หากพูดถึง “ตำนานรักต้องห้าม” เชื่อได้ว่าหลายคนคงต้องนึกถึงมหากาพย์รักของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 แห่งราชวงศ์อังกฤษ ซึ่งยอมสละราชบัลลังก์และหน้าที่ปกครองเหล่าไพร่ฟ้า เพราะต้องการครองรักกับหม้ายสาวสามัญชนชาวอเมริกันที่ทรงรักและเชิดชูสุดหัวใจนามว่า วอลลิส วาร์ฟีลด์ ซิมพ์สัน
เอเลนอร์ เบอร์มัน (Eleanor Berman) เล่าถึงเรื่องราวความรักระหว่างพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 กับหม้ายสาวสามัญชน “วอลลิส วาร์ฟีลด์ ซิมพ์สัน” ไว้ในหนังสือ “นางในกษัตริย์” ว่า ในวันที่ 11 ธันวาคม 1936 พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 ทรงประกาศสละราชบัลลังก์ด้วยถ้อยแถลงสุดลือลั่นว่า
“ข้าพเจ้าพบว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะแบกรับภาระความรับผิดชอบใหญ่หลวงและการงานแห่งกษัตริย์ซึ่งข้าพเจ้าปรารถนาอยากจะทำโดยปราศจากความช่วยเหลือและประคับประคองจากสตรีที่ข้าพเจ้ารัก”
เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เคยเป็นที่นิยมของประชาชนในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งพระองค์ทรงรับราชการทหาร และปฏิบัติหน้าที่ในฝรั่งเศส แต่เมื่อเจริญพระชันษาขึ้นเรื่อยๆ พระองค์เริ่มขัดแย้งกับพระราชบิดา ขณะที่ไลฟ์สไตล์ของพระองค์ทรงชื่นชอบไนท์คลับการสังสรรค์เต้นรำ และเริ่มมีเรื่องครหาตามมา อาทิ ไม่ทรงตรงต่อเวลาตามหมายกำหนดการ ไม่ทรงฉลองพระองค์สมกาละเทศะ
วาลลิส เป็นชาวอเมริกันที่เคยหย่าขาดจากสามีมาแล้วถึง 2 ครั้ง เมื่อเธอพบกับเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดในปี 1931 เธอกําลังมีชีวิตแต่งงานที่ดีกับนายหน้าค้าเรือรูปงามชื่อเออร์เนสต์ ซิมพ์สัน ซึ่งเป็นสามีคนที่ 2 ของเธอ
กระทั่ง 5 ปีต่อมา พระบิดาของเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดที่ 8 คือพระเจ้าจอร์จที่ 5 สิ้นพระชนม์ลง เจ้าชายเตรียมขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป ไม่นานหลังจากนั้นวาลลิสก็ยื่นฟ้องหย่าครั้งที่ 2 เพื่อมาครองรักกับพระองค์
แม้ว่าศาสนจักรจะห้ามคนที่หย่าร้างแต่งงานซ้ำตราบเท่าที่อดีตคู่แต่งงานยังมีชีวิตอยู่ แต่วาสลิส มีคู่แต่งงานถึง 2 คนที่ยังมีชีวิตอยู่ ในฐานะกษัตริย์ เจ้าชายถือเป็นผู้ปกครองสูงสุดของศาสนาจักรแห่งอิงแลนด์ และจำเป็นต้องยึดถือตามข้อห้ามนี้
อีกทั้งนายกรัฐมนตรีอังกฤษในสมัยนั้นเห็นว่า พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 ทรงไม่ควรเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับวอลลิส และเห็นว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสมทั้งทางสังคมและการเมือง หากพระองค์ยืนกรานจะอภิเษกสมรสกับวอลลิส ย่อมทำให้คณะรัฐมนตรีอังกฤษซึ่งนำโดยแสตนลีย์ บาลด์วิน ที่ไม่เห็นชอบต้องลาออก นำไปสู่การเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งสถานการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อสถานะเป็นกลางทางการเมืองของสถาบัน
