“ลิงลพบุรี” จากการศึกษาของกำพล จำปาพันธ์ ผู้เขียนบทความ “จาก ‘ลูกหลานหนุมาน’ ถึง ‘ลูกศิษย์เจ้าพ่อพระกาฬ’ : ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของ ‘ลิง'” ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับพฤษภาคม 2563 พบว่า หลักฐานกลุ่มบันทึกทางประวัติศาสตร์ยังไม่มีชิ้นที่บ่งชี้แน่ชัดว่า มีลิงอาศัยอยู่ “ศาลพระกาฬ” ในสมัยอยุธยาหรือไม่
แต่ข้อมูลซึ่งเป็นที่ทราบกันดีคือ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงให้ความสำคัญกับ “ศาลพระกาฬ” โดยให้สร้างศาลขึ้นบนยอดปราสาทที่หักพัง (ด้านหลังของศาลพระกาฬปัจจุบัน) และปรากฏการสร้างอาคารวิหารและซากสถูปเจดีย์อยู่ข้างปราสาท ซึ่งเพิ่งขุดพบเมื่อไม่นานมานี้ ขณะที่บริเวณศาลพระกาฬเป็นสถานที่สำคัญที่ได้รับการเคารพและทำนุบำรุงในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ขณะที่หลักฐานจากบันทึกของชาวฝรั่งเศสที่เดินทางมาอยุธยาและลพบุรีในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นข้อมูลที่ช่วยบ่งชี้ว่ามีลิงตามแหล่งน้ำสำคัญและพบเห็นได้ทั่วไป รวมถึงพื้นที่ลพบุรีซึ่งชาวฝรั่งเศสเดินทางมาเยี่ยมชม
นิโกลาส์ แชรแวส (Nicolas Gervaise) ที่เข้ามาพร้อมกับคณะทูตฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ. 2228 ได้กล่าวถึงลิงที่พบในอยุธยาและลพบุรี (ไม่ได้ระบุสถานที่) เอาไว้โดยย่อดังนี้
“ตามชายน้ำมีลิงทั้งตัวใหญ่ตัวน้อยไต่อยู่ยั้วเยี้ย แลดูราวกับว่ามันจงใจมากระโดดโลดเต้น และห้อยโหนโจนทะยานให้เราชมเล่นฉะนั้น แต่ก็ไม่เหมาะที่จะหยุดยั้งอยู่นานเกินไป เพราะอาจจะพบเข้ากับเสือ”
นอกจากนี้บันทึกของ ฟรังซัวส์ อังรี ตุรแปง (François-Henri Turpin) ยังปรากฏรายละเอียดเกี่ยวกับลิงชนิดต่างๆ ในอยุธยาเมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 กำพล จำปาพันธ์ บรรยายว่า มีการจัดประเภทโดยคนอยุธยาและลพบุรีว่า มีทั้งลิงที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติป่าเขาและชายน้ำ มีทั้งลิงที่ดุร้าย และลิงที่เป็นมิตรกับคน สามารถนำมาเลี้ยงฝึกใช้งานได้
กำพล จำปาพันธ์ มองว่า บันทึกตุรแปงคือหลักฐานที่ยืนยันว่า คนสมัยอยุธยาเลี้ยงลิงเช่นเดียวกับคนสมัยทวารวดี และอาจเป็นได้ว่าการเลี้ยงลิงอาจเป็นรูปแบบวิถีชีวิตหนึ่งที่อยุธยาสืบทอดมาจากทวารวดี ในฐานะสัตว์เลี้ยงที่เฉลียวฉลาด ลิงมีประโยชน์หลายอย่าง ตั้งแต่ช่วยการงานจนถึงเป็นเพื่อนคลายเหงา เนื่องจากเข้าถึงหรือรับรู้ภาวะอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ได้
