กินหมาก เป็นวัฒนธรรมที่แนบแน่นอยู่อยู่กับวิถีชีวิตคนไทยมาแต่โบราณ แม้ปัจจุบัน ชาวบ้านสูงอายุในชนบทก็ยังกินหมาก แต่การ “กินหมาก” ไม่ใช่ ประเพณี เฉพาะของคนไทย ในเอเชียมีหลายประเทศด้วยกันที่กินหมาก เช่น อินเดีย, จีน, พม่า, เขมร, เนปาล ฯลฯ
หลักฐานการ กินหมาก ของไทยนั้นปรากฏอยู่ทั่วไปในวรรณคดี จิตรกรรม ในประวัติศาสตร์ แม้แต่กฎหมาย กินกันไม่เว้นทั้งชายหญิง ไม่ว่าเจ้าหรือไพร่ โดยเริ่มกินหมากกันตั้งแต่เริ่มวัยหนุ่มสาวไปจนลมหายใจสุดท้าย แต่ไม่รู้แน่ว่ากินมาแต่เมื่อใด ในเอกสารจีนโบราณกล่าวถึงกลุ่มชน “ฟันดำ” เมื่อราว 2,000 ปีมาแล้วอยู่ทางใต้ ที่อาจหมายถึงพวกไท-ลาวก็ได้ และที่แน่ ๆ ปลูกพลูมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยหรือก่อนหน้านั้นแล้ว
ในอินเดียมีหลักฐานว่า กินหมากมากว่า 2,000 ปีแล้ว ซึ่งอาจกินกันมานานแล้วก่อนหน้าที่จะหาหลักฐานพบก็ได้ ส่วนในเขมรเข้าใจกันว่ามีพราหมณ์ผู้หนึ่งนำเข้าไปเผยแพร่ให้กษัตริย์เขมรตั้งแต่ พ.ศ. 600 ประเทศต่าง ๆ ทั้ง มอญ, พม่า, ลาว, ชวา, อัสสัม ล้วนแต่มีเรื่องราวการกินหมากต่าง ๆ นานา บางแห่งก็ฟังดูออกตลกพิลึกด้วยซ้ำ
การกินหมากนำมาซึ่ง ประเพณี ต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้ เช่น การกินหมากร่วมเชี่ยนกัน ก็เป็นการผูกมิตรไมตรีต่อกันประหนึ่งเป็นคน “กันเอง” แล้ว
ที่เนปาล มีเคล็ดสำหรับผู้หญิงที่จะแต่งงานว่า ต้องทำพิธีแต่งกับต้นหมากที่มีลูกเสียก่อนแล้วค่อยแต่งกับคนทีหลัง ถ้าคนที่เป็นสามีจริงตาย สามีต้นหมากยังอยู่ก็ไม่ถือว่าเป็นม่าย หรือถ้าแต่งแล้วต้องการหย่ากัน สามีก็เพียงเอาหมาก 2 ลูกวางไว้ใต้หมอนของภรรยา ภรรยาตื่นขึ้นมาก็รู้แล้ว ง่ายดี
ที่ยะไข่ กษัตริย์มินตีสร้างปราสาทหลังหนึ่ง ออกกฎว่า ใครเอานิ้วเปื้อนน้ำหมากป้ายตามเสาเลอะเทอะจะถูกตัดนิ้วขวาทิ้ง แล้ววันหนึ่งก็ได้ตัดนิ้วขวาของพระองค์เองทิ้งจริง ๆ ด้วยความเผอเรอและซื่อตรงต่อกฎ
พงศาวดารรามัญ (มอญ) ก็มีเรื่องฆ่ากันตายมาแล้วเพราะหมาก เมื่อพระมเหสีของเจ้าฝรั่งมังฆ้องจัดหมากให้พระสวามี แล้วถูกรรไกรหนีบมือแต่ไปอุทานให้ฉางกายช่วย ฉางกาย (ชื่อนายทหารคนหนึ่ง) เลยตายฟรีเพราะความหึงหวงของพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง
ที่อัสสัม ใช้ใบพลูจุ่มน้ำนมแตะตามตัวบ่าวสาวในพิธีสมรส
