ข้อมูลเบื้องต้น
พลั้งรักมาเฟียร้าย
จัสติน VS นับดาว
คำเตือน
นิยายเรื่องนี้เป็นแนวอีโรติก มีฉากร่วมรัก 18+นะคะ มีคำหยาบคาย การใช้ความรุนแรงเพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่าน นิยายเรื่องนี้เกิดจากจินตนาการล้วนๆ ไม่ได้พลาดพิงหรือกล่าวหาใคร โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ
จัสติน
มาเฟียหนุ่มในตลาดสีเทาพ่วงตำแหน่งนักแข่งรถมือหนึ่งของประเทศ ตั้งแต่สมัยเรียนจัสตินไม่คิดจริงจังกับผู้หญิงคนไหน ต่อให้เขาแสดงความรักต่อหญิงสาวคนที่เขาหมายปองจนกลายเป็นผู้ชายคลั่งรักแต่สุดท้ายเมื่อเขาเบื่อและได้เธอซ้ำหลายครั้งจนไม่มีอะไรให้สนใจอีกก็ปลีกตัวออกห่างและไปหาผู้หญิงคนใหม่มาแทนที่ ด้วยหน้าตาที่หล่อเหลา และฐานะที่ร่ำรวย ผู้หญิงทุกคนต่างหมายปองและอยากจะนอนกลับชายหนุ่มทั้งนั้น
นับดาว
คุณหมอคนสวยประจำโรงพยาบาลเอกชน เธอเป็นหมอตึกผู้ป่วยฉุกเฉินที่ไม่ได้สุขสบายเหมือนหมอแผนกอื่น ด้วยเหตุการณ์ฝังใจแต่เด็กทำให้เธออยากที่จะเป็นหมอ และต้องสู้กับความเหนื่อยในอาชีพนี้เพราะเธอคือเสาหลักของครอบครัว
เรื่องราวในอดีตทำให้นับดาวกลายเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยวในเรื่องความรัก เพราะมันเป็นความรักที่ขมขื่นและทุกข์ทรมาน ผู้หญิงคนหนึ่งที่รักผู้ชายคนแรกจนหมดหัวใจคิดว่าเขาคือคู่ชีวิตจนเลยเถิดไปไกล แต่แล้วทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เมื่อเขาเบื่อเธอก็เฉดหัวเธอทิ้ง ควงผู้หญิงใหม่ต่อหน้าต่อตาเธอ
❌ห้ามคัดลอกนิยายหรือนำรูปภาพของนามปากกาโซลสตาร์ไปใช้ทุกกรณี ถ้าพบเห็นจะดำเนินคดีตามกฎหมายทันที
นิยายเรื่องนี้เกิดจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่ได้มีเจตนาพาดพิงใครใดๆทั้งสิ้น
บทนำ
บทนำ : พลั้งรักมาเฟียร้าย
@โรงพยาบาลเอกชน
หว่อ วี่ หว่อ วี่ หว่อ….
เสียงไซเรนของรถพยาบาลดังขึ้นในช่วงกลางดึก และขับมาจอดหน้าโซนของตึกอุบัติเหตุฉุกเฉินอย่างรวดเร็ว เหล่าเจ้าหน้าที่พยาบาลต่างทำงานกันอย่างคล่องแคล่วเพราะมันคือเรื่องปกติ
ตึก ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าของหมอสาววิ่งเข้ามาด้วยความเร็วเพื่อมารับเคสอุบัติเหตุฉุกเฉิน
"คนไข้โดนอะไรมาคะ"
“โอ๊ยยยย….” เสียงของคนเจ็บร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด
"คนไข้รถล้มครับ" เจ้าหน้าที่กู้ภัยของโรงพยาบาลรีบแจ้งสถานการณ์ให้หมอรับรู้จะได้ทำการรักษาได้ถูกวิธี
"เข้าห้องฉุกเฉินได้เลยค่ะ"
เจ้าหน้าที่พยาบาลผู้ชายรีบเข็นเตียงคนไข้เข้าห้องฉุกเฉินตามที่หมอสาวสั่ง
"เตรียมอุปกรณ์ทุกอย่างให้พร้อม"
"ได้ค่ะคุณหมอนับดาว"
ภายในห้องอุบัติเหตุฉุกเฉิน
"โอ๊ยเจ็บ…คุณหมอผมเจ็บ"
