กลุ่มรับเหมาก่อสร้างเริ่มกลับมาคึกคักอักครั้ง หลังจากที่ภาครัฐเริ่มกระตุ้นการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ ด้วยการเริ่มกลับมาเปิดประมูลโครงการขนาดใหญ่ หลังจากที่โครงการใหญ่ของภาครัฐจะต้องหยุดชะงักด้วยการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด19 ไปเมื่อช่วงปีที่ผ่านมา นั่นจึงเป็นปัจจัยให้ผลประกอบการของหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างต้องซบเซามีผลกำไรที่ลดลง และถึงขั้นต้องพลิกเป็นขาดทุน
แต่อย่างไรก็ตามในปีนี้ถือเป็นปีทองของกลุ่มรับเหมาก่อสร้างอีกครั้งเลยก็ว่าได้ เพราะจะมีโครงการขนาดใหญ่ออกมาให้ประมูลกันอย่างต่อเนื่องอีกกว่า 3 แสนล้านบาท จึงเป็นเหตุผลที่สะท้อนให้ราคาหุ้นของกลุ่มรับเหมาก่อสร้างกลับมาคึกคักกันอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตามจะต้องจับตาดูตัวเลขของผลประกอบการว่าจะเป็นอย่างไรจะสะท้อนงานในมือที่มีอยู่ได้มากน้อยขนาดไหน เพราะงานใหม่เพิ่งจะประมูลได้อาจจะยังไม่สามารถรับรู้รายได้ทัน
ทั้งนี้หากย้อนกลับไปดูสถิติตัวเลขราคาหุ้นของกลุ่มรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่พบว่าในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันบางบริษัทอาจจะปรับตัวเพิ่มขึ้นตอบรับกระแสข่าวงานประมูลใหม่ที่จะเกิดขึ้นแล้ว เช่น บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD ที่ราคาหุ้นบวกมาแล้วกว่า 105% เช่นเดียวกับราคาหุ้นของ บริษัทเนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) หรือ NWR ถือเป็นบริษัทรับเหมาช่วงต่อจาก ITD เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ปรับเพิ่มขึ้นมากว่า 67%
ขณะที่ผู้รับเหมาอีก 2 รายใหญ่อย่าง บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK ราคาหุ้นปรับเพิ่มแค่เพียง 12% ส่วน บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ STEC ปรับเพิ่มขึ้นแค่เพียง 16% ด้าน บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ UNIQ ในฐานะที่เป็นบริษัทที่มีพอร์ตงานจากภาครัฐเป็นส่วนใหญ่ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นไปแล้วกว่า 56%
โดยล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้มีข่าวส่งผลบวกที่กระตุ้นให้หุ้นในกลุ่มรับเหมาเข้ามาอยู่ในจอเรดาร์คือ การรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ รฟท.แจ้งว่า เมื่อวันที่ 18-19 พ.ค.ที่ผ่านมา รฟท. ได้เปิดให้เอกชนยื่นข้อเสนอ และเสนอราคาทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งยื่นข้อเสนอด้านเทคนิค โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 323 กิโลเมตร (กม.) วงเงินก่อสร้างประมาณ 7.29 หมื่นล้านบาท รวม 3 สัญญา
ปรากฏว่า สัญญาที่ 1 ช่วงเด่นชัย-งาว ระยะทาง 104 กม. มีผู้ยื่นประมูล 2 ราย จากผู้ซื้อซอง17 ราย โดยกลุ่มกิจการร่วมค้า กิจการร่วมค้า ITD-NWR ประกอบด้วย บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด(มหาชน) หรือ ITD และบริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด(มหาชน) หรือ NWR เสนอราคาต่ำสุด 26,568 ล้านบาท จากราคากลาง 26,599 ล้านบาท
ส่วนสัญญาที่ 2 ช่วงงาว-เชียงราย ระยะทาง 135 กม. มีผู้ยื่นประมูล 2 ราย จากผู้ซื้อซอง 18 ราย โดยกิจการร่วมค้า CKST JOINT VENTURE ซึ่งประกอบด้วย บริษัท ช.การช่าง จำกัด(มหาชน) หรือ CK และบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ STEC เสนอราคาต่ำสุดที่ 26,900 ล้านบาท จากราคากลาง 26,913 ล้านบาท ส่วนสัญญาที่ 3 ช่วง ช่วงเชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 84 กม. มีผู้ยื่นประมูล 2 ราย จากผู้ซื้อซอง16 ราย โดยกิจการร่วมค้า CKST JOINT VENTURE เสนอราคาต่ำสุดที่ 19,390 ล้านบาท จากราคากลาง 19,406 ล้านบาท