และที่เมืองไทย จามเทวีแห่งแคว้นหริภุญไชย (ลำพูน) เคยเสกหมากเสกพลูให้ขุนวิลังคะ (ลัวะ) ยอมจำนนมาแล้ว ท้าวศรีสุดาจันทร์ก็เคยห่อหมากส่งให้พันบุตรศรีเทพ ก่อนจะเกิดเรื่องอื้อฉาวเล่าลือกันมาจนทุกวันนี้ ส่วนขุนแผนกับนางพิมก็เคยเคี้ยวชานหมากของกันและกันมาก่อนแล้ว ยังมีแม่พลอยในสี่แผ่นดินก็แต่งหมากใส่ซองกระจิริดส่งให้พี่เนื่อง
ในทางไสยศาสตร์ ถึงกับแย่งชานหมากของหลวงพ่อและอาจารย์บางคนกันมาแล้วก็มี เพราะถือว่าเป็นของดีไว้คุ้มกันตัวอย่างหนึ่ง
สำหรับบ่าวสาว เวลาจะแต่งงานฝ่ายชายก็ต้องแต่งขันหมากใส่หมากพลูที่จัดสวยงามครบชุดควบคู่ไปกับขันหมั้นที่ใส่สินสอดทองหมั้น
คนจีนทางตอนใต้ เช่น คนแต้จิ๋วก็กินหมาก แต่หมากพลูของเขาใช้ปูนขาวแลใส่น้ำตาลกรวด เขาว่าทำให้ฟันไม่ดำ
แต่ทำไมหมากพลูจึงเป็นสัญลักษณ์ของไมตรี ความรัก และการแต่งงาน ไม่มีใครตอบได้
อ่านเพิ่มเติม :
- “คนกินหมากต้องเป็นอารยชนได้..กินมานานไม่เคยเป็นทาสใคร” โฆษณาหมากสมัยจอมพล ป.
- อาจารย์ฝรั่งเล่าไทยยุคร.5 อาหารที่คนยุโรปไม่มีวันแตะ-ชาวสยามอดข้าวได้ ไม่ยอมอดหมาก
- บุหรี่มาจากไหน ทำไมเรียกว่าบุหรี่ แล้วคนไทยเริ่มสูบบุหรี่กันแต่เมื่อไหร่
ข้อมูลจาก :
แน่งน้อย ปัญจพรรค์. กินหมากและเชี่ยนหมาก, ศิลปวัฒนธรรม กันยายน 2534
เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 23 เมษายน 2562
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : “กินหมาก” ไม่ใช่ประเพณีเฉพาะของไทย ใคร ๆ ในภูมิภาคเขาก็กิน
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.silpa-mag.com
เอ๋ ดีครับ
อ่านสนุกดี
ขอบคุณมาก
23 เม.ย. 2562 เวลา 11.08 น.
praphan_pr มีความรู้ดีครับ ทำให้รู้รากเหง้าวัฒนธรรม ว่าเรามาจากไหน
ภาคภูมิใจในตัวตนของเรา
09 เม.ย. 2563 เวลา 07.07 น.
Anupap. ขณะที่จีนกำลังเขียนประวัติศาสตร์
หน้าใหม่ประเทศจีนเพียงหนึ่งเดียว
หลังลากเส้นรวบรวมดินแดนแผนที่
ในฐานะ๕ชาติผู้ชนะสงครามโลก ll
ประวัติศาสตร์บรรพชนผู้ถือตนเป็น
คนไต,ไืทฯ,คนไทย,กะไดในดินแดน
แคว้นสิบจุไทย,แคว้นสิบสองปันนา
มีรากเหง้าร่วมวัฒนธรรมภาษาพูด
คำสุภาษิต"ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว"
วิถีเกษตรกรรมทำนาชาวลุ่มน้ำ,นับ
ถือผีบรรพชนตลอดจนรับพระพุทธ
ศาสนาเป็นสรณที่พึ่งยกระดับจิต
วิญญาณ นอกจากสถาปัตยกรรม
"เฮือนไทย"เอกลักษณ์ยกใต้ถุนสูง
วัดอารามเจดีย์สีทองสุกปลั่งเปล่ง
สัจธรรมแทนหนังสือประวัติศาสตร์
พุ่มสกี้
23 เม.ย. 2562 เวลา 13.33 น.
ดูทั้งหมด