เด็กหนุ่มวัยรุ่นที่ถูกเข็นเข้ามาร้องโอดโอยเมื่อถูกล้างแผลด้วยแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อโดยหมอสาวคนสวย ต่อให้เธอมีใบหน้าสวยหวานแต่น้ำหนักมือของเธอไม่ได้อ่อนโยนเหมือนหน้าตาแม้แต่นิดเดียว แต่การรักษาของเธอทุกคนต่างยอมรับว่าเธอเป็นหมอที่เก่งและชำนาญในการรักษาเป็นอย่างมาก
"ทนค่ะ ถ้าไม่ล้างให้สะอาดแผลจะติดเชื้อ ถ้าเกิดติดเชื้อ เชื้อจะลามเข้าผิวหนัง คนไข้ต้องคว้านเนื้อออกจะเจ็บกว่านี้ค่ะ" ฉันพูดพลางราดแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อที่ขาเด็กหนุ่มไปด้วย แผลสดพวกนี้ต้องได้รับการทำความสะอาดอย่างถูกวิธี และต้องมั่นใจว่าแผลสะอาดจริงๆ ไม่งั้นขาของเด็กคนนี้ก็จะโดนขูดเนื้อออกอย่างที่ฉันพูดออกไป ไม่ใช่แค่คำขู่ให้เด็กหนุ่มกลัว
"ก็ผมเจ็บอะหมอ จะให้ทนได้ยังไง"วัยรุ่นหนุ่มพูดสวนกลับทันที
"ทีหลังแข่งรถกันก็อย่าล้มสิคะถ้าไม่อยากเจ็บตัว หรือไม่ก็นอนอยู่บ้านค่ะจะได้ไม่เจ็บตัว"
"คุณหมอรู้ได้ไงว่าผมแข่งรถมา ผมอาจจะขับมาแล้วหมาตัดหน้าก็ได้"
"โอ๊ย…แสบๆ โอ๊ยย เบาๆหมอ โอ๊ย คนอะไรมือหนักเป็นบ้า"
"……" ฉันไม่ได้ตอบคำถามของเด็กหนุ่มแต่ฉันทำงานที่นี่มาสองปีแล้ว ส่วนใหญ่เคสที่มาดึกๆขนาดนี้ก็ไม่พ้นเรื่องแข่งรถกัน ยิ่งเป็นพวกวัยรุ่นวัยคึกคะนองจุดจบก็สภาพแบบนี้ ฉันรับเคสคนไข้แบบนี้อยู่เกือบทุกวัน ไม่แปลกที่ฉันจะเดาออกว่าเด็กพวกนี้ไปทำอะไรมา โชคดีที่ครั้งนี้ฉันรับเคสคนไข้ที่สามารถเถียงกลับมาฉอดๆได้ บางครั้งรับเคสคนไข้จากกู้ภัยก็หมดลมหายใจไปบ้าง บางคนมาแขนขาหักจนผิดรูป อุบัติเหตุเล็กใหญ่ต่างกันออกไป ฉันถือว่าเด็กคนนี้ยังโชคดีกว่าคนอื่นที่เขายังได้กลับบ้านไปหาพ่อแม่มากกว่านอนรอพ่อแม่อยู่ในห้องดับจิต
"เรียบร้อยค่ะ ต้องมาล้างแผลทุกวันนะคะ เดี๋ยวหมอจะลงวันนัดไว้ให้" ฉันพูดกับเด็กหนุ่มหลังจากพันผ้าพันแผลให้จนเรียบร้อย
"แล้วถ้าผมไม่อยากล้างอะหมอ มันเจ็บ มันแสบ"
"ไม่ล้างได้ค่ะ" ริมฝีปากบางเผยรอยยิ้มออกมา
"จริงนะ" เด็กหนุ่มทำหน้าตาดีใจเพราะไม่อยากเจ็บอีกแล้ว
"อีกสองวันเตรียมคว้านแผลเอาเนื้อที่ตายออกได้เลยค่ะ หมอจะทำการผ่าตัดให้เอง เท่าที่ดูแผลที่ใหญ่สุดคงควักเอาเนื้อออกประมาณห้าเซนต์เลย ยังไม่รวมที่แขนอีก ได้นอนหยอดข้าวต้มอยู่โรงพยาบาลหลายอาทิตย์ คงไม่ได้ไปแข่งรถอีกนานเลยค่ะ ขาก็แหว่ง แขนก็แหว่ง สาวๆเห็นแผลเป็นพวกนั้นคงกลัวกันน่าดู ไม่แน่ถ้าเชื้อลามไปไกลคงต้องตัดขา…"
"พอๆ ผมไม่อยากฟัง พรุ่งนี้ผมจะมาล้างแผลตามนัดพอใจหมอหรือยัง" เด็กหนุ่มวัยรุ่นพูดอย่างหัวเสีย ใบหน้าละอ่อนซีดเผือดเมื่อฟังคำพูดจากหมอสาว
"ค่อยคุยกันรู้เรื่องหน่อย…เดี๋ยวเจ้าหน้าที่จะพาไปที่ห้องรับยานะคะ" นับดาวพูดจบก็เดินออกมาเลย เพียงแค่หันหลังให้เด็กหนุ่มริมฝีปากบางก็ระบายยิ้มออกมา