บันทึกของตุรแปงเล่าอย่างละเอียดดังนี้ (จัดย่อหน้าใหม่ในฉบับออนไลน์ – กองบก.ออนไลน์)
“แม่น้ำเจ้าพระยาทั้งสองฝั่งคลาคล่ำไปด้วยลิงชนิดต่างๆ และขนาดต่างๆ บางตัวมีหาง และบางตัวไม่มีมาตั้งแต่เกิด สัตว์พวกนี้ไปไหนก็ไปกันเป็นฝูงๆ ไม่เคยเห็นต่ำกว่ายี่สิบหรือห้าสิบตัว ชุมนุมกันเพื่อทำงานที่พวกมันคิดกันขึ้น…ในเวลาหน้าเก็บเกี่ยว ชาวบ้านต้องหาคนมาเฝ้า เพื่อทำให้มันกลัวและไม่เข้ามาใกล้ มันกระโดดจากต้นไม้ต้นนี้ไปต้นนั้น และเสียงที่มันร้องนั้นเตือนให้รู้ว่าพวกมันมาถึงแล้ว
โดยปรกติมันอยู่ในป่าทึบ และมีผลไม้พอที่จะกิน แต่ทว่าเมื่อมันเบื่ออาหารที่กินจำเจและอยากกินเลี้ยงกัน มันก็จะพากันบุกเข้าไปในไร่พืชที่มีผลไม้อร่อยกว่า บางทีมันก็พากันไปจับกุ้งหาปลา เราจะเห็นสัตว์พวกนี้อยู่เต็มริมชายทะเล บางตัวก็เอาหินทุบหอย บางตัวก็จับกุ้งกินเหลือแต่เปลือก เวลาฝูงลิงมันเดิน ตัวเมียจะอุ้มลูกไว้ใต้ท้อง โดยลูกเอาแขนกอดตัวแม่และเอาขากอดเอว
ผู้เดินทางในสมัยนี้ยืนยันว่า เรื่องมหัศจรรย์ต่างๆ ที่คนโบราณเล่าถึงความรักอันเหลือเชื่อ ซึ่งสัตว์พวกนี้มีต่อลูกของมันนั้นเป็นความจริง แม่ลิงอุ้มลูกไว้ในตัก และจะไม่ยอมทิ้งลูกเป็นอันขาด แม้จะถูกพรานยิงจนเป็นแผลจะต้องตาย นักธรรมชาติวิทยาสังเกตว่า ลิงเป็นสัตว์จำพวกเดียวที่มีความเจ็บปวดอย่างเดียวกับสตรี ลิงประเภทที่สองเป็นลิงที่ทั้งน่าเกลียดทั้งดุร้าย โดยปรกติตัวสูงสองฟุตครึ่ง ลิงประเภทที่สามเป็นลิงที่อยู่ตัวเดียว หรืออยู่ด้วยกันเพียงสองตัว มันซ่อนหน้าไม่ให้ใครเห็นตลอดเวลา [นางอาย – ผู้อ้าง]…
ยังมีลิงอีกชนิดหนึ่ง เหมือนมนุษย์มากที่สุด เขาเรียกว่า onke [ชะนี – ผู้อ้าง]ลิงพวกนี้เป็นศัตรูคู่อาฆาตกับลิงชนิดอื่นๆ ตัวมันดำหรือสีน้ำตาลทั้งตัว ขนมือและขนเท้าสีขาว มันอยู่แต่ในป่าที่มีต้นไม้สูงๆ โหนจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปอีกต้นหนึ่งได้อย่างว่องไว แขนมันได้สัดส่วนกับตัว แต่ยาวกว่าสัตว์อื่นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาวกว่าของลิงชนิดอื่น เวลาเดิน มันชูแขนข้างหนึ่งขึ้น
ถ้าจะเอาลิงพวกนี้มาเลี้ยงให้เชื่อง ต้องจับมาตั้งแต่ยังกินนมแม่อยู่ เพราะเมื่อติดนิสัยเดิมแล้ว จะลดความดุร้ายตามธรรมชาติของมันไม่ได้ ขนตัวของมันยาวและทึบ นิ้วและเล็บเหมือนกับของมนุษย์ไม่มีผิด จมูกแบนและตาดำสนิท เวลานอน มันนอนเต็มเหยียด และเอาแขนหนุนหัวต่างหมอน แต่เวลาอยู่บนต้นไม้มันนั่งนอน วางหัวบนเข่า มืออยู่บนท้อง ใช้ขนยาวของมันเป็นต่างหลังคา ฝนแม้ตกหนักสักเพียงใด ก็ซึมเข้าไปใต้หนังมันไม่ได้ มันเพียงแต่เขย่าตัว ตัวมันก็แห้ง
