กะหล่ำปลี เป็นหนึ่งในผักสวนครัวที่สามารถหารับประทานได้ตลอดทั้งปี และสายพันธุ์ของกะหล่ำปลีนั้นก็มีอย่างหลากหลาย กะหล่ำปลี เป็นผักที่มีใยอาหารสูง (ไฟเบอร์) และมีวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย นำไปประกอบอาหารได้หลายอย่าง และทำได้เกือบทุกเมนู ทั้งอาหารไทย อาหารเทศ หรือรับประทานสดๆ ก็อร่อย ได้คุณค่าทางสารอาหารไม่น้อยเลยทีเดียว กะหล่ำปลี อุดมไปด้วยมีวิตามินซีสูงเมื่อเทียบกับผลไม้ และยังมีหลายสี เป็นการเพิ่มสีสันให้กับอาหารจานโปรดน่ารับประทานยิ่งขึ้น
ผู้บริโภคบางกลุ่มไม่นิยมรับประทานกะหล่ำปลีดิบ เพราะกลัวในเรื่องของยาฆ่าแมลงตกค้าง และมีความเชื่อว่าการรับประทานกะหล่ำปลีดิบอาจจะส่งผลให้เกิดโทษต่อร่างกาย เพราะในกะหล่ำปลีดิบมีสารที่เรียกว่า กอยโตรเจน (Goitrogen) ซึ่งเป็นสารที่ไปขัดขวางไม่ให้ต่อมไทรอยด์จับไอโอดีน และหากรับประทานกะหล่ำปลีดิบในปริมาณมากอาจทำให้เกิดโรคคอหอยพอกได้ แต่ในความจริงแล้วหากไม่รับประทานวันละเป็นกิโลกรัม สารพิษดังกล่าวก็ไม่ก่อให้เกิดโทษต่อร่างกาย
การทำเกษตรในปัจจุบัน เกษตรกรหันมาทำเกษตรอินทรีย์ปลอดสารกันอย่างแพร่หลาย ทำให้ตลาดพืชผักผลไม้ปลอดสารมีตลาดที่ใหญ่ขึ้น ผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่าย และมีราคาที่ถูกกว่าในอดีตเป็นอย่างมาก การทำเกษตรอินทรีย์นอกจากจะใส่ใจผู้บริโภคแล้ว เกษตรกรยังใส่ใจตนเอง เมื่อไม่ใช้สารเคมีในพืชผักผลไม้ เกษตรกรก็ไม่ได้รับสารเคมีต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย ทำให้มีสุขภาพที่ดีต่อเกษตรกรและผู้บริโภค
แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะเป็นพืชปลอดสารก็ควรล้างให้สะอาดก่อนนำมารับประทานทุกครั้ง กะหล่ำปลีดิบก็จัดเป็นผักที่มีคุณค่าต่อร่างกายไม่แพ้ผักชนิดอื่น
คุณพรสุรีย์ เอกบุตร หรือ คุณแตง ชาวบ้านบ้านบุ่งคล้า ตำบลบัวขาว อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ปัจจุบันประกอบอาชีพ รับราชการ และมีอาชีพเสริมเป็นเกษตรปลูกผักอินทรีย์ จากพื้นที่ว่างข้างบ้าน สวนผักอินทรีย์แห่งนี้มีอายุถึง 3 ปี แต่กกว่าจะประสบความสำเร็จได้ถึงทุกวันนี้ คุณพรสุรีย์ ต้องศึกษาและทำการทดลองปลูกมา 1 ปีเต็มๆ
คุณพรสุรีย์ กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของการทำเกษตรอินทรีย์ มากจากการชอบรับประทานผัก เป็นคนที่ชอบรับประทานผักมาก เลยศึกษาหาข้อมูลผักแปลกๆ จากอินเทอร์เน็ต ทำให้ยิ่งเกิดการหลงใหลในการทำเกษตรมากขึ้น และได้ไปสะดุดตากับการปลูกกะหล่ำปลีสายพันธุ์ต่างๆ ของประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากมีหลากหลายสายพันธุ์และมีสีสันที่ดึงดูดมาก