"เฮ้อ…" ดวงตากลมโตเงยมองนาฬิกาของโรงพยาบาลบ่งบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาตีห้าแล้ว ในทุกๆวันฉันต้องเจอเรื่องราวมากมายไม่ว่าจะตอนกลางวันหรือกลางคืน คนไข้นับสิบคนนิสัยก็ต่างกันทั้งสิบคน บางคนก็พูดรู้เรื่อง บางคนก็รั้นหัวชนฝา จนฉันต้องหาวิธีพูดต่างๆเพื่อให้แต่ละคนใจอ่อน บางครั้งก็ต้องปลอบบรรดาญาติไปด้วยถ้าเกิดคนไข้รายนั้นหมดลมหายใจ มันไม่ง่ายเลยกับการเป็นหมอ เรียนที่ว่าเหนื่อยแล้ว ทำงานยิ่งเหนื่อยกว่า
"คนไข้มารูปแบบไหนอีกคะคุณหมอนับดาว" พยาบาลสาวเอ่ยแซว
"คนนี้พูดง่ายค่ะ แค่ขู่นิดขู่หน่อยก็กลัวแล้ว แต่ก็อดห่วงไม่ได้กลัวว่าพรุ่งนี้จะไม่มานะสิ"
"พวกเราเชื่อว่าคำพูดของหมอนับดาวทำให้คนไข้ยอมมาตามนัดแน่นอนค่ะ" พยาบาลพูดความจริงเพราะทุกครั้งที่คนไข้งอแงหรือดื้อรั้น ก็ต้องวานให้หมอนับดาวคนสวยไปช่วยพูดเกลี้ยกล่อมจนยอมมาตามนัดกันทุกคน
ฉันพยักหน้าอย่างยิ้มๆ และเดินเข้าห้องพักส่วนตัวของหมออย่างเช่นเคย อาชีพหมอไม่มีเวลานอนที่ตรงกันสักวัน เข้าเวรเช้าบ้างดึกบ้างสลับกันไปและบางครั้งก็อยู่ยาวจนเกินเวลาออกเวรถ้าเกิดติดเคสใหญ่ๆ เวลาพักผ่อนของฉันก็ไม่เหมือนคนอื่นด้วยจรรยาบรรณของหมอที่ต้องดูแลคนไข้
ใบหน้าหวานแสดงอาการอิดโรยออกมาอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเข้ามาในห้องพักของตัวเอง ฉันเป็นหมอที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้มาได้สองปีแล้ว หลายคนคงคิดว่าฉันต้องมีเงินแน่เพราะกว่าจะเป็นหมอได้ค่าเรียนแพงมาก ผลลัพธ์คือเงินเดือนสูง ทุกคนเข้าใจถูกหมด ค่าเทอมแพงจริงแต่ฉันก็ต้องกู้เรียนด้วยฐานะครอบครัวฉันไม่ได้ร่ำรวยขนาดนั้น เงินเดือนสูงแต่ค่าใช้จ่ายก็สูงไม่แพ้กัน ฉันเปรียบเสมือนหัวหน้าครอบครัวเพราะพ่อของฉันเสียไปตั้งแต่เด็กทำให้อาชีพหมอเป็นอาชีพที่ฉันใฝ่ฝันตั้งแต่นั้นมา ฉันไม่อยากให้คนที่ตัวเองรักต้องเจ็บป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาล แต่ถ้าต้องเข้าโรงพยาบาลฉันจะทำการรักษาด้วยตัวเองและทำทุกวิถีทางให้ครอบครัวฉันรอดพ้นความตาย
เหตุการณ์วันนั้นที่พ่อหลับลงตรงหน้ายังตราตรึงในหัวใจมาตลอด เราไม่เงินที่จะไปรักษาโรงพยาบาลเอกชน เราใช้แค่สิทธิ์ผู้ป่วยโรงพยาบาลรัฐธรรมดา ไร้ซึ่งการดูแลของแพทย์เฉพาะทาง สั่งจ่ายยาตามเวลาตามอาการเบื้องต้น วินิจฉัยตามอาการวันต่อวัน เหตุการณ์ทั้งหมดมันทำให้ฉันเจ็บปวด มองพ่อนอนเจ็บปวดอยู่บนเตียงได้ยินแค่คำพูดจากปากหมอว่าให้ทำใจ ฉันเชื่อว่าถ้าวันนั้นพ่อฉันถูกรับการรักษาอย่างถูกวิธีคงไม่เป็นแบบนี้ พอโตขึ้นฉันได้มีความรู้เรื่องการแพทย์ทำให้ฉันรู้ว่าอาการของพ่อควรรักษาแบบไหนแต่มันก็สายเกินไปแล้ว
ลูกสาวตัวน้อย
พลั้งรักมาเฟียร้าย : ตอนที่ 1
8.00 น.
