สมาร์ทโฟน ออนไลน์ 24 ชม. ทั้งเล่นโซเชียลมีเดีย ดูหนัง ฟังเพลง คอมพิวเตอร์ประจำบ้าน ไหนจะสมาร์ททีวี ตู้เย็น แอร์ ทำให้บ้านอยู่อาศัยวันนี้ ใช้ไฟเป็นสัดส่วนอันดับ 3 ของประเทศราว 20% และกำลังไล่ตามติดการใช้ไฟในภาคอุตสาหกรรมที่การใช้ไฟฟ้าอยู่ในสัดส่วน 36-37% ขณะที่ภาคขนส่งใช้ไฟเป็นอันดับ 1 สัดส่วน 40%
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยจากการขยายตัวของเมือง ทำให้จำนวนบ้านอยู่อาศัยเพิ่มขึ้นปีละ 5 แสนหลัง จากวันนี้ที่มีอยู่แล้ว 25 ล้านหลังทั่วประเทศ ทั้งหมดนี้ทำให้การใช้ไฟฟ้าแต่ละปี มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องปีละ 3% หรือเฉลี่ยแล้ว ปัจจุบันบ้านอยู่อาศัยขนาดทั่วไป 100-120 ตรม.จะใช้ไฟประมาณ 500 หน่วยค่าไฟ 1,000-3,000 บาทต่อเดือน
ข้อมูลจาก กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กระทรวงพลังงาน ระบุว่า สัดส่วนจำนวนบ้านเรือนที่มีการใช้ไฟเกินทั่วประเทศเฉลี่ยราว 40 % เลยทีเดียว คิดเป็นมูลค่าความสิ้นเปลืองราว 10,000 ล้านบาท ซึ่งมีสาเหตุหลักจากการใช้พลังงานในระบบปรับอากาศที่เกินความจำเป็น
วันนี้พพ. เลยกำลังคิดออกกฎควบคุมการใช้พลังงานในบ้านอยู่อาศัยคล้ายควบคุมอาคารที่่มีกฎหมายบังคับ โดยให้ต้องเป็นบ้านอนุรักษ์พลังงาน ผูกโยงกับกฎระเบียบการขอแบบก่อสร้างบ้าน แนวทางที่พพ.จะทำก็คือ หากไม่เป็นบ้านอนุรักษ์พลังงาน กทม.หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จะไม่อนุมัติอนุญาตให้ก่อสร้างบ้าน เป็นต้น แต่กว่าจะไปถึงขึ้นบังคับได้ คาดว่ากฎข้อบังคับจะใช้ในอีก 5 ปีข้างหน้า
นายสาร์รัฐ ประกอบชาติ ผู้อำนวยการ สำนักส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พพ. บอกว่า ในเบื้องต้นจะมุ่งเน้นการส่งเสริม และการสร้างความร่วมมือก่อน โดยจะทำเป็นขั้นเป็นตอน 4 ลำดับ ดังนี้
- ให้ข้อมูลกับประชาชน เพื่อ การรับรู้ถึงการมีส่วนร่วมประหยัดพลังงาน
- สร้างความมั่นใจว่าบ้านอนุรักษ์พลังงานทำได้จริงในทางปฏิบัติ
- ขยายผล ทำให้มีบ้านประหยัดพลังงานมากขึ้น โดยจะร่วมมือกับสมาคมต่างๆ ผู้ประกอบการบ้านจัดสรร และผู้ประกอบการรับสร้างบ้าน รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กทม. และอปท. เป็นต้น
- ร่วมมือกับสถาบันการเงิน เพื่อจัดเงินกู้อัตราพิเศษให้บ้านประหยัดพลังงาน
“เป้าหมายของเรา คือ การประหยัดพลังงานให้กับประเทศ โดยตั้งเป้าลดปริมาณการใช้พลังงานภาคที่อยู่อาศัยรวมลงประมาณ 13,633 กิกะวัตต์ชั่วโมงภายในปี 2579 ซึ่งจะถูกบรรจุในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (พีดีพี) ฉบับใหม่ด้วย” นายสาร์รัฐ กล่าว