การเลี้ยงลิงประเภทนี้เป็นเรื่องน่าเพลิดเพลินเจริญใจ เพราะมันรู้จักความพอประมาณดีกว่าสัตว์ประเภทอื่น… มันรักความสงบและขี้สงสารไปกอดผู้ที่ร้องไห้ และถ้ายิ่งได้ยินเสียงครวญครางของผู้เคราะห์ร้าย ก็ยิ่งมีความสงสารเป็นทวีคูณ และจะไม่ทิ้งไปจนกว่าน้ำตาของผู้เคราะห์ร้ายนั้นจะเหือดแห้งแล้ว”
ลพบุรีหลังสมัยพระนารายณ์
บทความของกำพล จำปาพันธ์ เล่าต่อมาว่า ในยุคหลังการปฏิวัติ ค.ศ. 1688 สมเด็จพระเพทราชาย้ายศูนย์กลางจากลพบุรีกลับไปอยุธยา เมืองลพบุรีแม้ไม่ได้ร้างผู้คน แต่ระดับความสำคัญก็ลดลง ไม่ได้เป็นเมืองสำคัญเหมือนอย่างในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ดังที่กำพล จำปาพันธ์ บรรยายไว้ว่า
การขยายตัวของประชากรลพบุรีตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชจนถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีแนวโน้มไปทางทิศตะวันตกและทางใต้ของเมือง เนื่องจากในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้มีการขุดคลองเชื่อมจากแม่น้ำเจ้าพระยาที่สิงห์บุรีตรงมายังลพบุรี จนเกิดแม่น้ำลพบุรีสายใหม่ขึ้น (แม่น้ำลพบุรีสายเก่าก่อนหน้านั้นคือแม่น้ำบางขามในปัจจุบัน)
การขุดคลองนี้ เพื่อย่นระยะทางเชื่อมต่อระหว่างลพบุรีกับสิงห์บุรี ตอนใต้ของเมืองยังมีการขุดคลองบางพระครูขึ้น เพื่อทำให้การเดินทางติดต่อระหว่างลพบุรีกับอยุธยาเป็นไปโดยสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น เนื่องจากแม่น้ำลพบุรีเดิมบางช่วงคดเคี้ยว ตื้น และแคบ ไม่เหมาะแก่การเดินเรือ เมื่อมีเส้นทางคมนาคมใหม่ก็มีทำเลค้าขายและหาเลี้ยงครอบครัวขึ้นใหม่ด้วย ผู้คนก็ย้ายถิ่นไปตั้งรกรากตามชุมทางคมนาคมใหม่นั้น
รัชกาลอื่นในช่วงอยุธยาตอนปลายได้มีการเสด็จพระราชดำเนินมาประทับและคล้องช้างเป็นครั้งคราว อย่างเช่นในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ แต่ก็ต้องรีบเสด็จฯ กลับทันที เมื่อทรงทราบข่าวว่ามีคนจีนก่อกบฏขึ้นที่อยุธยาคือ เหตุการณ์กบฏจีนนายไก้ (นายก่าย) ยกพวกเข้าปล้นพระราชวังหลวงเมื่อ พ.ศ. 2277
อย่างไรก็ตามเมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมโกศทรงมีนโยบายให้ซ่อมแซมบูรณะวัดวาอารามทั่วราชอาณาจักร ก็ได้ส่งช่างหลวงมาบูรณะวัดสำคัญอย่างวัดไลย์ที่ท่าวุ้งด้วย ซึ่งสะท้อนว่าราชสำนักอยุธยามิได้มองความสำคัญของย่านลพบุรีแต่เฉพาะในตัวเมือง หากแต่ยังให้ความสำคัญกับบริเวณรอบนอกด้วย หลักฐานอย่างคำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม : เอกสารจากหอหลวง ก็กล่าวถึงลพบุรีในฐานะเมืองที่มีพ่อค้าลำเลียงข้าวสารและของป่าหายากเข้ามาขายยังตลาดอยุธยาเป็นประจำทุกปี