"คุณหมอคนสวยวันนี้ทานอะไรดีคะ" แม่ค้าพูดทักทายหมอสาวด้วยท่าทางเป็นกันเอง
"โกหกนับอีกแล้วนะจ๊ะ สภาพพึ่งออกเวรตอนเช้าไม่หลงเหลือความสวยเลยค่ะ"
ฉันออกเวรและเลือกซื้ออาหารกับขนมในตลาดช่วงเช้าหน้าโรงพยาบาล มันเป็นเรื่องปกติก่อนที่จะกลับคอนโด หมออย่างฉันกินข้าวไม่เคยตรงเวลา พักผ่อนไม่เหมือนคนอื่น อย่างเช่นวันนี้ที่คนอื่นเร่งรีบเข้างานกันแต่เช้า แต่ตัวฉันพึ่งเลิกงานด้วยสภาพที่อิดโรย เวลาเข้าเวรดึกทีไรร่างกายฉันมันอ่อนล้ามากกว่าปกติ
"ป้าก็ยังมองว่าคุณหมอนับดาวสวยเสมอ ต่อให้ออกเวรเช้าหรือออกเวรเย็น"
"พูดแบบนี้อยากเหมาหมดเลยจ้ะ" ฉันพูดหยอกล้อกับแม่ค้าด้วยท่าทางสนิทสนมเพราะเป็นร้านที่ฉันซื้อกับข้าวประจำ ฉันจะเลือกซื้อกับข้าวแค่สองอย่าง เพราะฉันใช้ชีวิตอยู่คนเดียว บ้านของฉันอยู่แถวชานเมืองไม่ได้อยู่ใจกลางเมืองถ้าจะไปกลับบ้านโรงพยาบาลก็ค่อนข้างไกล ฉันเลยเลือกที่จะอยู่คอนโดไม่ไกลจากโรงพยาบาลไปกลับสะดวกกว่าอีกอย่างก็สามารถเดินไปได้โดยที่ไม่ต้องนั่งรถโดยสารหรือใช้รถส่วนตัวให้วุ่นวาย
คอนโดใจกลางเมือง
ติ๊ง…
ประตูลิฟต์เปิดออกเมื่อมาถึงชั้นเป้าหมาย คอนโดที่ฉันอยู่ค่อนข้างปลอดภัยและหายห่วงเรื่องขโมย ทำให้ฉันอยู่คนเดียวได้โดยไม่ต้องหวาดหวั่น
แกร่ก…
ดวงตากลมโตมองไปรอบๆห้อง ขนาดห้องระดับปานกลางไม่เล็กและไม่ใหญ่จนเกินตัว นับดาววางของที่ซื้อมาจากตลาดไว้บนโต๊ะและนั่งลงบนโซฟาตัวเล็กด้วยความเหนื่อยล้า
"เฮ้อ…ผ่านไปอีกหนึ่งวัน เหนื่อยจังเลย"
ครืด ครืด ครืด
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นตรงเวลาอย่างเช่นทุกวัน ริมฝีปากบางระบายยิ้มออกมาและไม่ต้องดูหน้าจอด้วยซ้ำว่าใครโทรเข้ามา แค่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ความเหนื่อยก็หายเป็นปลิดทิ้ง
"ว่าไงคะคนสวยแม่" ฉันเปิดหน้าจอวิดีโอคอลก็ทักทายลูกสาวแสนสวยวัยสามขวบที่อยู่ในชุดนอนและยังแสดงอาการงัวเงียบ่งบอกว่าเด็กน้อยพึ่งตื่นนอน
(เมื่อไหร่แม่จะมาหาอันดาคะ อันดาคิดถึงแม่นับดาว)
"หื้ม…แม่พึ่งกลับมาเมื่อวานเองนะคนเก่ง คิดถึงแม่อีกแล้วเหรอคะ" ฉันอดที่จะอมยิ้มกับท่าทางออดอ้อนของลูกสาวแสนน่ารักไม่ได้
(อันดาคิดถึงแม่ทุกวันเลยค่ะ อันดาอยากให้แม่มาหาอันดาทุกวันเลย)
