนเองน้ำตาเต็มใบหน้าแล้วจะอธิบายไม่ได้จึงรีบคว้าผ้าห่มมาเช็ด และสงบจิตสงบใจ หลับตาลง แกล้งหลับต่อ

“ฟื้นขึ้นมาแล้วก็ดี เมื่อครู่ไม่ใช่ท่านหมอหลินกล่าวแล้วหรือ แค่เจินจูฟื้นขึ้นมา คนถือว่าไม่เป็นอะไรแล้ว ค่อยๆ ใช้เวลาฟื้นฟูก็จะดีขึ้น อมิตาพุทธ พระพุทธเจ้าคุ้มครองเจินจูของพวกเราให้แคล้วคลาดปลอดภัย” ท่านย่าของเจินจูหญิงชราแซ่หู เดิมแซ่หวัง เรียกขานนางว่าหวังซื่อพูดด้วยเสียงเบา

ผิงอันค่อยๆ ขยับไปอยู่ข้างหวังซื่อและถามอย่างสงสัย “ท่านย่า เหตุใดท่านพี่ของข้าถึงกลิ้งตกลงมาจากไหล่เขาได้เล่า?”

ที่เขาถามเช่นนี้นั้นมีสาเหตุ เด็กในหมู่บ้านบนภูเขา อยู่ริมเขาฝึกปีนป่ายมาอย่างหนักตั้งแต่เด็ก มือเท้าปราดเปรียว ขึ้นเขาปีนต้นไม้เป็นกิจวัตร เด็กที่โตเท่าท่านพี่ ไปหลังเขาเช่นนี้มาไม่รู้กี่รอบแล้ว เด็กในหมู่บ้านก็อยู่บริเวณยอดเขา ตัดหญ้าขุดผักป่าเก็บเห็ดและทำอย่างอื่นมาหลายปี ภูมิประเทศบริเวณรอบๆ ตรงไหนมีร่องน้ำ ตรงไหนมีคันดินล้วนคุ้นเคยเป็นอย่างดี

“โธ่…” หวังซื่อถอนหายใจ กล่าวเสียงเบาว่า “เช้านี้ท่านพี่ชุ่ยจูกับเจินจูของเจ้าไปตัดหญ้าด้วยกัน ขากลับมาเจอจ้าวไฉ่สยากับจ้าวไฉ่เฟิงเข้าโดยบังเอิญ พวกนางบอกว่าเห็นรังไข่ของไก่ป่าในกองหญ้าเตี้ยบนเนินเขา เนินเขานั้นลาดชันพวกนางไม่กล้าลงไป จึงยุยงพี่ของเจ้าให้ลงไปแทน ปัดโธ่! เจินจูก็จริงๆ เลย เพื่อไข่ของไก่ป่าไม่กี่ใบ สูงและชันขนาดนั้นกล้าลงไปได้อย่างไร ตอนลงไปก็ไม่เป็นไร ทว่าตอนขากลับกลับเหยียบโดนก้อนหิน… จึงลื่นลงไป กลิ้งไปตามทางเนินลาดชันนั่น รอจนชุ่ยจูและพวกนางตามลงไปถึงเนินล่างสุดอย่างตื่นตระหนก ค่อยพบว่าหัวของเจินจูแตกเลือดไหลและหมดสติไปแล้ว”

หวังซื่อเอ่ยจบ มองหลี่ซื่อที่หน้าตาเต็มไปด้วยความโศกเศร้าอยู่พักหนึ่ง จึงพูดกับนางอย่างอ่อนโยนว่า “เจินจูฟื้นก็ดีแล้ว อย่าได้ตำหนินางเลย นางยังเด็ก คนไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”

หลี่ซื่อพยักหน้าฝืนใจยิ้ม ตบตัวเองเบาๆ แล้วโบกมือ ผิงอันเห็นหลี่ซื่อทำท่าโบกไม้โบกมือเสร็จก็ตอบแทนนางว่า “ท่านย่า ท่านแม่ไม่ตำหนิท่านพี่หรอก ท่านแม่ข้ารักและทะนุถนอมท่านพี่ที่สุด ล้วนโทษจ้าวไฉ่สยากับจ้าวไฉ่เฟิง พวกนางแย่ที่สุด ตนเองไม่กล้าขโมยรังไก่ป่า กลับยุยงให้ท่านพี่ของข้าไปแทน”

“โธ่ โทษคนอื่นก็มิได้หรอก พวกนางไม่ได้บังคับให้เจินจูไป ท่านพี่ของเจ้านิสัยตรงไปตรงมา ชุ่ยจูไม่ให้นางไปแต่นางไม่ฟัง ครานี้เสียท่า คราหน้าก็จดจำให้ดีเล่า”

หวังซื่อมองผิงอันอย่างสงสาร หลี่ซื่อไม่สามารถพูดได้ เจินจูอุปนิสัยเก็บตัว สองพี่น้องหญิงชายได้รับความทุกข์ไม่น้อย ตอนยังเล็กก็มักถูกเด็กในหมู่บ้านรังแก แม้ตนเองจะช่วยเป็นปากเป็นเสียงอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็มาเยี่ยมตลอดเวลาไม่ได้ อย่างไรเสียกิจธุระในบ้านก็มากมาย ยังต้องพะว้าพะวังลูกสะใภ้คนโตอีก

เมื่อคิดแล้วหวังซื่อก็ลอบถอนใจอยู่ข้างใน ปลุกใจตนเองให้กระฉับกระเฉงแล้วส่งตะกร้าไม้ไผ่ที่คลุมด้วยผ้าลายดอกไม้ให้หลี่ซื่อ

