วันนี้ (22 ม.ค.63) นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเสียบบัตรแทนกันเพื่อลงมติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ของ ส.ส.พรรคภูมิใจไทย จนอาจทำให้การบังคับใช้พ.ร.บ.งบประมาณ ล่าช้าออกไป ว่า ขอให้แยกออกเป็น 2 เรื่อง คือ
1.ต้องไปดูกันว่าการแสดงตนหรือการใช้สิทธิ์ของ ส.ส.ในการลงมติ ได้ทำถูกต้องหรือไม่ หรือมีการเสียบบัตรแทนกันหรือไม่
2.ผลจากการนี้จะกระทบต่อร่าง พ.ร.บ.งบประมาณดังกล่าวอย่างไร แม้จะเกี่ยวกันแต่ต้องแยกกันเป็นคนละประเด็น เพราะความผิดต่างกัน โทษต่างกัน ผลกระทบต่างกัน ในกรณีของการกระทำนั้นจะเป็นความผิดหรือไม่นั้น อยู่ที่ทางสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ตรวจสอบ ทราบในเบื้องต้นว่าประธานสภาฯ มอบหมายให้เลขาธิการสภาไปดำเนินการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวและได้ทราบผลมาในระดับหนึ่งแล้ว
ทั้งนี้ ข้อเท็จจริงได้มีปรากฏออกมาในข่าวว่า มีการเสียบบัตรคาทิ้งไว้ โดยที่เจ้าของบัตรไม่ได้มอบหมายหรือวานให้ใครกดแทน ตรงนี้จริงหรือไม่ยังไม่ทราบ ขณะเดียวกัน มีปัญหาว่าเมื่อมีการเสียบบัตรทิ้งไว้เจ้าหน้าที่ของสภาได้เดินตรวจตราแล้วเก็บกลับออกมาตามวิธีปกติหรือไม่ หากเจ้าหน้าที่ระบุว่าเก็บแล้ว เหตุใดจึงยังมีบัตรเสียบคาไว้อยู่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอาจจะมีบุคคลอื่นนำบัตรไปเสียบลงคะแนนให้ในทีหลัง แต่ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่ได้เก็บ บัตรดังกล่าวยังเสียบคาไว้ที่เครื่อง ซึ่งถ้าไม่มีใครนำไปกดรหัสสัญญาณจากตรงนั้นจะปรากฏออกมาได้อย่างไร เรื่องดังกล่าวต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริง ส่วนจะเกิดผลกระทบอย่างไรนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ต้องขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงตรงนั้นเป็นสำคัญ
อย่างไรก็ตาม เคยมีคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ใน 2 เรื่อง เรื่องแรกเกิดขึ้นเมื่อปี 2556 คราวที่มีการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ครั้งนั้นมีการกล่าวหาหลายเรื่อง รวมถึงการลงมติและมีการเสียบบัตรแทนกัน และมีการวิจารณ์เนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยในครั้งนั้นว่าขัดรัฐธรรมนูญทุกเรื่อง
ส่วนเรื่องของการเสียบบัตรแทนกันในครั้งนั้น นายนริศร ทองธิราช อดีต ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย นำบัตรลงคะแนนของ ส.ส.คนอื่นประมาณ 4-5 คน ไปเดินเสียบลงคะแนน จึงถูก น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ ถ่ายคลิปวิดีโอไว้ แล้วถูกนำไปเปิดแฉในชั้นศาล ทำให้ศาลเชื่อได้ว่ามีการเสียบบัตรแทนกันจริง ศาลจึงใช้หลัก 3 ข้อมาวินิจฉัย คือ
1.ส.ส.หนึ่งคนมีสิทธิ์ลงคะแนนหนึ่งเสียง แต่เมื่อนำบัตรของคนอื่นไปเสียบแทนแสดงว่าบุคคลนั้นใช้สิทธิ์เกินหนึ่งเสียง ถือเป็นความผิด
2.ส.ส.ได้มีการปฏิญาณตนแล้วว่าจะต้องทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต แต่เมื่อปฏิบัติงานออกมาแบบนี้ ถือว่าไม่ซื่อสัตย์สุจริต