"จำที่แม่เคยบอกได้ไหมคะ"
(อันดาต้องอยู่กับยาย อันดาต้องตั้งใจเรียนหนังสือ ปิดเทอมแม่นับดาวจะมารับอันดาไปอยู่ด้วย แล้วไปเล่นกับพี่ๆพยาบาล)
"เก่งมากค่ะ เรามีข้อตกลงกันอยู่นะ ถึงอันดาจะอยู่ชั้นอนุบาลหนึ่งแต่อันดาก็ต้องตั้งใจเรียน ฟังคุณครูนะคะ อาทิตย์หน้าแม่ก็จะไปหาอันดาเหมือนเดิม อย่างอแงกับคุณยายรู้ไหมลูก" ฉันพูดไปพร้อมกับมองหน้าลูกสาวผ่านหน้าจอมือถือ ไม่ใช่แค่อันดาที่คิดถึงฉัน ฉันเองก็คิดถึงลูกเหมือนกัน แค่วันเดียวที่เราห่างกันก็นานสำหรับฉันเหมือนกัน แต่ฉันต้องเข้มแข็งไม่อ่อนแอให้เขาเห็น
(ตัวแสบเอาโทรศัพท์ยายไปกวนแม่อีกแล้วเหรอ)
ฉันยิ้มกว้างเมื่อได้ยินเสียงแม่สุดที่รักดังเล็ดลอดเข้ามา และก็เป็นแบบนี้ทุกครั้งเพราะอันดาชอบหยิบโทรศัพท์มาโทรหาฉันตลอดตอนยายเผลอ
"นึกว่ายายตั้งใจให้หลานหยิบมาเล่นซะอีก" ฉันอดที่จะแซวแม่ตัวเองไม่ได้ ต่อให้บ่นยังไงสุดท้ายก็กลายเป็นคนตามใจหลานอยู่ดี แค่อันดาอ้อนนิดอ้อนหน่อยก็ทำตามหลานแล้ว
(ไม่ต้องมาบ่นแม่เลยนะ ว่าแต่พึ่งเลิกงานเหรอลูก เหนื่อยไหม)
"ถ้าบอกว่าไม่เหนื่อยก็คงโกหกสินะ งั้นนับบอกว่าเหนื่อยเป็นเรื่องปกติดีกว่า"
(เจ้าสำนวนพอกันทั้งแม่ทั้งลูก แม่บอกแล้วว่าอันดาเรียนโรงเรียนใกล้บ้านก็ได้ ค่าเทอมไม่แพง เราจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก นี่เรียนเอกชนค่าเทอมก็หลายหมื่นนับเองก็เป็นเสาหลักให้บ้านทุกอย่าง อีกอย่างโรงเรียนแถวนี้ก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ ถ้าขาดตรงไหนค่อยพาอันดาไปเรียนเสริมก็ได้นะลูก ส่วนรายเดือนที่ให้แม่ก็ไม่จำเป็นเลย แม่อยู่กับหลานสองคนไม่ได้ใช้จ่ายอะไรเยอะ นับทำเพื่อตัวเองบ้างเถอะลูก)
"อันดาขา…หนูตื่นแล้วต้องไปทำอะไรคะ อาบน้ำล้างหน้าหรือยังนะ จำที่แม่สอนได้ไหมคะ" ฉันหันไปพูดกับลูกด้วยรอยยิ้ม ยังไม่ได้ตอบผู้เป็นแม่
(โอเคค่ะ อันดาไปแปรงฟันอาบน้ำก่อนนะคะ อันดารักแม่ค่ะ จุ๊บ) เด็กน้อยวัยสามขวบจูบหน้าจอโทรศัพท์และรีบวิ่งไปตามที่แม่บอก