ในช่วงสงครามกับพม่าถึงเสียกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. 2038-10 ลพบุรีเป็นเมืองที่มีเจ้านายเชื้อพระวงศ์อพยพลี้ภัยมาอยู่เป็นอันมาก ภายหลังเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงชนะสุกี้พระนายกองที่ค่ายโพธิ์สามต้นได้แล้ว ได้ให้คนมาเชิญเจ้านายเหล่านี้ลงไปยังธนบุรี ในช่วงสมัยธนบุรีนั้นลพบุรีมีการขยายพื้นที่เพาะปลูกฝั่งตะวันตกโดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ชุมชนมอญบ้านบางขันหมากถึงบางขาม บริเวณฝั่งตะวันตกถัดจากแม่น้ำลพบุรีกลายเป็นย่านเกษตรเชิงพาณิชย์ปลูกข้าวและพืชไร่พืชสวนเพื่อส่งออกกันมาก ทำต่อเนื่องกันมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ในขณะที่พื้นที่ฝั่งตะวันออกของเมืองถือเป็นแหล่งผลิตสินค้าของป่า เป็นที่ล่าสัตว์และเก็บหาของป่า
ประกอบกับตั้งแต่หลังการพบพระพุทธบาทในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมได้ประกาศเขตบริเวณโดยรอบเขาพุทธบาทเป็นที่ธรณีสงฆ อีกทั้งจากลพบุรีไปยังเขาพุทธบาทในสมัยนั้นก็ยังไม่มีเส้นทางคมนาคมที่สะดวก พื้นที่ป่าชั้นในเต็มไปด้วยอันตรายจากสิงสาราสัตว์และไข้ป่า บริเวณด้านตะวันออกของเมืองลพบุรีจรดกลุ่มเขาพุทธบาทและครอบคลุมพื้นที่อื่นๆ อำเภอพัฒนานิคม อำเภอชัยบาดาล อำเภอลำสนธิ อำเภอพระพุทธบาท อำเภอหนองโดน อำเภอบ้านหมอ ในช่วงตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลายจนถึงทศวรรษ 2490 พื้นที่โดยมากคือป่าใหญ่ต่อเนื่องกับป่าเขาใหญ่ ถือเป็นส่วนหนึ่งของป่าเขาอุดมสมบูรณ์ที่เรียกว่า “ดงพญาไฟ” สมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระราชดำริว่าคำนี้ไม่เป็นมงคลจึงให้เปลี่ยนมาเรียกว่า “ดงพญาเย็น” แต่ผู้คนยังคงนิยมเรียก “ดงพญาไฟ” อยู่ดังเดิม
บริเวณดังกล่าวมีชุมชนคนอยู่อาศัยบางช่วงเช่นบริเวณเส้นทางถนนพระเจ้าทรงธรรมหรือถนนฝรั่งส่องกล้อง ในอำเภอท่าเรือ อำเภอบ้านหมอ อำเภอพระพุทธบาท แต่นอกนั้นตามแผนที่ทหารฉบับ พ.ศ.2458 บริเวณทิศตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองลพบุรีเต็มไปด้วยป่าไผ่และป่าสะแก มีแหล่งน้ำสำคัญอยู่ที่บริเวณทะเลสาบชุบศรและคลองเริงราง แต่ภายหลังแหล่งน้ำเหล่านี้ถูกถมกลายเป็นบ้านเรือนราษฎรและค่ายทหารไปสิ้น บริเวณป่าช่วงใต้ทะเลสาบชุบศรจนถึงคลองเริงรางทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองนี้แหละ คาดว่าเป็นแหล่งที่อยู่ของลิงและสัตว์ป่าชุกชุมมาช้านาน โดยพลัดไปหากินอยู่ที่ศาลพระกาฬ-พระปรางค์สามยอดเป็นครั้งคราว