สำหรับข้อกังวลของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์นั้น นายสาร์รัฐ บอกว่า เป็นเรื่องต้นทุนการก่อสร้างบ้านประหยัดพลังงานแต่ละหลังที่สูงขึ้น และความไม่มั่นใจว่าจะมีตลาดรองรับมากพอ แต่จริงแล้วไม่น่าจะเป็นอุปสรรค เพราะทุกคนทราบดีว่าการประหยัดพลังงานเป็นเทรนด์ของโลก ปัจจุบันคนทั่วโลก รวมถึงคนไทยมีความตระหนักถึงการมีส่วนร่วมประหยัดพลังงานมากขึ้น ทำให้ความต้องการบ้านประหยัดพลังงานสูงตามลำดับ นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการมุ่งเน้นบ้านประหยัดพลังงาน ยังจะเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้กับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย
สำหรับกลุ่มบ้านประหยัดพลังงานที่จะออกเป็นมาตรการบังคับในอนาคตนั้น จะมุ่งเน้นบ้านขนาดใหญ่ที่มีการใช้ไฟฟ้าสูงในแต่ละเดือน เช่น ค่าไฟฟ้าราว 10,000 บาท ส่วนบ้านอยู่อาศัยขนาดปานกลางถึงเล็กก็จะทำในรูปแบบการส่งเสริม โดยปัจจุบันพพ.มีแบบบ้านประหยัดพลังงานให้ดาวนโหลดฟรี พร้อมพิมพ์เขียวสามารถนำไปสร้างได้เลยถึง 12 แบบ ใช้เงินค่าก่อสร้างตั้งแต่ 7 แสนบาทจนถึงประมาณ 2 ล้านบาท
ส่่วนในระยะยาว พพ.กำลังวิจัยศึกษา พร้อมรับฟังข้อเสนอแนะจากกลุ่มต่างๆ เพื่อให้มีข้อมูลการใช้ไฟฟ้าในบ้านอยุู่อาศัยมากพอ ที่จะนำไปพัฒนากฎเกณฑ์ในอนาคต โดยล่าสุดได้มอบให้ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ทำ “โครงการศึกษาเพื่อจัดทำเกณฑ์มาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานของบ้านอยู่อาศัย” โดยใช้งบจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน วงเงิน 10 ล้านบาท โดยวันนี้ ( 22 ม.ค.) ได้มีการนำเสนอข้อสรุปผลการศึกษา
สำหรับร่างหลักเกณฑ์ที่มีการศึกษานั้น สาระสำคัญได้วางกรอบ ที่อยู่อาศัยที่จะได้ชื่อว่า “บ้านประหยัดพลังงาน” ควรมีเกณฑ์ ดังนี้
- บ้านเดี่ยว ควรมีค่าประสิทธิภาพการใช้พลังงานไฟฟ้าไม่เกิน 25 กิโลวัตต์-ชั่วโมง/ตร.ม.-ปี
- ห้องแถว ทาวน์เฮาส์ บ้านแฝด ควรมีค่าประสิทธิภาพการใช้พลังงานไฟฟ้าไม่เกิน 44 กิโลวัตต์-ชั่วโมง/ตร.ม.-ปี
นอกจากนี้เสนอให้มีการร่างเกณฑ์มาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานของบ้านอยู่อาศัย สำหรับปี 2562 – 2564 ให้ใช้กับบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และบ้านแถว (ทาวส์เฮ้าส์) ที่ยื่นขออนุญาตก่อสร้างในปี 2562 เป็นต้นไป