"นับไม่อยากให้อันดารู้สึกขาดอะไรเลยค่ะแม่ นับยอมเหนื่อยทุกอย่างเพื่อลูกกับแม่ได้อยู่สบาย ต่อให้ส่งอันดาเรียนค่าเทอมเป็นแสนนับก็ยอมค่ะ นับจะส่งเสริมอันดาทุกทางให้เขาเพียบพร้อมทุกอย่าง นับจะไม่ละเลยลูกต้องการเติมสิ่งดีๆให้ลูกค่ะแม่ อันดาจะไม่ขาดอะไรเลยแม้แต่ความอบอุ่น" ฉันพูดด้วยแววตาเศร้าลงเมื่อเห็นว่าลูกสาวตัวน้อยออกไปแล้ว ต่อให้เรื่องราวในอดีตฉันเจ็บช้ำแค่ไหนแต่ก็ไม่เคยเอาความเจ็บช้ำนั้นมาแสดงให้ลูกเห็น ฉันเป็นทั้งพ่อและแม่ให้อันดาได้ดีมาตลอด
(แม่ก็ไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องราวในอดีตนะลูก แต่สักวันอันดาก็ต้องถามว่าพ่อของเขาคือใคร แค่ทุกวันนี้อันดาก็เริ่มมีความคิดเพราะเห็นพ่อกับแม่ของเพื่อนไปส่งที่โรงเรียน นับเตรียมคำตอบนั้นไว้แล้วใช่ไหม)
"พ่อของอันดาตายไปตั้งแต่อันดาอยู่ในท้องค่ะแม่ นั่นคือคำตอบของนับที่จะบอกลูก"
(นับดาว…) ผู้เป็นแม่แววตาหม่นหมองเมื่อได้ยินสิ่งที่ลูกสาวพูดออกมา เธอรู้ดีว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่ลูกสาวเธอพูดเลย แต่ด้วยเรื่องราวในอดีตทำให้นับดาวเจ็บช้ำมามากก็ไม่แปลกที่ลูกสาวของเธอจะพูดแบบนี้
"นับขอวางสายก่อนนะคะแม่ พึ่งถึงห้องยังไม่ได้ล้างหน้าล้างตาเลยค่ะ"
(งั้นพักผ่อนนะลูก ถ้าเหนื่อยก็กลับบ้านเรานะลูก)
ฉันยิ้มให้กับผู้เป็นแม่ก่อนจะกดตัดสายวิดีโอคอล หลังจากนั้นน้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้ก็เอ่อล้นคลอเบ้า มือบางกำโทรศัพท์ไว้แน่นเมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต
"อันดาจะไม่มีทางรู้ว่าคุณคือพ่อของเขา อันดามีแค่แม่ที่ชื่อนับดาวคนเดียว"
ศึกแห่งศักดิ์ศรี
พลั้งรักมาเฟียร้าย : ตอนที่ 2
สนามแข่งรถ
บรื้น บรื้น บรื้น…
เฮ้…เฮ้…
เสียงคำรามของรถแข่งในสนามดังกึกก้องไปทั่วทั้งสนามพร้อมกับเสียงเชียร์ของผู้คนนับหมื่นคนที่จดจ้องอยู่ที่รถแข่งหมายเลขเก้ารถแข่งคันหรูที่ถูกเสริมเติมแต่งด้วยอุปกรณ์ราคาแพงทั้งคัน ทุกอย่างที่ว่าดีอยู่ในรถคันนี้ทั้งหมด นอกจากรถแข่งคันหรูที่ผู้คนตื่นตาตื่นใจแล้วก็หนีไม่พ้นเจ้าของรถแข่งคันนี้ สาวๆหลายคนต่างจดจ้องและคาดหวังว่าสักวันจะได้เป็นตุ๊กตาหน้ารถให้กับชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาสไตล์ลูกครึ่ง บุคคลที่ทุกคนกล่าวขานว่าเขาคือนักซิ่งแห่งสนามทั่วประเทศไทยและต่างประเทศ
"เห็นแค่รถยังรู้เลยว่าคนขับเท่แค่ไหน รอยสักที่คอชั่งกร้าวใจซะเหลือเกิน"
"คิดจะเป็นเมียต้องแย่งชิงกับฉันก่อนย่ะ ไปต่อแถวโน่นเลย"