“นี่คือไข่ไก่ยี่สิบฟอง เอาไว้ให้เจินจูกับผิงอันบำรุงร่างกาย”

หลี่ซื่อได้ยินดังนั้นก็รีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ ชี้นิ้วไปยังห้องครัว ผิงอันมองปราดเดียวก็รู้ว่าท่านแม่ของเขาหมายถึงอะไร จึงพูดกับหวังซื่อว่า “ท่านย่า ท่านแม่บอกว่าบ้านยังมีไข่ไก่อยู่ ท่านย่าเก็บไข่ไก่ไว้แลกเงินเถิด”

หลี่ซื่อฟังแล้วรีบพยักหน้าคล้อยตาม

หวังซื่อไม่สนใจคนทั้งสอง นางดื้อดึงเอาตะกร้ายัดใส่อ้อมอกของหลี่ซื่อ แสร้งทำเสียใจและกล่าวด้วยใบหน้าบูดบึ้ง

“บอกให้เจ้ารับไว้ก็รับเอาไว้เถิด ไข่ไก่ในครัวเจ้าก็เก็บเอาไว้กินเอง นี่สำหรับใช้บำรุงร่างกายหลานทั้งสองของข้า อย่าเอาแต่ประหยัดเลย เจ้าลูกชายคนโตของข้าและคนอื่นๆ คงต้องใช้เวลามากกว่าครึ่งเดือนจึงจะกลับ อย่าปล่อยให้เด็กๆ หิว”

ใบหน้าผอมตอบของหลี่ซื่อปรากฏสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ในวันปกติแม่สามีหวังซื่อก็มาช่วยเอาอาหารมาเติมเต็มในตำแหน่งที่ว่างของบ้านเสมอ เดือนก่อนผิงอันป่วยเป็นหวัดจากอากาศหนาวหลายวัน หวังซื่อก็ให้ไข่ไก่มาตั้งสิบห้าฟอง เพิ่งให้มาไม่นานนี่เองก็ให้อีกยี่สิบฟองเสียแล้ว

หลี่ซื่อเดาว่าพี่สะใภ้เหลียงซื่อของนางคงไม่พอใจนัก สำหรับครอบครัวชาวไร่ชาวสวน ไข่ไก่ส่วนใหญ่เก็บมาได้ก็จะนำไปแลกเป็นเงินยามไปจับจ่ายใช้สอยที่ตลาด ไข่ไก่ยี่สิบฟองนับเป็นรายได้ไม่น้อยเลย เจตนาของนางไม่อยากเพิ่มความลำบากให้แม่สามี แต่แม่สามีหวังซื่อก็ไม่ยอมแพ้ เรื่องที่นางตัดสินใจแล้วน้อยนักที่จะเปลี่ยนใจ ทำได้เพียงรับเอาไข่ไก่มา

หวังซื่อจึงมองนางแล้วยิ้มขึ้นได้ นางพูดชี้แนะด้วยความจริงใจ “นี่ย่อมถูกต้องแล้ว ขอแค่เลี้ยงคนให้ดีก็เหนือกว่าสิ่งอื่นใด เจ้าเปิดใจให้กว้างหน่อย อย่าใส่ใจพวกปากมากเหล่านั้นเลย ตอนเย็นก็ปิดหน้าต่างดีๆ มีเรื่องอะไรก็ให้ผิงอันไปเรียกข้า ผิงอัน ท่านพ่อของเจ้าไม่อยู่ เจ้าจึงถือเป็นเสาหลักของบ้านนี้ ต้องดูแลท่านแม่กับท่านพี่ของเจ้าให้ดี รู้หรือไม่?”

ผิงอันได้ยินเช่นนั้นก็ยืดอกเล็กๆ ขึ้นแล้วตอบรับเสียงดัง

“ขอรับ ท่านย่า ข้าจะดูแลท่านแม่และท่านพี่ให้ดี”

หวังซื่อได้ฟังก็อดหัวเราะไม่ได้ เอ่ยชื่นชม “นี่สิจึงจะเป็นชายชาตรีตระกูลหูของพวกเรา เก่งจริงๆ!” นางยื่นมือออกไปลูบศีรษะผิงอัน ผิงอันก็มองไปที่หวังซื่อแล้วยิ้มไร้เดียงสาอย่างมีความสุข

เมื่อมองดูฉากอบอุ่นของย่าหลานสองคน ใบหน้าทุกข์ระทมของหลี่ซื่อก็ค่อยๆ ปรากฏความตื้นตันใจ ตนเองมีฐานะตำแหน่งต่ำต้อย แต่งเข้าตระกูลหูมาหลายปีเช่นนี้ แม่สามีกลับดูแลนางดีมาตลอด ส่งเสียนางทั้งที่ลับและที่แจ้ง แม้ว่าความเป็นอยู่ปีนี้จะค่อนข้างยากจน ทว่าในใจหลี่ซื่อยังคงซาบซึ้งในบุญคุณ

“ในเมื่อเจินจูยังนอนอยู่ ข้าก็ขอกลับก่อนแล้วกัน พระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้ว ในบ้านยังมีเรื่องกองอยู่ พี่สะใภ้เจ้าร่างกายไม่ค่อยดี ชุ่ยจูทำงานบนเตาไม่คล่องแคล่ว ข้าต้องไปดูเสียหน่อย” หวังซื่อพูดแล้วก็เดินไปนอกลานบ้าน