คติเกี่ยวกับ “ลิงลพบุรี” ในสมัยรัตนโกสินทร์
เมื่อมาถึงในสมัยรัชกาลที่ 3 กำพล จำปาพันธ์ บรรยายว่า สภาพคล้ายกับที่บาทหลวงฝรั่งเศสพบเห็นในสมัยอยุธยา ดังที่คณะมิชชันนารีอเมริกันเพรสไบทีเรียนได้มีโอกาสพบเห็น รายงานของพวกเขาเล่าว่า “เมื่อเรือของเราแล่นออกสู่ชนบท พวกเราพบเห็นลิงจำนวนมาก ลูกๆ ของพวกมันห้อยโหนอยู่บนต้นไม้กระโดดจากกิ่งหนึ่งไปยังอีกกิ่งหนึ่ง หรือเล่นหยอกล้อกันอยู่ริมตลิ่ง”
เมื่ออ็องรี มูโอต์ (Heri Mouhot) เข้ามาสำรวจก็พบเห็นลิงจำนวนมากอาศัยอยู่ตามแหล่งธรรมชาติและเส้นทางคมนาคมเช่นกัน โดยเฉพาะภาพเหตุการณ์ลิงหยอกล้อจระเข้นั้นเป็นที่ประทับใจแก่มูโอต์มาก
บทความของกำพล จำปาพันธ์ ยังระบุว่า ตามรายงานของคณะมิชชันนารีอเมริกันเพรสไบทีเรียนเขียนรายละเอียดไว้ด้วยว่า ลิงเป็นสัตว์เลี้ยงชนิดหนึ่งของชาวสยามในสมัยต้นรัตนโกสินทร์เช่นเดียวกับสมัยอยุธยาและทวารวดี เนื่องจากความเชื่อทางพุทธศาสนา ซึ่งถือเป็นเครื่องหนุนนำให้เกิดความรู้สึกเมตตาต่อสัตว์
สำหรับ“ลิงลพบุรี” ยังมีความพิเศษเฉพาะตรงที่ความเกี่ยวข้องกับตำนานกำเนิดของเมืองลพบุรีโดยตรง ตำนานนี้นำมาสู่คติความเชื่อที่มีต่อลิงลพบุรีในฐานะ “ลูกหลานหนุมาน” โดยกำพล จำปาพันธ์ บรรยายไว้ว่า เทวรูปที่ประดิษฐาน ณ ศาลพระกาฬ คือพระนารายณ์ ลิงอาศัยที่ศาลจึงเหมือนลูกหลานหนุมานมาล้อมรอบพระนารายณ์ กลายเป็นเหมือนรามายณะในโลกที่เป็นจริง
กรณีนี้ จิตร ภูมิศักดิ์ ผู้เชี่ยวชาญนิรุกติศาสตร์ชี้ให้เห็นความสำคัญของตำนานนี้ต่อท้องถิ่นลพบุรี ดังนี้
“ลพบุรีตั้งอยู่บนเนินสูงใหญ่ สมกับที่จะเรียกว่าเมืองภูเขา (หรือนครผา) ตำนานเมืองก็แต่งโดยอาศัยลักษณะภูมิสถานที่ตั้งเมืองว่าเดิมเป็นภูเขา พระรามแผลงศรให้หนุมานตามมาสร้างเมือง ศรมาตกที่ภูเขาลูกนี้ หนุมานเอาหางกวาดภูเขาราบไปแล้วสร้างเมืองลพบุรีขึ้น ตำนานนี้เห็นจะเกิดขึ้นภายหลังที่เรารับรู้เรื่องรามายณะเข้ามากแล้ว พวกนักแต่งตำนานเห็นชัยภูมิชอบกลดีก็เลยลากเอาเข้าไปไว้ในเรื่องรามเกียรติ์”
เมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงทศวรรษ 2480 ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “ยุคคณะราษฎร” ศาลพระกาฬจัดอยู่ในเขตเมืองใหม่ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางไปยังเมืองใหม่ ศาลพระกาฬหลังเก่าตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสเมื่อ พ.ศ. 2421 เสื่อมโทรมลงไปมาก จอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงได้ให้บูรณะและสร้างศาลใหม่