พระองค์ทรงถูกบีบให้เลือกระหว่างความรักกับราชบัลลังก์ ทว่าพระองค์ไม่สนใจข้อห้าม และยังคงยืนยันว่าจะสมรสกับวาลลิส หญิงคนรักของพระองค์ แม้จะต้องแลกกับราชบัลลังก์ก็ตาม
ในช่วงปี 1936 เป็นช่วงที่สถานการณ์ในยุโรปคุกรุ่น และกลุ่มฟาสซิสต์ก็เริ่มแพร่กระจายในยุโรป สาธารณชนเริ่มถกเถียงเกี่ยวกับคำถามว่าด้วยความเหมาะสมในพระราชบัลลังก์ของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 ถึงขั้นที่หน่วย MI5 ของอังกฤษถึงกับต้องสอดแนมพระองค์หลังจากพระบิดาของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 สิ้นพระชนม์
รอรีย์ คอร์แม็ก นักประวัติศาสตร์ผู้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับหน่วยข่าวกรองให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ History Extra ระบุว่า นายกรัฐมนตรีแสตนลีย์ บาลด์วิน เป็นผู้ร้องขอให้หน่วย MI5 สอดแนมความเคลื่อนไหวของเอ็ดเวิร์ด และวอลลิส ตั้งแต่ดักฟังการสนทนาทางโทรศัพท์ มีเจ้าหน้าที่ติดตามความเคลื่อนไหวของวอลลิส สัมภาษณ์บุคคลที่สนทนากับคู่รักเพื่อหาข้อมูลความสัมพันธ์ของทั้งคู่
ขณะที่พอล เอลสตัน ผู้กำกับสารคดี “Spying on the Royals” หรือ “การสอดแนมราชวงศ์” เปิดเผยว่า แม้แต่บอดี้การ์ดของทั้งคู่ยังรายงานเรื่องการสนทนา สถานะทางอารมณ์และความรู้สึกในแต่ละช่วงของทั้งคู่กลับไปที่สกอตแลนด์ยาร์ด ทั้งที่โดยมาตรฐานแล้ว บอดี้การ์ดของราชวงศ์ต้องเก็บข้อมูลความเคลื่อนไหวของบุคคลในความคุ้มครองเป็นความลับ
เมื่อสถานการณ์วิกฤต พระองค์ถือเป็นพระประมุของค์เดียวของสหราชอาณาจักรที่ทรงสละราชบัลลังก์อย่างสมัครใจ และเป็นพระประมุขที่ทรงครองราชสมบัติสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษด้วยระยะเวลา 326 วัน และมิได้ทรงกระทำพิธีบรมราชาภิเษกเลย
เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดกับวาลลิสไปแต่งงานกันที่ฝรั่งเศสในวันที่ 3 มิถุนายน 1937 หลังเธอหย่าร้างครั้งที่ 2 สําเร็จในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1936 โดยที่ของขวัญส่วนหนึ่งซึ่งเจ้าชายทรงมอบให้วาลลิสเจ้าสาวของพระองค์คือ มงกุฏเพชรอันเป็นตัวแทนของมงกุฎแท้จริง
การกระทำของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 ถูกอาร์ชบิชอป คอสโม กอร์ดอน แลง อาร์ชบิชอปที่มีชื่อเสียงอย่างมากในสหราชอาณาจักรพยายามขัดขวางและกล่าวหาโจมตีอย่างรุนแรง สื่ออังกฤษรายงานว่า เอกสารที่ถูกพบในพระราชวังแลมเบิร์ธ โดยดร. โรเบิร์ต บีเคน พระจากเอสเซ็กซ์ ระหว่างค้นหาข้อมูลเพื่อเขียนหนังสือเมื่อปี 2012 ซึ่งเป็นจดหมายที่เชื่อว่าเขียนด้วยลายมือของอารช์บิชอป กอร์ดอน แลง มีเนื้อหาใจความแสดงความไม่พอใจ และกล่าวหาเชื้อพระวงศ์ว่าป่วยทางจิต พร้อมกับพยายามกดกันให้สละราชสมบัติ