หลี่ซื่อรีบเดินตามไปส่งได้ไม่กี่ก้าว หวังซื่อก็หมุนกายกลับมาโบกมือให้

“ไม่ต้องส่งหรอก แค่ไม่กี่ก้าว รีบไปทำอาหารเย็นเถิด” กล่าวจบก็ก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า

หลี่ซื่อมองเงาค่อยๆ ทอดห่างไกลออกไป จึงเดินไปปิดประตู หยิบตะกร้าไข่ไก่เดินหายเข้าไปในห้องครัว ผิงอันเข้าไปช่วยหลี่ซื่อก่อไฟทำอาหารอย่างรู้ความ

เมื่อไม่ได้ยินเสียงในลานบ้านแล้ว หูอู้ซีจึงลืมตาขึ้น เธอในยามนี้ไม่ได้ร้องไห้อีกต่อไป ชีวิตคนเราต้องมองไปข้างหน้า ในเมื่อเปลี่ยนแปลงความจริงไม่ได้ เช่นนั้นจึงได้แต่ยอมรับโดยดี

คิดเรียบเรียงจากการพูดคุยที่ได้ยินเมื่อครู่ รวมกับความทรงจำที่ร่างนี้เหลือไว้ หูอู้ซีก็เข้าใจสถานการณ์คร่าวๆ ของบ้านหลังนี้ ท่านแม่หลี่ซื่อที่อ่อนโยนและพูดไม่ได้ น้องชายผิงอันที่รู้ความ ผอมแห้งและป่วยบ่อย อีกทั้งยังมีท่านพ่อหูฉางกุ้ยที่ทำงานรับจ้างชั่วคราวอยู่ในเมือง ในความทรงจำเป็นคนซื่อๆ ไม่ค่อยพูด รวมตัวหูเจินจูเองลงไปด้วย มองจากภายนอกแล้วก็เป็นครอบครัวเรียบง่ายที่มีกันอยู่สี่คน

แต่ในความเป็นจริง หากไม่ได้มองโลกในแง่ดีเท่าไหร่นัก ท่านแม่หลี่ซื่อของเธอตอนแต่งเข้าตระกูลหูก็เป็นใบ้ ไม่รู้ว่าเป็นใบ้ตั้งแต่เกิดหรือเป็นใบ้ในภายหลัง ผู้ใหญ่ในครอบครัวเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับมิดชิด

ในความทรงจำหูเจินจูเคยได้ยินเรื่องนินทาในหมู่บ้านมาเล็กน้อย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเพียงการคาดเดา เพราะหลี่ซื่อไม่ใช่คนแถวนี้ อีกทั้งตอนแต่งออกมาก็อายุสิบแปดแล้ว ดังนั้นคนในหมู่บ้านต่างคิดกันว่าเพราะหลี่ซื่ออยู่บ้านเกิดของตนเองแล้วแต่งไม่ออก จึงแต่งเข้าตระกูลหูที่อยู่ห่างไกลแทน

สำหรับเหตุผลที่เหตุใดหูฉางกุ้ยถึงแต่งสะใภ้ที่เป็นใบ้เข้ามานั้นคำตอบช่างเรียบง่ายเป็นอย่างยิ่ง หนึ่งคือจน สองคือรูปโฉม

ตอนหูฉางกุ้ยอายุสิบห้าปี เขาและหูฉางหลินถือโอกาสช่วงหลังเก็บเกี่ยวออกจากบ้านไปรับจ้างขุดคลองยังอำเภอข้างๆ หลังทำอยู่เดือนหนึ่งก็สำเร็จได้รับค่าแรงกลับบ้าน ทว่าเมื่อใกล้ถึงบ้านกลับเจอพายุฝน เดิมทีควรจะหลบฝนในเพิงของนายพรานที่อยู่ใกล้เคียง แต่หูฉางหลินตอนนั้นใจร้อนไปหน่อย คิดถึงภรรยาที่ตั้งครรภ์ได้สามเดือนซึ่งกำลังรออยู่ที่บ้าน คุยโวว่าร่างกายแข็งแรงตากฝนนิดหน่อยไม่เห็นเป็นอะไร จึงเสนอการเดินทางฝ่าสายฝน หูฉางกุ้ยเป็นคนซื่อ ไม่ได้มีความคิดเห็นอะไร เป็นธรรมดาที่จะไม่คัดค้าน

ทั้งสองรีบร้อนเดินไปตามทางได้ชั่วขณะ เห็นว่าเมื่อเลี้ยวผ่านอีกเขาหนึ่งจะมาถึงทางเข้าหมู่บ้านแล้ว ทว่าจู่ๆ ก็มีหินก้อนใหญ่กลิ้งลงมาตามเนินลาด เนื่องจากตอนนั้นฝนตกหนักลมพัดแรง หูฉางหลินเดินนำหน้าและไม่รู้ตัวว่ามีอันตราย ส่วนหูฉางกุ้ยที่อยู่ด้านหลังสังเกตเห็นหินก้อนใหญ่นี้กลิ้งหล่นลงมา จึงผลักเขาออกไป ส่วนตัวเองไม่มีเวลาหลบหาที่กำบัง จึงทำให้ถูกเศษหินที่กลิ้งลงมาพร้อมกันปะทะเข้าที่กลางหน้าผาก ชั่วพริบตาเลือดสีแดงฉานก็เปื้อนไปทั่วดวงตาของเขา สุดท้ายก็ทรุดตัวลงเสียงดัง “ตุบ”

