“เชื่อไหมคุณใหญ่ ผมเคยมีความคิดว่าอยากทิ้งทุกอย่าง แล้วย้ายชีวิตมาอยู่ที่อังกฤษด้วยนะ ผมว่าที่นี่น่าอยู่มาก ๆ เลย”
ผมพูดโดยที่ไม่ได้แม้แต่หันกลับไปมองหน้าผู้ฟังที่กำลังขับรถพาผมกับครอบครัว มุ่งหน้าออกจากลอนดอนไปเที่ยวที่เมืองชนบทใกล้ ๆ ในเช้าวันหนึ่งของเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สายตามองไกลออกไปสู่ทุ่งหญ้าเขียวขจี กับภูเขาลูกใหญ่ที่เหมือนยืนรอต้อนรับการไปถึงของเราอยู่ใกล้ ๆ แต่กลับไกลเหมือนไปไม่ถึงสักที
“มาเที่ยวกับมาอยู่จริงๆ มันไม่เหมือนกันนะครับพี่อั๋น ผมมาอยู่ที่นี่ 20 กว่าปี อยากกลับทุกปี ยังไงชีวิตนี้ก็อยากกลับไปตายที่บ้านเกิดนะครับ”
ย้อนกลับไปวันนั้น โลกของเราเริ่มรู้จักกับโควิด19 กันแล้ว แต่ความตระหนักถึงภัยนี้ยังไม่มีผลถึงทางยุโรปซักเท่าไหร่ ผมกับครอบครัวจึงเป็นคนไทยที่แปลกแยกจากคนอื่นทั่วไปด้วยหน้ากากอนามัย และเจลล้างมือที่มีถือทั้งติดหน้าติดมือพัวพัน แม้จะถูกเหล่าฝรั่งมองกันด้วยสายตาคล้ายกับว่าเราเป็นตัวประหลาด แต่โดยภาพรวมเราต่างก็ยังวางตนอยู่ในขอบเขตของความสุภาพต่อกันได้เป็นอย่างดี
ตลอด 1 สัปดาห์ "คุณใหญ่" ขับรถรับส่งดูแลผมและครอบครัวอย่างใกล้ชิดกันทุกวัน แม้จะพูดกันนับคำได้ แต่ทุกครั้งที่พูด ก็มีเรื่องดี ๆ ที่ชวนให้ผู้ฟังอย่างผมคนนี้ได้กลับไปนั่งคิดอะไรยิ้มไปได้ทีละนานสองนาน
ในระหว่างที่พวกเราวิ่งถ่ายรูปกับสถานที่สวยงามตามโปสการ์ด ผู้ชายคนนี้จะยืนรอที่รถ แล้วยืนมองฟ้าสวยเงียบ ๆ คนเดียวทุกครั้ง
ในขณะที่ผมถามถึงแต่การใช้ชีวิตที่อังกฤษของเค้า ผู้ชายคนนี้กลับถามผมถึงแต่การใช้ชีวิตที่เมืองไทยที่เค้าคิดถึง
ในระหว่างที่เราล่องเรือกลางแม่น้ำเทมส์ในวันที่บรรยากาศดีสุดชีวิต ผู้ชายคนนี้กลับบอกว่าเค้าคิดถึงเจ้าพระยามากกว่า
ในระหว่างที่ผมบอกว่าจัตุรัส Trafalgar ช่างตื่นตา ผู้ชายคนนี้กลับหัวเราะร่าแล้วบอกว่าจริง ๆ แล้วอนุสาวรีย์ชัยของเราสวยกว่านะพี่
ในขณะที่ผมรู้สึกเหมือนได้หนีออกจากกรงขังวังวนของการทำงานหนัก ๆ มาพักที่นี่ผู้ชายคนนี้กลับบอกว่าเค้าจะขอทำงานเก็บเงินที่นี่อีกแค่ไม่เกิน 2 ปี แล้วจะหนีกลับไปใช้ชีวิตอิสระเสรีที่ประเทศไทย
มันเป็นความลงตัวที่พอดี ๆ ที่ผมชอบใจ เพราะเขาทำให้ผมไม่รู้สึกว่าเมื่อหมดเวลาท่องเที่ยวครั้งนี้แล้วจะต้องกลับประเทศไทยไปมีชีวิตที่หดหู่เกินไป เหมือนกับที่มันเกิดขึ้นในหลายๆครั้งที่การท่องเที่ยวแสนสนุกจบลง คล้ายการถูกปลุกจากฝันให้ตื่นขึ้นมาเจอกับความจริงอันโหดร้ายอีกครั้ง แต่สิ่งที่คุณใหญ่กับผมได้คุยกัน ทำให้ผมยิ้มได้ง่าย ๆ แม้วันสุดท้ายที่ต้องเดินทางกลับประเทศไทยมาถึง
3 เม.ย.ที่ผ่านมา ผมได้ข่าวจากโค้ชซิโก้ว่าคุณใหญ่ได้จากโลกนี้ไปแล้วด้วยโรคโควิด19 ที่ประเทศไทย