กำพล จำปาพันธ์ ยังอธิบายว่า ช่วงก่อนหน้าการพัฒนาในสมัยคณะราษฎรก็ถือว่าเป็นเช่นเดียวกัน โดยลิงที่ศาลพระกาฬยังมีไม่มาก แต่ในช่วงก่อนมีสวนสัตว์ดุสิต (เขาดิน) ที่กรุงเทพฯ กับสวนสัตว์สระแก้วที่ลพบุรี ศาลพระกาฬได้รับความสนใจจากประชาชนเพราะเป็นที่ที่สามารถมาดูลิงได้ อีกทั้งยังมีกระแสเล่าลือเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าพ่อพระกาฬ
ในช่วงนี้เองที่กำพล จำปาพันธ์ อธิบายไว้ว่า ลิงลพบุรีได้เกิดคติใหม่ในฐานะ “ลูกศิษย์เจ้าพ่อพระกาฬ” ควบคู่กับ “ลูกหลานหนุมาน” ก่อนที่คติ “ลูกหลานหนุมาน” จะไม่สำคัญเท่า “ลูกศิษย์เจ้าพ่อพระกาฬ” เพราะเป็นคติที่ส่งผลให้ลิงมีแหล่งอาหารการกินที่อุดมสมบูรณ์…
อ่านเพิ่มเติม :
- เห้งเจีย ลิงในนิยายไซอิ๋ว กลายเป็นเทพที่คนจีนกราบไหว้ และแพร่เข้าไทยได้อย่างไร
- นัยของเพลง “ลิงถอกกระดอเสือ” และ “ลิงโลน” ในงานของสุนทรภู่ ลิงพวกนี้ทำอะไร?
- เมื่อ ลวปุระ-ลพบุรี ถูกพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ยกทัพบุกทำลายจนมีสภาพเป็นป่า
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
อ้างอิง :
บทความ “จาก ‘ลูกหลานหนุมาน’ ถึง ‘ลูกศิษย์เจ้าพ่อพระกาฬ’ : ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของ ‘ลิง’ ในชุมชนเมืองลพบุรี” เขียนโดย กำพล จำปาพันธ์ ในศิลปวัฒนธรรม ฉบับพฤษภาคม 2563
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 7 กรกฎาคม 2563
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : อัตลักษณ์ลิงยุค “ลูกหลานหนุมาน” ถึง “ลูกศิษย์เจ้าพ่อพระกาฬ” ที่บางคนอาจยังไม่รู้
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.silpa-mag.com
ฅ เมือง🐒 วังนารายณ์คู่บ้าน
ศาลพระกาฬคู่เมือง
ปรางค์สามยอดลือเลื่อง
เมืองแห่งดินสอพอง
เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เกริกก้อง
แผ่นดินทองสมเด็จพระนารายณ์
08 ก.ค. 2563 เวลา 01.29 น.
อภิชิต ระวังอีอ้วน เรน น่ะ
08 ก.ค. 2563 เวลา 02.47 น.
ลิงเก็บมะพร้าว? (?)
08 ก.ค. 2563 เวลา 00.47 น.
เป็นการเรียบเรียงประวัติศาสตร์ที่ละเอียดที่ดีมาก น่าอ่านไม่เบื่อ
08 ก.ค. 2563 เวลา 00.46 น.
อีเรนนี่เห็น คงว่าเป็ศรีธนชัยกลับชาติมาเกิดมั็ง
08 ก.ค. 2563 เวลา 00.42 น.
ดูทั้งหมด