หูฉางหลินโซเซหลบก้อนหินใหญ่ได้ทัน พอหันกลับมาพบว่าหูฉางกุ้ยล้มลงไปกับพื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดสีแดงฉาน เมื่อความหวาดกลัวจางลง ก็หมุนกายแบกหูฉางกุ้ยขึ้นหลังมุ่งไปหาท่านหมอหลินในหมู่บ้าน สิ่งเดียวที่น่ายินดี ณ เวลานั้นคือท่านหมอหลินจากหมู่บ้านมาอาศัยอยู่ที่ทางเข้าหมู่บ้านพอดี

อุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงสู่ตระกูลหู โดยเฉพาะสำหรับหูฉางหลินแล้ว พี่สาวคนโตของเขาแต่งออกไปไกล หนึ่งปียังยากที่จะกลับบ้านสักครั้ง ดังนั้นพี่น้องที่เหลือกันอยู่เพียงสองคนจึงมีความสัมพันธ์ที่ดีเสมอมา อุบัติเหตุเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะเขายืนกรานเร่งรีบเดินทาง เรื่องเช่นนี้คงไม่เกิดขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น หากตอนนั้นฉางกุ้ยไม่ได้ผลักเขาให้พ้นทาง เขาจะเป็นหรือตายก็ล้วนไม่แน่ชัด หูฉางหลินจึงรู้สึกผิดมากและโทษตนเองตลอดเวลา

หน้าผากข้างซ้ายของหูฉางกุ้ยแตกเป็นรูใหญ่ บาดแผลลากยาวมาจนถึงคิ้ว ภายหลังบาดแผลค่อยๆ ดีขึ้นอย่างช้าๆ ขนคิ้วของชายหนุ่มที่แต่เดิมทั้งหนาทั้งละเอียดได้เกิดความเสียหาย เหลือไว้ซึ่งแผลเป็นขนาดใหญ่ขรุขระไม่น่าดู ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากในการแต่งงาน ทั้งหมู่บ้านเดิมที่อยู่และหมู่บ้านใกล้เคียง ไม่พบใครที่เต็มใจจะแต่งงานกับเขา

แน่นอนว่าไม่ใช่เพียงเพราะรูปร่างหน้าตา แต่ยังเพราะว่าต้องซื้อยารักษาโรคของหูฉางกุ้ยอีกด้วย ตระกูลหูหยิบยืมหนี้จากข้างนอกมาไม่น้อย เดิมทีครอบครัวนี้ไม่ได้ร่ำรวยตั้งแต่แรกอยู่แล้ว จึงยิ่งยากจนลงไปอีก

จนกระทั่งรอให้หูฉางกุ้ยอายุยี่สิบปี หวังซื่อพาเขาออกไปเที่ยวไกลบ้าน พอกลับมาก็พาหลี่ซื่อกลับมาด้วย ชาวบ้านเล่ากันว่าเป็นลูกสาวกำพร้าที่ได้รับการแนะนำจากญาติภายนอก ด้วยเหตุผลพิเศษบางอย่างทำให้พวกเขาต้องมาแต่งงานกันในต่างแดนเช่นนี้ ไม่มีการจัดโต๊ะอาหารเตรียมไว้รับแขก เพียงแจกลูกอมมงคลให้แก่คนในหมู่บ้าน

ตระกูลหูสู่ขอสะใภ้ที่เป็นใบ้แต่งเข้ามา ข่าวแพร่กระจายเร็วปานติดปีก มีเรื่องอื้อฉาวมากมาย เหล่าชาวบ้านก็พากันถกเถียงอยู่ช่วงหนึ่ง และมักจะมาล้อมรอบลานบ้านตระกูลหูเพื่อดูเจ้าสาวที่พูดไม่ได้ หลี่ซื่อเพิ่งมาถึงตระกูลหูได้พักหนึ่ง นางไม่กล้าแม้แต่จะก้าวเท้าออกจากประตูห้องในช่วงเวลากลางวัน รอจนเย็นย่ำ ตอนที่ผู้คนสงบแล้วจึงกล้าเดินออกจากประตูห้องมาหายใจ

บ้านเก่าของตระกูลหูถูกสร้างขึ้นตรงทางเข้าหมู่บ้าน และมีชาวบ้านเข้าๆ ออกๆ เป็นจำนวนมาก ตระกูลหูทำได้เพียงปิดลานบ้านให้มิดชิด จนเมื่อหลี่ซื่อให้กำเนิดหูเจินจู ข่าวลือจากชาวบ้านจึงค่อยๆ ซาลง

เมื่อเจินจูโตได้สามขวบ หวังซื่อตัดสินใจให้หูฉางกุ้ยและภรรยาแยกครอบครัวออกไปอยู่ลำพัง หาที่ดินท้ายหมู่บ้านและสร้างบ้านให้พร้อมย้ายเข้าอยู่ หลังจากนั้น ชีวิตของหูฉางกุ้ยและภรรยาจึงสงบเงียบลงได้

----------------------

หากคุณท่านชอบนิยายเรื่องนี้ สามารถกดติดตาม
เพื่อรับการแจ้งเตือนตอนใหม่ๆได้ที่นี่เลยค่า~ >/\<

> จิ้มตรงนี้เพื่อติดตาม <

.

