ช่วงวัยสามสิบเศษๆของผมในตอนนี้ คือการใช้ชีวิตในออฟฟิศในฐานะของ “พี่” ที่ต้องคอยดูแลทุกข์สุขของน้องๆในออฟฟิศ ไม่ว่าจะเรื่องงาน หรือเรื่องส่วนตัว ซึ่งหน้าที่การดูแลทุกข์สุขอย่างนึง คือการสวมบทบาทเป็นพี่อ้อยพี่ฉอดให้คำปรึกษาในการใช้ชีวิต ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ หน้าที่การงาน การบริหารเงิน ไปจนถึงเรื่องจิปาถะกุบกิบ
ปัญหายากบ้างง่ายบ้าง ซึ่งในฐานะที่ปรึกษานั้นก็นับว่าเป็นเรื่องที่สนุกดีเหมือนกัน เพราะได้บริหารความคิด และหลายครั้งที่การให้คำปรึกษาก็กลายเป็นกระจกที่สะท้อนความคิดเราอยู่ไปด้วย
จนกระทั่งวันหนึ่ง น้องในทีมของผมก็มาปรึกษาผมด้วยคำถามที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน และผมคิดว่านี่คือการปรึกษาที่ยากที่สุดครั้งนึง เทียบเท่ากับคำถามในซองรอบตอบคำถามของเวทีนางงาม น้องคนนั้นถามผมว่า
“ทำไมผมเริ่มรู้สึกผิดกับการเป็นคนธรรมดา คือผมรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความพิเศษด้านไหนเลย แล้วก็ไม่ได้มีความฝันอยากทำอะไรที่ยิ่งใหญ่เลย”
ผมพบว่าวันนี้เราอยู่ในโลกแห่งความสำเร็จ เพราะโลกได้สร้างเวทีให้เราได้แสดงความสำเร็จออกมาได้ง่ายขึ้นไม่ว่าในรูปแบบของสเตตัสในเฟซบุ๊ก หรือการอวดพัฒนาการล่าสุดของลูกในกรุ๊ปไลน์ของคุณแม่มือใหม่ หรือแม้แต่จำนวนไลค์ของรูปอินสตาแกรม ล้วนทำให้ความสำเร็จไม่ใช่เรื่องพิเศษอีกต่อไป
แต่การดำเนินชีวิตของเรากลายเป็นเรื่องที่สามารถหยิบยกขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จในชีวิตได้ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดร้านกาแฟเป็นของตัวเอง ลูกสาวคนโตสอบได้ที่หนึ่ง หรือการได้กระเป๋าชาแนลคอลเลกชั่นล่าสุดมาครอบครอง
แค่การมีความสำเร็จก็เป็นการตีกรอบด้านหนึ่งของชีวิตแล้ว ตอนนี้เรากำลังอยู่ในยุคที่เริ่มเห็นกรอบด้านที่สองคือ กรอบของเวลาที่เริ่มเร่งเร้าว่านอกจากจะประสบความสำเร็จแล้ว เราต้องเร็วด้วย ช้าไม่ได้นะ เดี๋ยวไม่ทันเพื่อน เดี๋ยวไม่ทันลูกป้าข้างบ้าน เดี๋ยวไม่ทันอีจอยแผนกบัญชี
เราเริ่มเห็นการชื่นชมคนที่เก็บเงินได้หลักสิบล้านก่อนอายุสามสิบในกระทู้พันทิป คนที่เปิดบล๊อกท่องเที่ยวและไปเที่ยวมาห้าสิบประเทศตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ หรือเพื่อนที่ตัดสินใจลงทุนในสตาร์ทอัพของตัวเองแทนที่จะเป็นพนักงานกินเงินเดือน
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ที่ทำให้ “ความธรรมดา” ถูกเปรียบเทียบและตีความใหม่จนความธรรมดากลายเป็นเรื่องที่ไม่ปกติ อันเป็นที่มาของการนั่งปรับทุกข์ของน้องในวันนี้
ผมไม่รู้ว่าคำตอบแบบไหนที่เป็นคำตอบที่ดีที่สุด แต่ผมเลือกที่จะนั่งคุยและถามกลับไปว่า “เออ พี่ยังไม่แน่ใจนะว่าจะให้คำตอบได้หรือเปล่า แต่…ไหน… ลองเล่าให้ฟังหน่อยว่าตอนนี้ความสุขในชีวิตมีอะไรบ้าง”
ฟังดูเหมือนผมจะไม่ได้ให้คำตอบที่น้องอยากได้ แถมยังกวนกลับด้วยคำถามอีก แต่น้องก็สามารถตอบคำถามผมได้แบบไม่ต้องใช้เวลาคิดนาน