และ 3.ส.ส.จะต้องมีความเป็นอิสระ ไม่อยู่ในอาณัติของใคร การนำบัตรไปให้ใครเสียบลงคะแนนแทน แล้วบุคคลนั้นนำไปเสียบแทนถือเป็นการครอบงำบุคคลอื่น ศาลจึงใช้หลักการทั้ง 3 ข้อนี้วินิจฉัยเฉพาะเรื่องการลงมติว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และลำพังเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้กฎหมายฉบับนั้นตกไป แต่ที่ร่างกฎหมายนั้นตกไป เพราะมีปัจจัยอื่น 4-5 สาเหตุมาประกอบกัน
ส่วนกรณีปี 2557 ผู้กระทำเป็นคนเดียวกันคือ นายนริศร เป็นการกระทำในเวลาที่ต่อเนื่องกัน โดยเป็นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. …. ถูกร้องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญด้วย 2 ประเด็นหลัก คือ 1.กล่าวหาว่ามีการเก็บบัตรแทนกัน 2.การที่ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังไปกู้เงิน เป็นการทำที่ไม่ผ่านวิธีการงบประมาณ ซึ่งรัฐธรรมนูญบัญญัติว่า เรื่องอย่างนี้ต้องใช้กฎหมายงบประมาณเท่านั้น ส่วนในเรื่องของการเสียบบัตรแทนกันนั้น ศาลรัฐธรรมนูญได้ใช้หลักการ3 ข้อข้างต้นมาพิจารณา แล้ววินิจฉัยว่าการลงมติในวันนั้นมิชอบ
"กรณีที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้ มีทั้งส่วนที่เหมือนและต่างกับในอดีต ซึ่งผมไม่ขอตอบและไม่ชี้นำว่าผลจะเป็นประการใด หรือจะเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ต้องรอให้สภาสรุปผลสอบข้อเท็จจริงออกมาให้ได้เสียก่อนว่าเป็นการเสียบบัตรแทนกัน หรือเสียบคาไว้ หรือเป็นความบกพร่องของระบบเครื่องลงคะแนน และเมื่อได้ความกระจ่างแจ้งออกมาอย่างไรแล้วก็จะเห็นว่ามีความเหมือนหรือแตกต่างจากในอดีต" นายวิษณุ กล่าว
นายวิษณุ กล่าวอีกว่า กรณีเมื่อปี 2556 และ 2557 เป็นการเสียบบัตรแทนกันหลายใบ ขณะนั้นศาลเชื่อว่าอาจจะมีมากกว่า 4-5 ใบ แต่กรณีล่าสุดนี้มีความชัดเจนว่ามีเพียงหนึ่งใบ เว้นแต่จากนี้ไปจะปรากฏความชัดเจนออกมาว่ามีใบที่ 2 หรือ 3 ตามมาสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ตนอยากให้สื่อมวลชนได้เห็นความแตกต่าง
“หากใครยังรู้สึกมีความคลางแคลงใจสามารถยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ โดยผู้มีสิทธิ์ยื่นร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญได้ จะมีทั้งนายกรัฐมนตรี, ส.ส.และ ส.ว. ก่อนที่จะนำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ขึ้นทูลเกล้าฯ เพราะฉะนั้นร่าง พ.ร.บ.งบประมาณจะโมฆะหรือไม่ อย่าเพิ่งไปใช้คำนั้น การลงมติแบบนั้นจะทำให้ร่างกฎหมายดังกล่าวไม่ถูกต้องไปด้วยหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
นายวิษณุ กล่าวว่า ข้อที่ควรจะเข้าใจต่อไปคือ ตัวอย่างที่เกิดขึ้นกับกฎหมาย 2 ฉบับในอดีต หากการลงมติที่ไม่ถูกต้องนั้นเกิดขึ้นในวาระ 3 จะทำให้ร่างกฎหมายดังกล่าวไม่ถูกต้องทั้งฉบับ ก็ต้องจบไปทั้งฉบับ แต่กรณีร่าง พ.ร.บ.งบประมาณนี้มีที่ต่างจากกฎหมายฉบับอื่น เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 143 กำหนดว่าสภาจะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 105 วัน แม้จะครบกำหนดเวลาถ้ายังไม่เสร็จต้องถือว่าเสร็จ หรือเห็นชอบตามที่รัฐบาลเสนอ จุดนี้เป็นสิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญต้องไปตีความให้รัฐบาลว่าตอนนี้เกินเวลา 105 วันมาแล้ว ถ้ามตินั้นไม่ถูก จะทำให้ร่างกฎหมายนั้นต้องเสียไปทั้งฉบับหรือเสียไปเฉพาะการลงมติวาระ 2 และวาระ 3 ที่มิชอบนั้น หากถือว่ามตินั้นมิชอบ ก็เท่ากับว่าสภาไม่ได้พิจารณากฎหมายให้แล้วเสร็จ ภายใน 105 วัน