จึงได้สั่งเมล็ดพันธุ์กะหล่ำปลีสายพันธุ์ปูเล่ มาทดลองปลูก เมื่อระยะเวลาผ่านไปประมาณ 2-3 เดือน ก็เริ่มเห็นน่าตาสีสันที่แตกต่าง รู้สึกตื่นเต้นมาก จึงถ่ายภาพลงเฟซบุ๊กส่วนตัว ทำให้มีเพื่อนๆ และคนรู้จักสนใจและเข้ามาสอบถามเป็นจำนวนมาก จึงได้นำเข้าสายพันธุ์อื่นๆ เพื่อนำมาปลูกเพิ่ม ทั้งลองผิดและลองถูกเป็นระยะเวลา 1 ปี คุณพรสุรีย์ จึงเริ่มเข้าไปในกลุ่มตลาดออนไลน์เกษตรกรและผู้ที่สนใจในกะหล่ำปลีญี่ปุ่น ทำให้มีคนรู้จักสวนผักอินทรีย์แห่งนี้เพิ่มมากขึ้น
ปัจจุบันสวนผักอินทรีย์แห่งนี้ ปลูกกะหล่ำปลีญี่ปุ่นกว่า 8 สายพันธุ์ ได้แก่ 1. พีเจ้น (สีเรด สีไวท์) 2. โอซาก้า (สีเรด สีไวท์ สีพิงค์) 3. คอนเดอร์ 4. คาโมเม่ (สีพิงค์ สีเรด สีไวท์) 5. วิคตอเรีย 6. โยโกฮาม่า (สีเรด สีไวท์) 7. นาโกย่า (สีเรด สีไวท์) 8. พีค็อก (สีเรด)
แต่ละสายพันธุ์มีสีสันและความหยักของใบที่แตกต่างกัน แต่ละสายพันธุ์สีที่ได้ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศของพื้นที่ปลูกนั้นๆ เนื่องจากกะหล่ำปลีญี่ปุ่นเป็นพืชเมืองหนาว การนำมาปลูกในพื้นที่อากาศร้อน อย่างจังหวัดกาฬสินธุ์ ต้องยอมรับเลยว่ายาก แต่ก็ใช่ว่าจะปลูกไม่ได้ บางสีจะให้สีที่อ่อนหรือเข้มก็ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศเป็นหลัก
การบ่มเมล็ดพันธุ์ผัก
การเพาะเมล็ดพันธุ์ผักเริ่มจาก การนำเมล็ดที่ต้องการเพาะไปบ่มในกล่องพลาสติกที่มีฝาปิด โดยใช้ชิชูเป็นวัสดุรองพื้นและฉีดน้ำให้ชุ่ม จากนั้นนำเมล็ดพันธุ์ใส่ไว้บนวัสดุรองพื้นอีกชั้นหนึ่ง และใช้ชิชูวางทับอีกชั้นฉีดน้ำให้ชุ่มอีกครั้ง ขั้นตอนสุดท้ายปิดฝาให้สนิด และนำไปวางในพื้นที่ที่แสงเข้าไม่ถึงเป็นระยะเวลา 2 คืน
การเพาะต้นกล้าในถาดหลุม
ถาดหลุมเพาะที่เหมาสมควรมีจำนวน 50 หลุม เพื่อให้พืชเจริญเติบโตได้ดีและสม่ำเสมอเท่ากันทุกต้น โดยวัสดุในการปลูกจะใช้เพียง พีทมอสเท่านั้น จากนั้นนำต้นอ่อนที่บ่มเมล็ดไว้ครบ 2 คืนแล้ว ลงถาด 1 หลุมต่อ 1 ต้น รดน้ำให้ชุ่ม และนำมาวางในโรงเรือนที่มีซาแรนพรางแสงแดด ให้แสงสามารถเข้ามาถึงต้นอ่อนได้เพียง 50 เปอร์เซ็นต์
เมื่อต้นอ่อนลงหลุมถาดเพาะได้ 3 วัน ก็จะเริ่มแตกใบให้ได้เห็น มั่นรดน้ำให้พอเหมาะเพื่อรักษาความชื้นในดิน เมื่อต้นอ่อนมีอายุครบ 20 วัน ก็จะกลายเป็นต้นกล้าที่แข็งแรง พร้อมลงดินปลูกแล้ว
การปรุงดินปลูกผักอินทรีย์ในกระถาง