คุณใหญ่ตัดสินใจเดินทางกลับไทยเมื่อวันที่ 22 มี.ค.ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดที่รุนแรงขึ้น จนลูกค้าเริ่มหดหายเพราะผู้คนงดเดินทาง หลังจากที่เคลียร์งานต่าง ๆ ที่อังกฤษอย่างเร่งด่วนจนเสร็จสิ้น ก็เหินฟ้ามาถึงเมืองไทยด้วยอาการเหนื่อยล้า และเริ่มมีไข้อ่อน ๆ จนกระทั่งวันที่ 25 มี.ค.ก็ตัดสินใจไปตรวจที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง และพบว่าติดเชื้อ และโดยไม่มีใครแม้แต่คนเดียว รวมถึงตัวเค้าด้วยที่จะคิดว่านั่นคือการเดินทางสู่วาระสุดท้ายของชีวิตที่จะไม่มีวันพรุ่งนี้ให้ได้เริ่มต้นใหม่อีกต่อไป
แม้ผมกับคุณใหญ่จะไม่ได้สนิทอะไรกันมากมาย แต่โลกก็จัดสรรให้อยู่ดี ๆ เราก็ได้ใช้เวลาร่วมกันอยู่หลาย ๆ วันในหลาย ๆ ปีที่ผ่าน ๆ มา หากจะมองว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญที่ฟ้าให้เราได้แค่มาเจอกัน มันก็คงจบแค่นั้น แต่สำหรับอั๋นการจากไปของคนไกลคนนี้ในครั้งนี้ มันกระแทกใจผมอย่างบอกไม่ถูก
ที่ผ่านมาเราส่วนใหญ่ต่างใช้เวลาไปเพื่อแลกกับอะไรเยอะแยะมากมาย เราเอาเวลาไปแลกกับงาน เอาเวลาไปแลกกับเงิน เอาเวลาไปแลกกับอาชีพการงาน ความมั่นคง หรือมั่งคั่ง
แต่ไม่เคยมีใครเลยสักคนที่จะสามารถเอาสิ่งเหล่านั้น ไปแลกเวลาคืนกลับมาได้แม้วินาทีเดียว
โกวเล้งเคยเขียนประโยคคำถามไว้ในนวนิยายชื่อดังของเค้าว่า
“คนเราจะมีสิบปีได้สักกี่ครั้ง”
ผมชอบประโยคนี้เหลือเกิน เพราะมันเป็นคำถามที่คนจะตอบได้ ไม่เคยมีโอกาสได้อยู่ตอบเองสักที เอาจริงๆไม่ต้องถามกับถึงสิบปีด้วยซ้ำไป เอาใกล้ๆแค่ว่า คนเราจะมีพรุ่งนี้ได้สักกี่วัน มันก็ไม่มีใครรู้แล้วละ
จากข้อมูลล่าสุดของTDRI นั้น คนไทยมีอายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 75.3 ปี นั่นแปลว่า ตามสถิติแล้ว ถ้าโชคดีเราคงจะมี 10 ปีกันได้แค่คนละประมาณ 7 ทีเท่านั้น และสำหรับตัวผมเองก็ผ่าน 10 ปีมา 4 ที เกินครึ่งทางแล้วสินะชีวิตนี้
แม้คุณใหญ่จะจากไปไวกว่าค่าสถิติมากมายเหลือเกิน เพราะ 10 ปีของผู้ชายคนนี้ยังเดินมาไม่ถึง 4 รอบเลยด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่พอจะทำให้ผมยังยิ้มได้ก็คือ คุณใหญ่ได้กลับมาใช้ลมหายใจสุดท้ายบนแผ่นดินนี้ดังที่เค้าเคยบอกผมไว้
ไม่มีใครรู้ว่าเราจะผ่านช่วงเวลานี้ไปได้เมื่อไหร่ ไม่มีใครตอบได้ว่าจะมียารักษาหรือวัคซีนไหม ไม่มีใครแน่ใจว่าโลกหลังจากนี้จะเปลี่ยนไปเช่นไร เราจะยังได้ไปดูคอนเสิร์ตได้ออกไปฉลองวันเกิดที่ร้านอาหารกับครอบครัว กับเพื่อนๆและคนรู้ใจ ได้ชวนกันไปเค้าดาวน์เบียดกันดูพลุก้าวข้ามสู่ปีใหม่กับคนเรือนหมื่นเรือนแสน หรือจะกล้ากลับไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์แล้วยืนต่อแถว 2 ชั่วโมงกับคนร้อยพ่อร้อยแม่ หรือแค่ยืนติดกันไหล่ชนไหล่ในขบวนรถไฟฟ้า BTS โดยไม่หวั่นหัวใจ ทั้งหมดนี้อาจจะกลายเป็นแค่ประวัติศาสตร์อันแสนน่าทึ่งหน้าหนึ่งให้เราได้พูดถึงกัน หรือมันอาจจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของชีวิตที่จากนี้จะไม่มีวันกลับไปเหมือนเดิมอีกตลอดไป