"ผมไม่ตอบ ไม่ชี้นำ ไม่วินิจฉัย และไม่รู้ สิ่งเหล่านี้ต้องเป็นประเด็นที่จะต้องนำไปสู่ศาลรัฐธรรมนูญ ผลการวินิจฉัยในอดีตไม่ได้เป็นบรรทัดฐาน 100% ต่อคดีในปัจจุบันทุกกรณี เว้นแต่ ศาลจะมองว่าเป็นรูปแบบเดียวกัน เพราะบางเรื่องกฎหมายก็ต่างกัน"
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ ระบุผลการตรวจสอบว่าเป็นการเสียบบัตรแทนกัน ไม่ใช่การเสียบบัตรคาเครื่องไว้ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ทราบ ต้องรอให้สภามีผลการตรวจสอบออกมา แล้วนำผลดังกล่าวเข้าไปสู่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะแม้แต่ผู้ร้องคือ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ก็ให้อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัย และหากมีการส่งเรื่องดังกล่าวไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แล้วศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องไว้จะทำให้การออกประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณล่าช้าออกไป แต่ผลกระทบจากตรงนั้นคงไม่วิบัติอย่างที่ใครเขาคิดกัน
"ถ้าสมมุติว่าศาลรัฐธรรมนูญให้ตัดออกไปได้ 1-2 เสียง ก็จะโอเค แต่ถ้าศาลระบุว่าใช้ไม่ได้ อาจจะบอกผลว่าเป็นอีกแบบหนึ่ง ซึ่งผมไม่ขอตอบว่าผลจะเป็นอย่างไร มิเช่นนั้นจะมาหาว่าผมชี้นำ แต่ขอย้ำว่าไม่ต้องเกรงใจว่าจะเกิดผลกระทบอะไรที่มีลักษณะวิบัติ แต่ยอมรับว่าช้าแน่นอน เพราะติดขั้นตอนศาลรัฐธรรมนูญ"
เมื่อถามว่าระหว่างรอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ส่วนราชการจะสามารถนำงบประมาณประจำ มาใช้ได้ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่มีปัญหา รัฐธรรมนูญเขียนไว้แล้วว่าให้ใช้งบประมาณของปีเก่าไปพลางก่อน ขณะนี้เราก็ใช้มา 4 เดือนแล้ว
เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรีแสดงความเป็นห่วงถึงงบลงทุน นายวิษณุ กล่าวว่า เรื่องงบลงทุนนั้นเราพยายามไม่แตะ แต่ตอนนี้งบประจำสามารถนำมาใช้ได้ ทางสำนักงบประมาณได้เตรียมการไว้แล้ว ในเรื่องการใช้งบประจำ เช่น เงินเดือน ยืนยันว่าจะไม่ส่งผลกระทบหรือทำความเดือดร้อนอะไร ส่วนโครงการก่อสร้างต่างๆ ขอให้รอไว้ก่อน
ถ้าเป็นอีกฝ่าย มึงคงไม่พูดแบบนี้
22 ม.ค. 2563 เวลา 13.08 น.
Dew_KND แค่กดบัตรยังโกง คนไม่มาแต่โหวตได้ มึงจะโกงไปถึงไหนครับ สันดานโจรของพวกมึงมันคงฝังลงไปถึงโคโมโซมแล้วหล่ะ
22 ม.ค. 2563 เวลา 12.31 น.
ใครจะไปนับถือมึง
22 ม.ค. 2563 เวลา 13.12 น.
ackanit อาจารย์เคยเป็นเสาหลักทางด้านกม.
ของประเทศไทย
มีคนนับถือท่านมากมาย ควรจะยึดหลักการ
ที่ถูกที่ควรจะได้เรียกศรัทธาคืน
คนที่มาเป็นสส.
ทั้งที่กดบัตรแทน และทิ้งบัตรให้เขากด
มันก็ต้องมีสำนึกด้วยกัน และควรมีบทลงโทษ
ตราเป็นกม. อย่าว่าสส.ต้องมีอิสระ
ยุคนี้แค่กระเป๋าตกพื้น ถ้าไม่ใช่ของเราเอากลับบ้านยังผิดกม.เลย แล้วนี้เป็นเรื่องบ้านเมือง เสียหายมหาศาล อาจารย์ควรช่วยทำสภาให้ทรงเกียรติเถอะ
22 ม.ค. 2563 เวลา 11.34 น.
Yok จะว่าไอ้ชาติหมาก็ไม่น่าจะใช่ เพราะยกย่องมันไป
หรือว่าศรธนนชัยกลับชาติมาเกิด
22 ม.ค. 2563 เวลา 15.16 น.
ดูทั้งหมด