"แย่งกันไปก็เท่านั้น เห็นพริตตี้ที่ยืนอยู่หน้ารถนั่นไหมล่ะ เขาพูดกันว่ากำลังขั้วกันอยู่ แต่ดูจากท่าทางหล่อนแล้วคงเรื่องจริง เพราะดูเชิดหน้าเหมือนมีคนสนับสนุนอยู่"
"หมายถึงขั้วอยู่กับ จัสตินนะเหรอ โอ้แม่เจ้า แต่มองไปมองมาผู้หญิงคนนั้นก็คงแซ่บไม่เบา ดูจากการแต่งตัวก็ไม่ต่างจากแก้ผ้าโชว์แขก นั่นนมหรือหัวเด็กทารก ไม่แปลกที่จะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเสือร้ายอย่างจัสติน"
"ฉันไม่สนย่ะ เพราะยังไงไม่เกินเดือนก็ถูกเขี่ยทิ้ง แกจำที่คนอื่นพูดต่อๆกันมาไม่ได้เหรอไง แถวที่ต่ออยู่ขยับทุกเดือนไม่มีหยุดชะงัก ฉันอยากเป็นหนึ่งในนั้นก็ได้"
"เชิดชูถึงขั้นถวายกีเลยว่างั้น"
"ฉันก็อยากลองความแซ่บถึงทรวงบ้าง ก็อยากรู้ว่าจะเด็ด เผ็ด มัน อย่างที่หลายคนเล่าไหม" หญิงสาวหน้าตาสะสวยพูดพร้อมกับกัดริมฝีปากเหมือนอย่างลองลีลาเรื่องบนเตียงกับผู้ชายที่เธอหมายปอง
"อยากลองไซซ์ 58 สั่นระริกเลยนะยะ"
"ซู้ดดด…แค่คิดน้ำก็เดินแล้ว แต่ก็อยากรู้ว่า 58 จริงไหม ถ้าโดนครั้งหนึ่ง ต่อไปคงรับไซซ์เอเชียไม่ได้แน่นอน หลวมชัวร์"
ฮ่า ฮ่า… แก๊งสาวสวยต่างพากันหัวเราะกับสิ่งที่พูดคุยกัน ที่พวกเธอกล้าพูดเพราะบริเวณนี้มีแต่บรรดาเพื่อนด้วยกัน และทุกคนก็รู้ดีว่าผู้ชายในรถแข่งคันนั้นน่าขย้ำแค่ไหน
บรื้น บรื้น~
เท้าแกร่งเบิ้ลเครื่องเป็นการข่มขวัญคู่แข่ง ใบหน้าคมคายเรียบนิ่งไม่ได้ตื่นเต้นกับสถานการณ์ตอนนี้แม้แต่น้อย สายตาคมกริบคู่นั้นจับจ้องไปที่ถนนเบื้องหน้าและมองสัญญาณไฟออกตัว มือแกร่งกำพวงมาลัยแน่น จัสตินแทบไม่ได้สนใจเสียงเชียร์ที่ดังกระหึ่มไปทั่วทั้งสนามเลย
3….2….1
ปรี๊ดดดดด
บรื้นนนนน….
รถแข่งทั้งสองคันเร่งคันเร่งออกจากจุดสตาร์ทพร้อมกันด้วยความเร็วจนมิดไมล์ ทุกคนใจจดใจจ่ออยู่กับรถทั้งสองคันที่สูสีกันอยู่ในสนาม
บรื้นนนน….
ไม่นานรถทั้งสองคันสูสีกันมาครบสามรอบแล้ว และอีกนิดเดียวจะเข้าเส้นชัยแต่ยังไม่มีใครยอมใคร ทำให้ทุกคนลุ้นกับการแข่งขันจนนั่งไม่ติดเก้าอี้ ไม่มีใครกล้ากะพริบตาแม้แต่วินาทีเดียว
"หึ" จัสตินหัวเราะในลำคอออกมาเบาๆ เขาไม่ได้หวาดหวั่นเลยสักนิด และจัดการอัดสปีดตัวรถตามฉบับรถแข่ง ทำงานพร้อมกับเท้าแกร่งเหยียบคันเร่งเต็มแรง
บรื้นนนน….