ส่วนบ้านขนาดเล็กไม่อยู่ในขอบข่ายของเกณฑ์มาตรฐานนี้ คือ บ้านที่ไม่มีแอร์ หรือมีการใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 13 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อตรม.ต่อปี สร้างก่อนปี 2562 มีลักษณะการใช้งานเชิงพาณิชย์ อาคารชุด คอนโดมิเนียม หรือ อพาร์ทเม้นท์
ขณะเดียวกันทีมศึกษายังได้ยังพัฒนา“โปรแกรมคำนวนการใช้พลังงานในบ้าน” โดยคำนวณค่าพลังงานไฟฟ้าตลอดทั้งปี ในระบบปรับอากาศและระบบไฟฟ้าแสงสว่างของบ้าน เทียบกับพื้นที่ใช้สอยที่มีการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้า แล้วเปรียบเทียบกับตัวเลขมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงาน
ทั้งนี้เพื่อให้เป็นตัวช่วยประชาชน พิจารณาสภาพการใช้ไฟฟ้าในบ้าน บนดิจิทัลแพลตฟอร์มง่ายๆ ด้วยบิลค่าไฟย้อนหลัง และแปลนบ้านอีโค่ออนไลน์ เพื่อเป็นแนวทางการออกแบบบ้านอนุรักษ์พลังงานที่เหมาะกับสภาพแวดล้อมประเทศไทย
ประชาชนสามารถดาวน์โหลดใช้งานได้ง่ายๆ ผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มที่ www.dede.go.th หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมพัฒนาพลังงานทดแทน และอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กระทรวงพลังงาน โทรศัพท์ 02-223-0021 หรือเข้าไปที่ www.dede.go.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจ www.facebook.com/dedefthailand
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ รุ่งโรจน์ วงศ์มหาศิริ อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง หัวหน้าโครงการศึกษาเพื่อจัดทำเกณฑ์มาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานของบ้านอยู่อาศัย ยืนยันว่า หนึ่งในเทรนด์บ้านที่กำลังมาแรง แน่นอนเป็น บ้านที่มีระบบการจัดการพลังงานที่เหมาะสม หรือ บ้าน“อีโค่” ที่รองรับกับความต้องการของตลาดเทคโนโลยีที่อยู่อาศัย และความจำเป็นในการจัดสรรพลังงาน เพื่อไปบริหารเทคโนโลยีใหม่ๆ อาทิ ระบบพลังงานทดแทน AI ในบ้านอยู่อาศัย รถพลังงานไฟฟ้า ฯลฯ
อย่างไรก็ตามการออกแบบบ้านในประเทศส่วนใหญ่ ยังตกอยู่ภายใต้กลไกทางการตลาด ที่เน้นความสวยงาม ดังนั้นก่อนการตัดสินใจเลือกซื้อบ้านใหม่ จึงควรพิจารณาข้อสังเกตง่ายๆ ที่จะทำให้ทราบว่าบ้านดังกล่าว มีระบบการจัดการพลังงาน และการออกแบบที่เหมาะสม 5 หัวข้อ ได้แก่
1.ชายคาขั้นต่ำ 2 เมตร หรือการบังแดดให้ผนัง – ช่องเปิดอาคารด้วยวิธีอื่นๆ
เนื่องจากสาเหตุหลักของการใช้ไฟเกินของระบบปรับอากาศ มาจากโครงสร้างบ้านที่ไม่มีร่มเงาจากต้นไม้ หรือ ชายคาบังแดดให้กับตัวบ้าน โดยระยะชายคาที่เหมาะสม ควรไม่ต่ำกว่า 2 เมตร เนื่องจากจะช่วยบังแดดให้ได้ทั้งตัวบ้าน ช่วยให้ระบบปรับอากาศทำงานได้อย่างเหมาะสม