ขอแนะนำนิยายสนุกๆ คัดสรรค์มาเพื่อคุณท่านโดยเฉพาะ
อยากอ่านเรื่องไหน จิ้มได้เลย <3

ท่านแม่ที่พูดไม่ได้กับน้องชายที่รู้ความ

ชายชรานามว่าหูเฉวียนฝูแห่งตระกูลหู ปีนี้อายุห้าสิบแปดปี หูเฉวียนฝูกับหวังซื่อเลี้ยงดูบุตรชายบุตรสาวจำนวนสามคน บุตรสาวคนโตหูชิวเซียงได้แต่งงานออกไปยังอำเภอข้างเคียง ส่วนพวกเขาที่เป็นบิดามารดาอาศัยอยู่กับบุตรชายคนโตอย่างหูฉางหลินและหูฉางกุ้ย ท่านพ่อของหูเจินจูเป็นน้องคนสุดท้องในจำนวนบุตรทั้งหมดสามคน

ลูกชายคนรองแห่งตระกูลหู หูฉางหลินกับเหลียงซื่อให้กำเนิดบุตรชายบุตรสาวทั้งหมดสามคน สองคนแรกเป็นบุตรสาว คือหูอู้จูอายุสิบหกปีกับหูชุ่ยจูอายุสิบสองปี หูอู้จูแต่งงานออกไปอยู่หมู่บ้านต้าวันข้างๆ เมื่อต้นปีนี่เอง ดังนั้นในบ้านจึงมีเพียงหูชุ่ยจูกับหูผิงซุ่นที่เป็นบุตรชายอายุแปดขวบ

เหลียงซื่อให้กำเนิดบุตรสาวสองคน ในใจกดดันยิ่ง ถึงแม้ว่าหวังซื่อแม่สามีจะไม่เอ่ยปากรังเกียจ แต่ญาติๆ ในหมู่บ้านต่างพากันบ่นไม่น้อย ไม่กี่ปีก่อนจะให้กำเนิดหูผิงซุ่นออกมา เหลียงซื่อเกือบจะเป็นคนไม่มีปากมีเสียง แต่ละวันผ่านไปด้วยความระมัดระวังและหวาดกลัว จนกระทั่งหูผิงซุ่นที่เป็นบุตรชายเกิดมา เหลียงซื่อจึงรู้สึกว่าชีวิตมีความหวัง สามารถยืดเอวตั้งตรงพูดคุยกับผู้อื่นได้

ทว่าครอบครัวที่มีสมาชิกเด็กผู้ชายเพียงคนเดียว นั่นหมายความว่ายังไม่รุ่งโรจน์มากนักในหมู่บ้าน เสียดายที่ผ่านไปเจ็ดแปดปีแล้วก็ยังไม่มีข่าวคราวอะไรเลย ขณะที่เหลียงซื่อเริ่มจะปล่อยวาง… กลับพบข่าวดีอย่างไม่คาดคิดอีกครั้ง

นี่มิใช่ว่าตั้งครรภ์แล้วหรือ เหลียงซื่ออยู่บ้านระมัดระวังครรภ์อ่อนที่มีอายุสองเดือนได้ อย่างไรเสียอายุก็ค่อนข้างเยอะแล้ว สภาวะการตั้งครรภ์ไม่ค่อยดีนัก ท่านหมอหลินในหมู่บ้านบอกให้ระวังและบำรุงครรภ์ให้ดี ไม่สามารถทำงานหนักได้

หวังซื่อแม่สามีสกุลหูนอกจากจะดีใจแล้ว ยังรับผิดชอบทำงานบ้านสำคัญๆ อีกด้วย

โชคดีที่ขณะนั้นเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ฤดูกาลเพาะปลูกผ่านไปแล้ว งานหนักที่สำคัญในไร่นาก็เสร็จสิ้น หวังซื่อแค่ต้องจัดการอาหารการกินของผู้สูงวัยและเด็กก็พอ แม้กระทั่งไก่สิบกว่าตัวและหมูสองตัวในบ้าน คนเลี้ยงก็เป็นหลานสาวชุ่ยจู เด็กสาวอายุสิบสองปีในครอบครัวเกษตรกรนับได้ว่าเป็นกำลังแรงงานคนหนึ่ง ชุ่ยจูขอใช้ชีวิตแค่ตัดหญ้าและเลี้ยงไก่ เลี้ยงหมูก็นับว่าสบายแล้ว

ในครอบครัวหูเจินจูก็เลี้ยงหมูหนึ่งตัว ดังนั้นสองพี่น้องผู้หญิงจึงรวมตัวกันไปตัดหญ้าหลังเขา ความรักความผูกพันเช่นนี้นับว่าไม่แย่เลย

ชุ่ยจูรูปร่างไม่สูงแต่แรงกำลังไม่น้อยเลย อุปนิสัยก็ค่อนข้างคึกคักร่าเริง วันนั้นที่เจินจูกลิ้งตกเขาก็เป็นชุ่ยจูที่แบกกลับมา และยังวิ่งไปเรียกท่านหมอหลินตรงทางเข้าหมู่บ้านให้ จากนั้นยังกลับไปบอกท่านย่าหวังซื่อ พอท่านหมอหลินตรวจและรักษาหูเจินจูเสร็จยังตามไปเอายากลับมาให้หลี่ซื่อต้มอีก วิ่งวุ่นเพื่อเจินจูไม่ได้หยุด

หูอู้ซีเองก็มีพี่สาว พอได้รับรู้ว่าญาติที่ปฏิบัติดูแลกันด้วยความจริงใจน่าชื่นชมยินดีเพียงใด คิดถึงตรงนี้ก็เกิดความประทับใจสายหนึ่ง

หูอู้ซีคือหูเจินจูในขณะนี้ เธอนอนอยู่เงียบๆ จัดการข้อมูลที่มีประโยชน์กับตนเองจากในความทรงจำ อย่างไรเสียก็เข้ามาอยู่ในร่างนี้แล้วตีโพยตีพายไปก็เปล่าประโยชน์ ไม่สู้คิดถึงวันเวลาหลังจากนี้… จะผ่านไปอย่างไรดีกว่า