ทั้งสองคันเข้าเส้นชัยพร้อมกัน มองด้วยตาเปล่าไม่มีใครรู้ว่าใครชนะต้องอาศัยจากกล้องวัดระยะหน้ารถ
เอี๊ยดดดด…
เสียงยางรถเสียดสีกับพื้นถนนจนเกิดเสียงและหยุดลงเมื่อมาถึงพื้นที่ในฝั่งของตัวเอง ทุกคนลุ้นกับการแข่งขันครั้งนี้มาก
"เฮ้…." เสียงเฮดังกึกก้องไปทั่วทั้งสนามเมื่อเห็นว่ารถคันที่ตัวเองเชียร์เข้าเส้นชัยก่อนในระยะห่างแค่ไม่กี่มิล
จัสตินมองผลการตัดสินบนหน้าจอขนาดใหญ่ในสนามแข่งพลางยกยิ้มมุมปากด้วยความชอบใจ การแข่งขันในแต่ละครั้งเขาไม่ได้ต้องการเงินหรือสิ่งของ เพราะทุกอย่างเขามีเพียบพร้อมหมดแล้ว แต่ที่ต้องการชนะคือคำว่าศักดิ์ศรี คนอย่างเขาไม่เคยท้าใครแข่ง มีแต่พวกลองดีทั้งนั้นที่อยากเอาชนะ
"โธ่เว้ย!" คู่แข่งสบถออกมาอย่างหัวเสีย การชนะจัสตินไม่ใช่แค่เงินทองแต่เป็นชื่อเสียงและหน้าตาในวงการนักแข่ง ทุกคนอยากที่จะขึ้นมาเป็นที่หนึ่งแทนจัสตินกันทั้งนั้น
"สงสัยลูกรักมึงต้องเป็นทาสรับใช้กูแล้วล่ะไอ้พีเจ" จัสตินพูดพร้อมกับแบมือเพื่อรอรับบางอย่างจากคู่แข่งที่แพ้ ริมฝีปากหนากระตุกยิ้มมุมปากอย่างชอบใจ การเดิมพันครั้งนี้ไม่ใช่แค่เงินหนึ่งล้านอย่างเดียว แต่เป็นรถของคนแพ้ด้วย ความสะใจมีเต็มเปี่ยมเมื่อเห็นอาการหน้าถอดสีของคนตรงหน้า
พรึบ!
"คนอย่างกูไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ สักวันกูจะเหยียบหัวมึงขึ้นเป็นที่หนึ่ง" พีเจโยนกุญแจรถตัวเองให้จัสตินอย่างหัวเสีย ถึงจะไม่ชอบหน้ากันแต่ก็ต้องเป็นไปตามกติกาที่ตกลงกัน
ปึก ปึก
"กูชอบความทะเยอทะยานของมึงนะพีเจ แต่กูว่าไก่อ่อนอย่างมึงดันทุรังไปก็เท่านั้น เอาเป็นว่าถ้ามึงคิดจะพยายามกูก็รอวันนั้น" ฝ่ามือหนาตบบ่าคู่แข่งสองสามทีและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ คำพูดของจัสตินเต็มไปด้วยคำดูถูก ทำให้คนที่ได้ยินกำหมัดแน่น
จัสตินหันไปพยักหน้ากับลูกน้องของตัวเองที่อยู่บริเวณนั้นพร้อมกับโยนกุญแจรถให้ ร่างสูงเดินไปกลางสนามแข่งและโบกมือทักทายทุกคนอย่างเช่นเคย และเขาก็ทำมันทุกครั้งเวลาที่จบการแข่ง
"ฮิ้วว…จัสติน จัสติน จัสติน"
แปะ แปะ แปะ
ทุกคนต่างเรียกชื่อชายหนุ่มอย่างพร้อมเพรียงกันดังกึกก้องไปทั่วสนามแข่ง แต่ละคนยอมรับในความเก่งของจัสตินกันทั้งนั้น
สายตาคมกริบมองไปยังพริตตี้สาวร่างสวยที่เดินนวยนาดเข้ามา ริมฝีปากอวบอิ่มเคลือบด้วยลิปสติกสีแดงฉูดฉาดระบายยิ้มอย่างยั่วยวนราวกับรู้ว่าหลังจากจบการแข่งขันจะต้องทำอะไรต่อ
"ไปเลี้ยงฉลองกันที่คอนโดของคาร่าเหมือนเดิมไหมคะ คาร่าให้คนเตรียมแชมเปญยี่ห้อโปรดของคุณไว้ด้วยนะคะ" คาร่าพูดจีบปากจีบคออย่างยั่วยวน ถึงจัสตินกับเธอจะมีสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกันไม่นาน แต่เธอก็เก็บรายละเอียดในตัวเขาได้ทั้งหมด เพราะเธอไม่ได้หวังแค่ตำแหน่งคู่นอน
"เธอรู้ใจฉันอีกแล้วนะคาร่า" จัสตินยกยิ้มมุมปากประสานสายตากับคนตรงหน้าก่อนที่พริตตี้สาวจะเข้ามาควงแขน และพากันเดินไปขึ้นรถสปอร์ตคันหรูสีแดงเพลิงรถคู่ใจของจัสตินท่ามกลางสายตาของทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้น