Highlight
- จังหวะแบบนี้ หุ้นฟื้นตัว หรือ เด้งหลอก?
- จากข้อมูลสถิติในอดีต การรีบาวน์ในภาวะตลาดหมี มีโอกาสเกิดขึ้นหลังจากนั้น แต่ยังไงเสีย ตลาดจะยังมีแรงเทขายจนทำจุดต่ำสุดใหม่อยู่ดี
- วิธีเลือกหุ้นในยามเกิดวิกฤติ
เปิดตลาดสัปดาห์นี้ ดูเหมือนว่า คลื่นลมจะสงบมากขึ้น เมฆหมอกเริ่มจางหายไปบ้าง หลังจากที่ Down Jones ก็บวก ทองคำก็บวก ตลาดหุ้นเอเชียก็บวก ส่วนหนึ่งจากความหวังกับการรายงานยอดผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากไวรัส Covid-19 ที่เริ่มชะลอลง ทั้งในสหรัฐและแถบยุโรป ในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา
แต่สิ่งที่เกิดขึ้น 2-3 วันที่ผ่านมา ก็ไม่ได้การันตีว่าไวรัส Covid-19 ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วหรือยัง !!
จังหวะแบบนี้หุ้นฟื้นตัว หรือ เด้งหลอก?
จากข้อมูลในอดีต การปรับฐานทั้ง 12 ครั้ง ของ Bloomberg มีข้อสังเกตที่น่าสนใจ คือ
- หลังการรีบาวน์เมื่อร่วงลงมาต่ำกว่า -20% พบว่า ทุกครั้งตลาดทำจุดต่ำสุดใหม่ทั้งหมด
- จุดต่ำสุดของรอบตลาดหมี เฉลี่ยแล้วจะปรับฐานจากจุดสูงสุดอยู่ที่ -37%
- ครั้งที่มีการปรับฐานรุนแรงมากกว่า -40% มีทั้งหมด 4 ครั้งจากทั้งหมด 12 ครั้ง คือ ปี 1929, ปี 1974, ปี 2001 และปี 2008
จากข้อมูลในอดีต ค่อนข้างชัดเจนว่า หากดัชนี S&P 500 ปรับฐานมากกว่า -20% แล้ว การรีบาวน์ในภาวะตลาดหมี มีโอกาสเกิดขึ้นหลังจากนั้น แต่ยังไงเสียตลาดจะยังมีแรงเทขายจนทำจุดต่ำสุดใหม่อยู่ดี
จุดต่ำสุดของตลาดหมี ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ -37% จากจุดสูงสุด จากทั้งหมด 12 รอบนับตั้งแต่ปี 1929 ที่ผ่านมา
แน่นอน ที่หยิบมาเล่าข้างต้น นั้นคือ ข้อมูลจากอดีต แต่หลังจาก Covid-19 ผ่านไป อาจจะทำให้เกิด New Normal ใหม่ ซึ่งอาจจะไม่ใช่สภาวะที่เราคุ้นเคยหรือเรียกได้ว่าค่าสถิติในอดีตอาจจะไม่สะท้อนความเป็นจริงเท่าไหร่นัก
เพราะปัญหารอบนี้ไม่เหมือนกับรอบอื่น ๆ ที่มีหุ้นหลาย ๆ ตัวเดี๋ยวก็กลับมาได้ รอบนี้ไม่แน่ว่าหุ้นบางตัวอาจจะไม่สามารถกลับไปทำ High เดิมที่เคยทำไว้ก็เป็นไปได้เช่นกัน สิ่งที่เราต้องประเมินก็คือ “กำไร” ของหุ้นรายตัวในอนาคต ว่าจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่ดูเพียงกำไรในอดีตที่หุ้นตัวนั้นทำเท่านั้น
วิธีเลือกหุ้นในยามเกิดวิกฤติ
แบ่งหุ้นทั้งตลาดออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ จากคำแนะนำของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
- หุ้นที่เป็น “Survivor” หรือ “ผู้อยู่รอด” ที่มีความแข็งแกร่ง เป็นผู้นำและปรับตัวเอง ให้เข้ากับสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนในช่วงวิกฤตินี้ได้ หลังจากวิกฤติผ่านไป กิจการจะแข็งแรงเหมือนเดิมหรือแข็งแรงขึ้น
- หุ้นกลุ่มที่สอง ก็คือ หุ้นที่ยังเอาตัวรอดได้หลังวิกฤติ แต่จะไม่กลับมาดีเหมือนเดิมหรือแข็งแกร่งเหมือนเดิม เหตุผลก็คือ มันอาจจะเป็นกิจการที่แข็งแกร่ง แต่เนื่องจากภาระเช่นหนี้ที่สูงเกินไป ซึ่งทำให้มันอ่อนแอเกินกว่าที่จะสามารถปรับตัวในยามที่ยากลำบาก และเกิดการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของลูกค้าหรือผู้คน เช่น ร้านค้าปลีกและห้างสรรพสินค้าทั้งหลายที่อาจจะต้องเหนื่อยหนัก ถ้าคนที่หันไปใช้บริการ E-Commerce กันมากมายที่อาจจะไม่กลับมาซื้อของที่ห้างเหมือนเดิม เมื่อวิกฤติผ่านไป เป็นต้น
- หุ้นที่ “ไม่รอด” จากวิกฤติ มันอาจจะไม่ล้มละลายก็ได้ แต่ความสามารถในการดำเนินธุรกิจภายหลังวิกฤติจะถดถอยลงไปมาก ธุรกิจถูก Disrupt ท่ามกลางภาวะวิกฤติ
สิ่งที่ต้องมองต่อ คือ “ราคาหุ้นที่จะสะท้อนคุณภาพของกิจการ” โดยราคาหุ้นนั้น นอกจากจะดูโดยเปรียบเทียบกับราคาที่เป็นก่อนวิกฤติแล้ว ควรจะดูด้วยว่ามันถูกหรือแพง เมื่อเทียบกับคุณสมบัติของหุ้น ที่จะเป็นหลังจากวิกฤติด้วย … เพราะสิ่งที่เราจะเห็นหลังจาก Covid-19 ผ่านไป อาจจะทำให้เกิด New Normal ใหม่ ของการลงทุนก็ได้
Cr: Bloomberg, กรุงเทพธุรกิจ , Mr.messenger, investing.com
Duke อย่าเอา อดีต มาทาย อนาคต
08 เม.ย. 2563 เวลา 03.35 น.
โดดสิวะ ดากแตกกันเป็นแถวแน่
07 เม.ย. 2563 เวลา 15.25 น.
ดูทั้งหมด