ณ ที่แห่งนี้คือเขตปกครองอาณาจักรต้าสยา ต้าสยามีประวัติศาสตร์มาเกือบร้อยปีแล้ว แน่นอนว่าราชวงศ์สยานี้ไม่ใช่ราชวงศ์สยาในประวัติศาสตร์ ผ่านสงครามก่อกบฏกลางเมืองมาสองครั้ง และข้อพิพาทการรุกรานชายแดนจากภายนอกหลายครั้ง สุดท้ายอำนาจทางการเมืองก็ยังคงอยู่ในมือของลูกหลานราชวงศ์สยา ทว่ากระทั่งฮ่องเต้องค์ปัจจุบันคือผู้ใด ในสมองเจ้าของร่างเดิมกลับไม่มีความทรงจำแม้แต่น้อย คิดๆ ดูแล้วขอแค่ไม่ใช่สงคราม ผู้ใดเป็นฮ่องเต้ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับสาวชาวไร่ตัวเล็กๆ ระดับล่างเช่นเธอ

หูเจินจูคิดอย่างลวกๆ ตนเองอายุน้อยลงสิบกว่าปีแบบไม่มีเหตุผล และไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นเช่นไร เธอพึมพำ ใช้มือลูบไม่เจอเนื้อแก้ม พยายามหวนนึกถึงคนในหมู่บ้านเพื่อประเมินหน้าตาของตนเอง ดูเหมือนว่าพวกพี่สาวน้องชายจะหน้าตาคล้ายกันมาก ตัวผอมๆ เล็กๆ ส่วนอื่นไม่ต้องพูดถึง

หูเจินจูยังไม่อาจวางใจได้เล็กน้อย หันศีรษะและกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง ไม่พบวัตถุจำพวกกระจกทองแดงเลย

อยากรู้เสียจริง คนในชนบทที่ยากจนจะมีของเช่นกระจกทองแดงได้อย่างไรกัน เธอทำปากเยาะเย้ย ผู้หญิงไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม หน้าตามักเป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญที่สุดเสมอ ไม่เช่นนั้น กิจการเสริมความงามจะเจริญก้าวหน้าได้อย่างไร

ขณะที่หูเจินจูคิดอะไรไม่ออก หมดอาลัยตายอยาก ก็มีศีรษะหนึ่งโผล่ออกมาตรงประตู เป็นหูผิงอันน้องชายที่มักโดนเอาเปรียบของเธอนี่เอง เธอมีเรื่องอยากถามอยู่พอดีเลย

มุมปากยกขึ้นยิ้มกว้าง กวักมือไปทางเขา

ดวงตาของหูผิงอันเป็นประกาย เขาวิ่งเข้ามาหาเธอ ในห้องของหูเจินจูไม่มีอะไร มีเพียงเตียงหนึ่งหลังกับโต๊ะซอมซ่อตัวหนึ่ง หูเจินจูมีแค่เสื้อผ้าที่กองไว้ข้างเตียงอยู่ไม่กี่ชิ้น มุมด้านข้างยังมีข้าวของเล็กน้อยวางปะปนกัน เธอตบลงบนขอบเตียงส่งสัญญาณให้น้องชาย ผิงอันนั่งลงอย่างว่าง่าย

เจินจูอาศัยแสงจากดวงอาทิตย์นอกหน้าต่างพินิจพิเคราะห์เขาอย่างละเอียด คิ้วไม่หนาแต่ยังนับว่ามีรูปทรง ดวงตาสองชั้นไม่โต ให้ความรู้สึกว่าหางตางอนเล็กน้อย จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางเล็กน้อย สีหน้าดูเหลืองคล้ำนิดๆ อาจเป็นเพราะได้รับคุณค่าทางอาหารไม่เพียงพอ รวมๆ แล้วเป็นเด็กหนุ่มรูปโฉมงดงามคนหนึ่ง เมื่อเขาโตขึ้นน่าจะเป็นหนุ่มหล่อพอสมควร แน่นอนว่าเงื่อนไขแรกคือคุณค่าทางโภชนาการอาหารต้องพอดีจึงจะใช้ได้ ไม่เช่นนั้นรูปร่างจะเล็กเตี้ยและอ่อนแอ ต่อให้โฉมงามแค่ไหนก็เสียของเปล่า

หูเจินจูมองใบหน้าของผิงอันและพยักหน้า หน้าตาเช่นนี้อยู่บนใบหน้าของเธอก็ไม่คงแย่นัก ในใจแอบรู้สึกยินดีเล็กน้อย

ชาติที่แล้วหูเจินจูหน้าตาธรรมดารูปร่างไม่แย่ แต่งหน้าดูแลผิวพรรณแล้วยังพอดูได้ หากปล่อยไปตามยถากรรมก็ถือว่าเป็นคนหน้าตาบ้านๆ ธรรมดาทั่วไป แน่นอนว่าชีวิตของเธอส่วนใหญ่ล้วนเรียบง่ายและธรรมดา เพราะการแต่งหน้าแต่งตัวต้องใช้เงินและเวลา เธอรู้สึกว่าตนเองขาดแคลนทั้งสองอย่าง มีเวลาเช่นนี้ไม่สู้นอนจนขี้เกียจนอนไปเลยเล่า

“ท่านพี่ ท่านตื่นแล้วหรือ ยังเจ็บหัวอยู่หรือไม่?” ผิงอันมองท่านพี่ของเขาอย่างแปลกใจเล็กน้อย

เธอมองเขาอยู่ชั่วครู่ก็ยังไม่ส่งเสียงออกมา

“แค่ก…” เธอแกล้งไอ “ดีขึ้นแล้ว ไม่ได้เจ็บขนาดนั้นแล้ว… ผิงอัน ท่านแม่เล่า?”