โดยไทม์ไลน์ต่อจากนี้คือคณะกรรมการคัดเลือกจะพิจารณาตรวจสอบคุณสมบัติ ประเมินคุณสมบัติด้านเทคนิค และข้อเสนอด้านราคา โดยจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน คาดว่าจะประกาศผลผู้ชนะการเสนอราคาได้ในวันที่ 9 ก.ค.64 และหากไม่มีการยื่นอุทธรณ์ใดๆ จะสามารถลงนามในสัญญาการดำเนินโครงการได้ประมาณวันที่ 2 ส.ค.64
นอกจากนี้ รายงานข่าวจาก รฟท.แจ้งว่า ในวันที่ 25 พ.ค.นี้ รฟท. จะเปิดให้เอกชนยื่นข้อเสนอ และเสนอราคาโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม ระยะทาง 355 กม. วงเงินก่อสร้าง 5.46 หมื่นล้านบาท ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-Bidding)
โดยโครงการดังกล่าวแบ่งงานเป็น 2 สัญญา ได้แก่ สัญญาที่ 1 ช่วงบ้านไผ่-หนองพอก ระยะทาง 180 กม. วงเงิน 2.71 หมื่นล้านบาท และสัญญาที่ 2 ช่วงหนองพอก-สะพานมิตรภาพ 3 ระยะทาง 175 กม. วงเงิน 2.83 หมื่นล้านบาท เบื้องต้นจะประกาศผลผู้ชนะในวันที่ 15 ก.ค.64 และลงนามในสัญญาวันที่ 6 ส.ค.64
สำหรับมุมมองนักวิเคราะห์ต่อหุ้นรายตัวนั้น ทางบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อ CK ว่า จะมีรายได้จากธุรกิจก่อสร้างจะเหลือ 15,000 ล้านบาท ลดลง 10% จากปีก่อน อย่างไรก็ตามส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนใน BEM และ CKP จะดีขึ้น ทำให้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนจะเพิ่มเป็น 1,380 ล้านบาท เติบโต 61%
ดังนั้น รวมแล้วปี 64 คาด CK จะมีกำไรเท่ากับ 888 ล้านบาท เติบโต 45% จากปีก่อน สำหรับงานประมูลโครงการขนาดใหญ่ CK มีแนวโน้มจะได้งานใหม่หลายโครงการจะหนุน Backlog เพิ่มขึ้นมากกว่าสองแสนล้านบาท คงคำแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร ที่ราคาเป้าหมาย 22 บาท
ขณะที่ บริษัท หลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด ระบุว่า คาดว่าผลประกอบการของ STEC จะเพิ่มขึ้นในไตรมาส 2/64 และช่วง ครึ่งหลังของปี 64 เนื่องจากอัตราการก่อสร้างโครงการใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้อัตรากำไรจะเพิ่มขึ้นจากงานโครงการรัฐสภาอัตรากำไรต่ำได้เสร็จไปแล้วในเดือน เม.ย. ประกอบกับการชนะโครงการใหม่ๆ และงานในมือปัจจุบันที่ 1.05 แสนล้านบาท งานรถไฟรางคู่ที่จะประมูลผ่าน e-bidding ในวันที่ 18 และ 25 พ.ค. ที่คาดว่าจะรู้ผลเป็นทางการในเร็วๆนี้
เราแนะนำให้ “ซื้อ” โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 18.00 บาท อิง PER ที่ 25 เท่าสำหรับปี 64 โดยมีความเสี่ยงคือ ความล่าช้าในการก่อสร้าง, ไม่มีโครงการใหม่ๆ, ค่าแรงและวัสดุที่เพิ่มขึ้น
ยายผม.ทำไม่เป็น.
👥👥👥👥👥😆😆😆🤪🤪🤪🤪
15 พ.ย. 2562 เวลา 11.47 น.
ต้าว มันก็ดีในบ้างพื้นที่แต่เราเสียค่ารายจ่ายเน็ตเพิ่มมันสมควรมั๊ย
14 พ.ย. 2562 เวลา 10.15 น.
Captain(M.Tew) ถ้าไฟฟ้าดับก็หมดสิทธิ์ทำอะไรไม่ได้
17 พ.ย. 2562 เวลา 07.25 น.
Piyada ชอบระบบเงินสมัยก่อนมากกว่า เบื่อที่ต้องพึ่งพาแต่โทรศัพท์มือถือ
17 พ.ย. 2562 เวลา 00.39 น.
Mr. EI สดๆ ร้อนๆ จ้า เพิ่งจ่ายเงินผ่านระบบออนไลน์ ปรากฏว่า ผู้ขาย ระบบค้าง ไม่ตัดเงินจาก บช.ธนาคาร ออเดอร์ก็ค้างอยู่อย่างนั้น เขาบอกว่าต้องใช้เวลาตรวจสอบและเคลียร์ นานแค่ไหนก็ไม่รู้ หึหึหึ
22 ต.ค. 2562 เวลา 05.17 น.
ดูทั้งหมด