2.หลังคาทรงสูง พร้อมฉนวนกันความร้อน
หลังคาที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่มักเป็นทรงเตี้ย ซึ่งนอกจากจะระบายความร้อนได้ยากกว่าแล้ว ยังเป็นปัจจัยให้เกิดน้ำซึมหลังคา โดยควรพิจารณาหลังคาบ้านที่ทำมุมเป็นทรงสูง ไม่ต่ำกว่า 30-35 องศา พร้อมมีการใช้วัสดุฉนวนกันความร้อนบริเวณเหนือฝ้าเพดานในช่องว่างใต้หลังคา เทียบเท่าฉนวนใยแก้ว ความหนา 3 นิ้ว เป็นอย่างน้อย
*3.กระจกบ้าน *
ควรเลือกใช้กระจกที่เป็นสีชา หรือสีเขียว ที่ช่วยกรองแสงได้ในระดับหนึ่ง และกรอบหน้าต่างจากวัสดุไวนิล ที่นำความร้อนได้น้อยกว่ากรอบหน้าต่างจากเหล็ก
4.ตำแหน่งหน้าต่าง จะช่วยระบายความร้อน
จากการศึกษาพบว่า ห้องที่มีหน้าต่างเพียงบานเดียว จะมีการระบายความร้อนที่น้อยกว่าห้องที่มีหน้าต่างหลายบาน โดยควรพิจารณาตำแหน่งหน้าต่างให้อยู่ตรงข้ามกัน หรืออย่างน้อยควรทำมุม 90 องศา เพื่อให้มีการไหลเวียนเข้าออกของอากาศ
5.เครื่องใช้ไฟฟ้ามาตรฐานพลังงาน
ควรเลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดที่ได้รับฉลากเบอร์ 5 และการออกฉลากรับรองมาตรฐานบ้านประหยัดพลังงาน และมีจำนวนที่เหมาะสม ไม่มากหรือน้อยเกินความจำเป็น
โจ๊ก..จ้า ที่คุณท่านๆ พูดและคิด ผมเห็นด้วยทุกประการ แต่ติดอยู่อย่างเดียว กูไม่ตังค์ เอาชีวิตรอดไปวันๆ ก็บุญแล้ว ทุกวันนี้เอาแค่มีกิน มีใช้ไปวันๆ ก็ถือว่าดีแล้ว จะคิดจะพูด ลองมองดูความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนด้วย นั่งคิด นั่งมโน บนโต๊ะที่ทำงานมันก็ดีแต่ลองมาเดินเล่นตามบ้านนอก ตามที่เค้าอยู่อาศัย ใครเค้ามีอาชีพอะไร รายจ่าย รายรับ ภาษี ค่าครองชีพ ค่ากิน ค่ารถ ค่าโน้นค่านี้ กับรายได้ที่ได้รับต่อเดือน/ต่อคน ในยุคปัจจุบันนี้
23 ม.ค. 2562 เวลา 08.00 น.
Suwat Ch ยุคนี้
เอาคนแบบไหนมานั่งทำงานของรัฐ ในกระทรวง ทบวง กรม สำนักงาน หน่วยราชการ
ความคิด ไม่เข้าท่า เข้าทาง
บ้านเรือนอาศัย ต้องค่อยปรับเปลี่ยนแนวทาง
ไม่ใช่จะบังคับใช้เลย
23 ม.ค. 2562 เวลา 07.39 น.
สรุปทุกอย่างมีครบ พร้อมแล้วทำได้เลย แต่
ต้องรอถึง5ปีเพื่อ? เงินงบประมาณหมดเหรอ?
จริงๆรัฐบาล หน่วยงานของรัฐฯควรนำรอง
เปลี่ยนตนเองก่อนอันดับแรก เริ่มได้ตั้งแต่
ปีนี้เลยด้วย แค่ท่านลด ค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเปน
ออกไป เช่น การไป(ท่องเที่ยว)ดูงานต่างประเทศ
การจัดงานเลี้ยงฯ การจัดประชุมต่างจังหวัด
รวมถึงการซื้ออาวุธ(มือสอง) บราๆ พวกนี้ลดก่อน
เลย นำเงินมาสร้าง มาทำให้หน่วยงานรัฐฯได้ใช้
พลังงานราคาถูกและเปนมิตรกับสิ่งแวดล้อมซะที
#เริ่มเลย
23 ม.ค. 2562 เวลา 09.01 น.
ดูทั้งหมด