“ท่านแม่กำลังทำกับข้าว ท่านหิวแล้วหรือ? รอสักเดี๋ยวก็จะได้ทานแล้ว ท่านแม่ตุ๋นไข่ไก่ให้ท่าน เมื่อครู่ท่านย่าเพิ่งมาเยี่ยม หิ้วไข่ไก่มาให้บำรุงตั้งยี่สิบฟอง ท่านทานไข่ไก่หมดร่างกายก็จะดีขึ้น” ผิงอันมองเธอด้วยดวงตาสว่างวิบวับ กล่าวด้วยสีหน้าที่ดูมีความสุขยิ่ง

หูเจินจูมองดูท่าทางมีความสุขของเขาแล้วรู้สึกเศร้าเล็กน้อย เด็กหนุ่มนี่แค่ทานไข่ไก่ก็รู้สึกดีใจได้ขนาดนี้ จึงยิ้มไปให้เขาอย่างอบอุ่นและกล่าวว่า “ผิงอัน อีกเดี๋ยวไข่ไก่สุกแล้วพี่จะเก็บไว้ให้เจ้าครึ่งหนึ่ง เจ้ายังเด็ก ทานไข่ไก่เยอะอีกหน่อยจะได้สูง”

ผิงอันได้ฟังดังนั้นก็รีบโบกมือกล่าวว่า “ท่านพี่ ท่านทานเถิด ทานแล้วร่างกายจึงจะฟื้นฟูได้เร็ว ท่านแม่ต้มข้าวเสร็จ ข้าทานข้าวก็สูงขึ้นได้”

มองดูท่าทีรู้ความของผิงอันแล้ว เจินจูสะเทือนใจเล็กน้อย จึงไม่รบเร้าเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก เธอถามต่อว่า “ผิงอัน คือ… เอ่อ… ท่านพ่อ จะกลับมาเมื่อใดหรือ?”

“ท่านพี่ ท่านย่าบอกว่า ยังต้องใช้เวลามากกว่าครึ่งเดือน ต้องรอเวลาก่อนที่หิมะตกจึงจะกลับ ฟืนสำหรับฤดูหนาวของบ้านเรายังไม่ได้ตระเตรียมเลย”

ผิงอันเอ่ยอย่างจริงจัง คำพูดยังเผยให้เห็นถึงความกังวลใจอีกด้วย

เจินจูมองเขาที่ดูเป็นผู้ใหญ่ขนาดเล็กกะทัดรัดแล้วรู้สึกน่ารักมาก ในชั่วพริบตาจึงอดยื่นมือออกไปหยิกใบหน้ารูปไข่ที่ดูอ่อนแอของเขาไม่ได้ เธอกลั้นยิ้ม

“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก มีท่านพ่อและท่านลุง รอพวกท่านกลับมา ไม่กี่วันฟืนก็จัดการเรียบร้อยแล้ว เจ้าแขนขาเล็กเพียงนี้ ทานข้าวเยอะๆ พอดูมีแรงแล้วค่อยว่ากันเถิด”

ผิงอันยอมไม่ได้เล็กน้อย ทว่าตอนที่กำลังจะโต้เถียงนาง หลี่ซื่อก็เดินเข้ามาพร้อมถาดอาหารมื้อเย็นในมือ ผิงอันรีบกระโดดลงจากเตียง เพื่อช่วยหลี่ซื่อยกอาหารลงมา

เจินจูฝืนหยัดกายลุกนั่ง ทนความเจ็บ ค่อยๆ เคลื่อนกายไปถึงฝาผนัง พิงผนังจึงจะนั่งได้นานหน่อย

หลี่ซื่อรีบวางถาดลงและเข้ามาประคอง มองเธอแล้วย่นหัวคิ้วตำหนิเล็กน้อย คล้ายจะบอกว่า… เจ้าขยับซี้ซั้วได้อย่างไร?

เจินจูมองนางแล้วยิ้มๆ ด้วยใบหน้าเหยเก พูดแล้วก็ประหลาด อาจเพราะในความทรงจำของเจินจูเก็บรักษาข้อมูลของหลี่ซื่อไว้เยอะมาก ดังนั้นเรื่องที่หลี่ซื่ออยากถ่ายทอดหรือสื่อสารกับเธอ เธอล้วนเข้าใจได้คร่าวๆ

หลี่ซื่อมองไปรอบห้องที่มีแสงสลัว แล้วก้าวเท้าออกไปนอกห้อง ไม่นานก็ถือตะเกียงไฟเดินเข้ามา หลังจากวางลงบนโต๊ะเบาๆ แล้วก็หมุนกายออกไป

เจินจูเพ่งมองตะเกียงน้ำมันอย่างอยากรู้อยากเห็น เหมือนจานใบตื้นที่มีด้ามจับสูง ตรงฐานมีน้ำมันชั้นหนึ่ง ไส้ตะเกียงด้านข้างกำลังลุกไหม้ ปรากฏลูกไฟพลิ้วไหวตลอดเวลา เหมือนกับตะเกียงน้ำมันที่เคยเห็นในโทรทัศน์จริงๆ ด้วย