ทั้งนี้ พระเจ้าจอร์จที่ 6 พระอนุชาของพระองค์ได้พระราชทานยศให้ทั้งคู่เป็นดยุค และดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ (ในภายหลัง)
ทว่าราชวงศ์มักเหน็บแนมวาลลิส ไปจนวาระสุดท้าย หนำซ้ำยังไม่เคยยอมรับเธอสู่ราชตระกูล และไม่เคยอนุญาตให้ใครเรียกเธอว่าเจ้าหญิง ด้วยเหตุนี้ เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดถึงกับต้องออกมายืนยันว่าจะไม่เหยียบแผ่นดินอังกฤษอีกหากภรรยาไม่ได้รับเกียรติและยศศักดิ์จากราชวงศ์ และทำให้พระองค์มีข้อพิพาทกับรัฐบาล ราชวงศ์ ไปจนถึงสาธารณชน
หลังจากดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ครองรักกันสมความปรารถนาอย่างยาวนานร่วม 36 ปี ความตายก็เข้ามาพรากความรักของคนทั้งคู่ไป เมื่อดยุกแห่งวินด์เซอร์สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 1972 ขณะที่ดัชเชสก็กลับมาอยู่ในสภาพย่ำแย่และมักพึ่งน้ำเมาเพื่อกล่อมอารมณ์ให้สงบต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น เธอน้ำหนักลดเหลือเพียง 85 ปอนด์ในปี 1977 และเสียชีวิตลงในที่สุดเมื่อปี 1986
อ้างอิง :
สมเกียรติ วันทะนะ. การสร้างระบอบประชาธิปไตยของอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี. สมาคมรัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. กรุงเทพฯ : มติชน, 2560
Eleanor Herman. นางในกษัตริย์ – Sex with King. โตมร ศุขปรีชา แปล. กรุงเทพฯ : มติชน, 2553.
Joseph, Claudia. “The madness of King Edward VIII: Shocking letters hidden for 76 years reveal Archbishop accused Monarch of insanity, alcoholism and persecution mania – and forced him into abdication crisis”. Daily Mail. Online. 28 April 2012.
“Spying on the king: when MI5 targeted Edward VIII and Wallis Simpson.” History Extra. Online. 6 April 2017.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2562
Suwan P. 😮😮😮 สุดยอด.
20 ก.พ. 2562 เวลา 16.33 น.
นับถือในความรักของพระองค์
01 พ.ค. 2564 เวลา 13.32 น.
กุ๊กไก่H มนุษย์ขี้เหม็นฟันผุผมหงอกได้เหมือนๆ กัน ศักดินา ฐานันดรศักดิ์คือมายาคติอุปโลก สุดท้ายอยู่ที่ดีชั่วในการกระทำ ..จะศาสนา จะราชวงศ์ ก็หนีไม่พ้นสัจธรรมเดียวกันคือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ..แบ่งแยก กีดกั้น สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน ..ต่างกันแค่ตอนอยู่ทำประโยชน์ดีๆ อะไรไว้บ้าง ไม่ว่าจะต่อผู้อื่น หรือต่อตัวเอง ..สังคมจะตามยัดเยียดสถานะหรือเจ้าตัวจะเรียกร้องสถานะก็เป็นเรื่องสมมุติทั้งนั้น
13 ก.ย 2563 เวลา 08.02 น.
Sky2365 ผู้หญิง สำคัญกว่าหน้าที่รับผิดชอบ.
12 ก.ย 2563 เวลา 15.05 น.
ดูทั้งหมด