ส่วนผสมที่ใช้ในการปรุงดิน ได้แก่ ปุ๋ยคอก ดินร่วน ขี้ไก่ แกลบ นำส่วนผสมเหล่านี้ในอัตราส่วนที่เท่าๆ กันมาผสม จากนั้นนำดินที่ปรุงแล้วใส่ลงไปในกระถาง 4 นิ้ว และใส่ต้นกล้าลงไป จากนั้นในไปไว้ในโรงเรือนที่มีสแลนพรางแสง และหมั่นรดน้ำรักษาความชื้นในดิน เมื่อต้นกล้ามีอายุครบ 45 วัน ก็สามารถลงแปลงปลูกกลางแจ้งได้แล้ว
เนื่องจากกะหล่ำปลีญี่ปุ่นเป็นพืชเมืองหนาว ในช่วงที่ต้นยังไม่แข็งแรงเต็มวัย จำเป็นต้นใช้สแลมพราง ลดอุณหภูมิและแสงแดดที่ส่องมาโดยตรง อาจทำให้พืชตายได้
การให้น้ำ
การรดน้ำที่ดี ควรรด 2 ครั้ง ในช่วงเช้า-เย็น การรดในแต่ละครั้งรดเพียงแค่ให้ดินชุ่มชื้นไม่ต้องแฉะ
โรคพืชและแมลง
กะหล่ำปลีญี่ปุ่นมักพบเจอกับ โรคแมลงกลางคืน หอยทาก หนอน เพลี้ย วิธีการแก้ปัญหาสามารถใช้น้ำส้มควันไม้ฉีดพ่นได้ หรือในกรณีที่แมลงรบกวนหนักๆ ก็สามารถใช้เหล้าขาวผสมกับน้ำส้มสายชู นำมาฉีดพ่นได้ โรคพืช รากเน่า โคนเน่า นิยมเกิดในช่วงฤดูฝน ดังนั้น ดินที่เพาะปลูกจึงควรเป็นดินร่วนที่น้ำสามารถไหลผ่านได้ตลอด
ตลาดผักอินทรีย์ปลอดสาร มีการขยายเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว และคาดว่าในอนาคตตลาดอินทรีย์ปลอดสารจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน เพราะผู้บริโภคหันมาสนใจสุขภาพกันยิ่งขึ้น ผู้บริโภคเริ่มมองต้องแต่งต้นทางการผลิต และราคาผักผลไม้อินทรีย์ปลอดสารในปัจจุบัน มีราคาที่ถูก สามารถหาซื้อได้ง่าย
กลุ่มตลาดของทางสวน มีผู้บริโภคที่หลากหลาย ทั้งกลุ่มวัยรุ่น วัยกลางคน ผู้สูงวัย และประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ประเทศลาว ยุคสมัยนี้ผู้คนหันมาปลูกผักรับประทานเองเยอะขึ้น ทั้งคนในเมืองและคนต่างจังหวัด สามารถปลูกเล็กๆ ในการถางได้ และขยายพันธุ์ด้วยแขนงได้ เพียงแค่มีต้นพันธุ์ที่ดี สายพันธุ์แท้ และปลอดสารก็สามารถปลูกรับประทานได้อย่างมีความสุข
“สวนผักอินทรีย์ สามารถเป็นอาชีพหลักหรืออาชีพเสริมได้ ยินดีให้คำปรึกษาและเปิดเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับเกษตรกรหรือผู้สนใจ ได้สร้างอาชีพและปลูกผักอินทรีย์อย่างถูกวิธี”
สำหรับท่านใดที่สนใจ ต้นพันธุ์กะหล่ำปลีญี่ปุ่น สายพันธุ์ต่างๆ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณพรสุรีย์ เอกบุตร บ้านบุ่งคล้า ตำบลบัวขาว อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ โทรศัพท์ 063-778-8611 หรือติดตามความเคลื่อนไหวได้ทางเฟซบุ๊ก จำหน่ายต้นกล้าผักสวนครัวราคาถูก
ขอบคุณสำหรับประโยชน์ดีๆค่ะ
27 เม.ย. 2566 เวลา 14.41 น.
ยิ่งยง 👀😘😍❤️💕💞💘♻️
27 เม.ย. 2566 เวลา 13.37 น.
ดูทั้งหมด