หลี่ซื่อถือโต๊ะเตี้ยเข้าห้องมาอีกครั้ง ค่อนข้างเหมือนโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็กๆ ของประเทศทางเหนือนำมาวางบนเตียง นางเอาโต๊ะวางไว้บนขาของเจินจู เป็นที่วางได้อย่างพอดี หลังจากนั้นเอากับข้าววางไว้บนโต๊ะ มีถั่วเหลืองต้มจานเล็กหนึ่งใบ ต้มจืดผักกวางตุ้งหนึ่งถ้วย ผักดองเค็มจานเล็กหนึ่งใบ ไข่ไก่ตุ๋นหนึ่งถ้วย ข้าวเปล่าสามถ้วย ดูจากสีข้าวน่าจะเป็นข้าวธัญพืช

ผิงอันมองไปที่โต๊ะ ยิ้มเบิกบานใจแล้วเอ่ย “ท่านแม่ ท่านนั่งตรงนี้ นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ทานข้าวในห้องของท่านพี่ ฮิๆ”

เขารีบปีนขึ้นไปอีกฝั่งแล้วนั่งลง หันหน้าไปหาเจินจูแล้วกล่าวว่า “ท่านพี่ รีบทานข้าวเร็ว อีกเดี๋ยวจะเย็นชืดเอานะ”

ในใจหูเจินจูมีความรู้สึกซับซ้อน ยกชามข้าวขึ้นมาเงียบๆ แม้แขนซ้ายจะยังคงเจ็บอยู่ เธอก็อดทนไม่ส่งเสียงออกมา ข้าวธัญพืชไม่ได้อร่อยแบบที่คิดไว้ มีบ้างที่ติดอยู่ในลำคอ แต่ทานแล้วยังมีกลิ่นหอมของข้าว

หลี่ซื่อดันชามไข่ไก่ตุ๋นไปตรงหน้าเจินจู บอกใบ้ให้เธอทาน และยังแบ่งถั่วเหลืองในชามให้แก่ผิงอัน หลังจากนั้นจึงคีบผักดองเค็มให้กับตนเอง

เจินจูมองหญิงผอมแห้งที่นั่งเงียบสนิทตรงหน้า เครื่องหน้าสวยเพียบพร้อมหน้าตาคมชัด แม้ว่าจะพูดไม่ได้ แต่ก็ให้ความรู้สึกสงบแก่คนอื่น อายุยังไม่ถึงสามสิบปี รอบดวงตากลับมีริ้วรอยจางๆ

เจินจูยังไม่ได้เรียกนางว่า “ท่านแม่” เลย เธอรู้สึกกระดากที่จะเรียกผู้หญิงอายุใกล้เคียงกับตนเองว่า “ท่านแม่” แต่ดูจากการกระทำเมื่อครู่ก็รู้สึกว่าคนเป็นแม่ส่วนใหญ่บนโลกล้วนเหมือนกันทั้งสิ้น ความต้องการของลูกชายลูกสาวมักมาก่อนตนเองเสมอ

เจินจูมองไปยังผิงอันที่กำลังยิ้มและทานอย่างมีความสุข จึงหยิบไข่ไก่ตุ๋นขึ้นมาแบ่งใส่ชามของเขาเล็กน้อย ผิงอันชะงักงัน นึกส่งมันกลับคืนไปอย่างรวดเร็ว

“ท่านพี่ อันนี้ให้ท่านทาน”

“ทุกคนต้องทาน พี่บำรุงร่างกาย เจ้าก็ต้องสูงขึ้น”

เธอรับเอาชามของหลี่ซื่อมาแบ่งไข่ไก่ตุ๋นใส่ลงไปทันที หลังจากนั้นก็ส่งชามกลับไป มองหลี่ซื่อแล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า

“ท่านแม่ ท่านก็ทานด้วยสิ ดูแลร่างกายให้ดีถึงจะเฝ้าดูข้ากับน้องเติบโตได้”

เมื่อสองปีก่อนหลี่ซื่อไม่ทันระวังทำให้ผ่านการแท้งมาก่อน ร่างกายยังไม่ได้พักดี สุขภาพแย่ลงมาก แถมยังทำงานเพาะปลูกบ่อยๆ ปัจจัยการดำเนินชีวิตครอบครัวไม่ค่อยดี บ่อยครั้งที่ไม่สบายก็ต้องทนเข้มแข็งไว้ จนกระทั่งสุขภาพแย่ลงทุกปี โดนเจินจูกล่าวเช่นนี้ใส่ หลี่ซื่อก็แสบโพรงจมูก ในตาฉ่ำรื้นขึ้นมา นางก้มศีรษะทานข้าวเพื่อปิดบังน้ำตาเอาไว้ และไม่ได้ส่งไข่ตุ๋นคืนกลับไปแต่อย่างใด

ผิงอันเห็นว่าหลี่ซื่อรับไข่ตุ๋นมาทาน จึงทานไข่ในชามตนเองเข้าไปอย่างเงียบๆ คนในครอบครัวเดียวกันต่างพากันใช้เวลาทานข้าวมื้อเย็นโดยหมดไปกับความคิดที่แตกต่างกัน

----------------------

หากคุณท่านชอบนิยายเรื่องนี้ สามารถกดติดตาม
เพื่อรับการแจ้งเตือนตอนใหม่ๆได้ที่นี่เลยค่า~ >/\<

> จิ้มตรงนี้เพื่อติดตาม <

.

ขอแนะนำนิยายสนุกๆ คัดสรรค์มาเพื่อคุณท่านโดยเฉพาะ
อยากอ่านเรื่องไหน จิ้มได้เลย <3

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

ดูข่าวต้นฉบับ