คำถามเหล่านี้ยังคงลอยฟุ้งอยู่ในอากาศต่อไป ปะปนอยู่กับคำตอบที่อาจไม่มีใครมองเห็น ไม่ต่างจากคำถามที่ว่า “คนเราจะมีพรุ่งนี้ได้สักกี่วัน” นั่นแหละ
เห็นข่าวดราม่าของบางคนที่ออกมาพูดถึง ทฤษฎีของชาร์ลส์ ดาร์วิน เรื่องวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ที่อยู่รอดกับการกลไกคัดเลือกของธรรมชาติ จริง ๆ แล้วรายละเอียดเนื้อหาทฤษฎีนั้นมีมากมาย นอกจากเพียงแค่บทสรุปว่า ใครปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดีที่สุดคนนั้นรอด (Survival of the Fittest) หรือใครที่แข็งแกร่งที่สุดคนนั้นจึงจะผ่านพ้นและไม่ตายเพียงเท่านั้น (Only the Strongest will Survive) เพราะผมไม่คิดว่าหลายคนที่ต้องจากไปจากวิกฤติครั้งนี้ทุกคนคือคนอ่อนแอ ในทางกลับกันมันก็ใช่ว่าทุกคนที่ผ่านมันได้จะเป็นคนที่แข็งแรงทั้งหมดเสียเมื่อไหร่
แต่สำหรับเพื่อนผมคนนี้ที่จากไป ไม่ว่าจะบังเอิญเป็นที่ร่างกายเค้าอ่อนแอ หรือแค่จั่วโดน แต่ที่แน่ ๆ เค้าจะเป็นความทรงจำที่แข็งแรงในใจของผมตลอดไป
ส่วนเราในฐานะผู้ที่ยังรอดชีวิต ในระหว่างที่ยังมีโอกาส มาตั้งใจทำให้ทุกๆวันของเราเป็นความทรงจำที่ดีของกันและกันด้วยกันนะครับ
จนกว่าจะไม่มีวันพรุ่งนี้..
--
ติดตามบทความจาก อั๋น ภูนาท ได้ทุกวันจันทร์ บน LINE TODAY
Nhoom🎏 คนไทยอีกแยะที่คิดแบบนี้ อยากไปอยุ่ต่างประเทศถาวรเพราะความเจริญ โควิดได้กระชากหน้ากากความจริงอันโหดร้ายที่ประเทศเจริญแล้ว ปล่อยคุณมาตายมารักษาตัวเองที่บ้านตามมีตามเกิด สูงสุดสุ่สามัญ
20 เม.ย. 2563 เวลา 15.03 น.
Yong สำหรับคนที่ไม่มีสัญญาความจำ ในอดีต มักจะไม่มีอะไรให้ระลึก ไม่ยึดติดกับอดีต เพราะอดีตที่ผ่านไปแล้วก็ล่วงเลยไปแล้ว อดีตจึงว่างเปล่า เหลือแต่ปัจจุบันเท่านั้น ที่มีอยู่จริง ทำสติสัมปชัญญะ รู้อยู่ในปัจจุบัน ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ย่อมจะดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหามานะทิฏฐิ นี่แหละ ความเพียรในการละกิเลส
20 เม.ย. 2563 เวลา 12.41 น.
ผมคิดว่าถ้าหากว่าคนเรานั้นมีความพอดีให้กับชีวิตของตนเองแล้ว ก็คงไม่จำเป็นที่จะต้องเดินทางไกลไปจากบ้านเกิดเมืองนอนของเราเองเลย.
20 เม.ย. 2563 เวลา 12.35 น.
Wallop Danchaiyakul จริงครับ เราจะมีสิบปีกันได้กี่ครั้ง มีพรุ่งนี้ได้กี่ที คิดแล้วมันโหวงเหวงในใจนะ
20 เม.ย. 2563 เวลา 09.34 น.
Off มองย้อนไป โชคดีที่ได้ท่องเที่ยวไปมาหลายประเทศโดยเฉพาะยุโรป ในช่วง6-7ปีที่ผ่านมา แต่พอเกิดโควิด ทำให้รู้ว่าต่างแดนช่างน่ากลัวเหลือเกิน แล้วถ้าหลังจากนี้ จะไม่ได้ไปที่เหล่านั้นอีก ก้อไม่เสียดายแระ พอแระ
20 เม.ย. 2563 เวลา 15.35 น.
ดูทั้งหมด