… ความสุขคือการได้กลับบ้านไปกินข้าวที่แม่ทำรอไว้อ่ะพี่ บางวันเจอลูกค้าด่ามาทั้งวัน รถก็โคตรติด บางวันติดอยู่บนถนนตั้งสองชั่วโมงกว่าจะถึงบ้าน แต่พอได้กินข้าวแม่เท่านั้นแหละ โอ้โหพี่ โมเมนต์ออฟเดอะเดย์ ที่เหนื่อยมาทั้งวันคือหายบนโต๊ะกินข้าวนี่แหละ
… ความสุขคือการขายงานผ่านอ่ะพี่ ผมชอบมากเลยตอนที่ลูกค้าซื้องานเรา อาจจะไม่ได้ชมจนตัวลอย แต่บางทีเรารู้สึกได้ว่าเขาเห็นถึงความตั้งใจเรา เห็นถึงเบื้องหลังวิธีการคิดกว่ามันจะกลายมาเป็นพาวเวอร์พอยท์ไม่กี่หน้า แล้วเขาชอบมันด้วย
… ความสุขคือการนั่งคุยกับเพื่อนหลังเลิกงาน โดยไม่คุยกันเรื่องงานอะพี่ คุยกันเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยๆ บางทีก็คุยเรื่องเกม เรื่องซีรี่ส์ เรื่องร้านกาแฟ บางทีเพื่อนที่นั่งคุยด้วย ตอนทำงานอาจจะเถียงกันจะเป็นจะตาย แต่พอวางงานลง แล้วนั่งคุยเรื่องไร้สาระด้วยกันได้แล้วมันก็รู้สึกดีเหมือนกัน
… ความสุขคือการไปทะเล แต่ตัวไม่เปียกอ่ะพี่ เป็นทะเลที่เนทเร็วๆ แอร์เย็นๆ แล้วพอแดดร่มค่อยเดินไปเอาเท้าแตะๆน้ำทะเลพอเป็นพิธี ตอนดึกไปกินอาหารทะเล
ผมจำได้ว่าน้องเล่าความสุขในชีวิตออกมาเป็นเรื่องหรือรูปได้อย่างลื่นไหล จนสุดท้ายผมก็บอกไปว่า “ถ้าคำถามคือ การเป็นคนธรรมดานี่ผิดมั้ย พี่ตอบได้เลยว่าไม่ผิดนะ เพราะการรู้สึกเป็นคนธรรมดามันก็เกิดจากการเปรียบเทียบตัวเราเองกับคนอื่นทั้งนั้น ซึ่งบางทีคนอื่นเขาไม่ได้จะเปรียบเทียบตัวเราเลย
และพี่เชื่อว่ายังมีคนอีกมากมายที่เป็นคนธรรมดาที่มีความสุขได้ เป็นคนที่ร้องเพลงเพราะและสนุกไปกับมันได้โดยไม่ต้องไปออกรายการประกวด หรือเป็นคนที่ทำอาหารอร่อยแต่ไม่ได้อยากเปิดร้านหรือเป็นเชฟมืออาชีพ
ถ้าเราพอใจกับความธรรมดาของเรา มันก็จะทำให้เรามีความสุขในแบบของเรา เหมือนกับที่เราแค่อยากทำงานดีๆให้ลูกค้าชอบ และกลับบ้านไปกินกับข้าวฝีมือแม่นั่นแหละ”
เราเชื่อว่าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะพอใจกับความธรรมดาของเรา ตราบใดที่ความธรรมดานั้นเป็นความสุขของเรา และไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใค
Peeradech Phone ขอบคุณความธรรมดาของเราให้เต็มที่เถิดครับ วันหนึ่งถ้ามีเรื่องมีราวไม่ธรรมดาอย่างมีคนในครอบครัวเจ็บต้องใช้เงินเยอะ โดนให้ออกจากงาน นั่นก็จะทำให้ชีวิตเราไม่ธรรมดาขึ้นมาเหมือนกัน
30 ก.ค. 2562 เวลา 11.37 น.
Maew อยากให้บริษัทมีที่ปรึกษาแบบนี้บ้าง แบะขอบคุณน้องที่เอาปัญหานี้มาปรึกษา ขอบคุณที่นำมาส่งต่อให้ได้อ่าน ทำให้นึกถึงตัวเองที่มีความสุขแบบธรรดามากๆคล้ายๆน้องเลย
31 ก.ค. 2562 เวลา 06.22 น.
บางครั้งในการมีเป้าหมายเพื่อที่จะได้เอาไว้เป็นแรงบันดาลใจให้กับตนเองก็สามารถทึ่จะทำให้ประสบกับความสำเร็จในชีวิตได้เหมือนกัน.
30 ก.ค. 2562 เวลา 13.37 น.
อยากมีพี่น้อง ที่ที่ทำงานอย่างนี้จัง ที่เห็นนะต่อหน้าดีลับหลังด่ากันกั๊กความรู้กันเอาเปรียบกันทั้งพี ทั้งน้องเลย ที่ทำงานคือที่วางอำนาจใส่กัน
30 ก.ค. 2562 เวลา 12.57 น.
ดูทั้งหมด