เคยมีคุณหมอโทรมาที่สำนักงาน
ลูกน้องเขียนขึ้นบนกระดานไว้ว่า
ผลเลือดไม่ค่อยดี ให้ไปพบหมอด่วน
ผมขับรถไปยังจุดหมายปลายทางซึ่งเขียนไว้บนกระดาน
นี่ชีวิตเรา…มาถึงจุดนี้ได้ยังไง ถ้าผลเลือดออกมาผิดปกติ เป็นโรคร้ายแรง เราจะทำยังไงกับชีวิตที่เหลือ เราจะทำยังไงให้ดีที่สุด และเราจะเผชิญความตายอย่างไรจึงจะสง่างามสมศักดิ์ศรี
ระหว่างขับรถไปสองชั่วโมง ก็คิดตริตรองไปตลอดทาง วันนั้นรถติดไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอีกต่อไป เมื่อเทียบกับปัญหาที่กำลังครุ่นคิดต่อชีวิต
เรื่องไหนก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าเราจะมีชีวิตอยู่อย่างไรในเวลาอันจำกัด
ต้องจัดลำดับความสำคัญให้ดีๆ
ใจคอไม่ค่อยดี แต่ก็นับว่ายังดีที่สามารถประคับประคองตัวเอง ให้ขับรถไปจนถึงจุดนัดหมายได้ตามเวลา แม้ใจจะเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ไปตลอดทาง
พอพบหน้าหมอยิ้มร่า บอกอยากเจอเลยโทรหา แล้วก็แกล้งล้อเรื่องผลเลือด ไม่คิดว่าจะเชื่อ เพราะผมไม่ได้ไปตรวจเลือดกับหมอท่านนี้ซักกะหน่อย
จริงด้วย…แสดงว่าภาวะนั้นสติมีอาการวิตกจนขาดปัญญา นั่นเป็นการทดลองซึ่งผมได้ตระหนักรู้ต่อชีวิตได้ดีทีเดียว
“ถ้ามาช้ากว่านี้อีกนิดเดียวอาจจะเสียชีวิต”
นี่ก็เป็นอีกคำพูดยอดนิยมจากคุณหมอที่โรงพยาบาล
ซึ่งจะว่าไปผมก็ไม่ค่อยจะเชื่อหรอกนะ เพราะได้ยินบ่อยจนเป็นคำสามัญประจำโรงหมอ
รู้อยู่ว่าชีวิตมีความเสี่ยง การพบแพทย์เป็นเรื่องสำคัญ การรักษาที่ถูกวิธี การปฐมพยาบาลเป็นสิ่งควรรู้จักหลักการ
แต่ความตายก็มักจะมีเงื่อนไข เงื่อนงำแปลกๆ อันเราควบคุมไม่ค่อยจะได้
ต่อให้ไปทันหมอก็มีหลายรายที่ไม่รอด หรือซ้ำร้ายอาจตายเพราะไปเจอหมอ คืออยู่บ้านอาจจะไม่ถึงตายก็ได้
อีกบางคนแทนที่จะได้ตายสบายๆที่บ้านกลับต้องไปทรมานในโรงพยาบาล
เท่าที่ถามๆ มาทุกคนมักจะบอกว่า ถ้าเป็นวาระสุดท้ายของชีวิต ก็ไม่คิดจะรักษา ไม่คิดจะยื้อยุด
แต่ปัญหายากที่สุด คือ
เราไม่รู้ว่าอาการที่เกิดกับญาติเราหรือตัวเรานั้นเป็นอาการอันเรียกว่าระยะสุดท้ายหรือยัง
ถ้ารู้แน่ว่าระยะสุดท้าย คงตัดสินใจไม่ยาก แต่ถ้าเราไม่มั่นใจว่ามันใช่หรือไม่ล่ะ
บางทีหากเกิดรักษาถูกวิธีแล้วหาย มันอาจจะยังไม่ใช่วาระสุดท้ายก็ได้
หลายคนเลยต้องสู้กันต่อไป ไม่เกรงใจเงินทองของหายาก แต่ก็พอหาใหม่ได้ ไม่เหมือนชีวิตที่ไม่รู้จะได้กลับคืนมาอีกหรือไม่
ชาติหน้าเป็นเช่นไรก็ไม่รู้แน่
คนที่ค้นพบอาการแล้วรู้ล่วงหน้า ได้รับรู้ว่าวาระสุดท้ายเหลืออยู่มากน้อยแค่ไหน จะว่าไปก็มีข้อดีตรงจะได้เตรียมตัว เตรียมใจ จัดการภาระอันคั่งค้าง ในกรณีที่ทำใจได้
แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ มันคงไม่ใช่เรื่องทำใจกันได้ง่ายๆ
จึงมีคำแนะนำว่า…เราควรต้องตริตรองเรื่องเหล่านี้บ้าง
ว่างๆ ก็หยิบเอาสมุดมาเขียนว่า หากล้มป่วยอยากให้รักษาแบบไหน แค่ไหน
อยากจัดงานศพตัวเองเช่นไร
วาระสุดท้ายอยากให้เปิดเพลงอะไร หรือบทสวดไหน ก็แล้วแต่ใจเราจะสั่งเสีย ทำเสียตั้งแต่อารมณ์ดีๆ ยังมีสติ
ถ้าไม่จำเป็นก็อย่ามัวเสียเวลาจัดงานวันเกิด ให้อัตตาเติบโตเลย งดๆ ลดลงได้ก็ดี ไม่ต้องฉลองให้เปลืองเค้ก ไม่ต้องเป่าเทียนให้แค่ดับไป วันเกิดอาจไปช่วยเหลือคนที่ลำบากหรือศพไร้ญาติก็ย่อมได้
เวลาไปงานศพ ไปนั่งปลง ไปฟังเทศน์ ไปเห็นชีวิตที่สิ้นลม ตามๆ กันไป
ความฝันสุดท้ายของชีวิตใครๆ ย่อมอยากตายอย่างสงบ แบบไม่ต้องพยายามยื้อยุด ถ้าหัวใจมันอยากหยุดก็ให้มันหยุด อย่าไปปั๊มให้มันเหนื่อย
ระหว่างนี้ก็อยากจะทำหนังสืองานศพตัวเองเก็บไว้ล่วงหน้า
เพราะว่าเป็นคนชอบอ่านหนังสืองานศพ
เลยคิดว่า ถ้าได้อ่านหนังสืองานศพตัวเองด้วยน่าจะดี
ก็ต้องพยายามรวบรวมทำให้เสร็จก่อนตาย
ตรวจดูปรับปรุงให้พอใจ ตายเมื่อไหร่ไม่ต้องเขียนเพิ่ม ไม่ต้องจัดงานให้มากเรื่องมากราว จัดง่ายๆ เสร็จไวๆ
ถ้าฝังก็ดี ฝังในที่ดินริมทะเลได้ก็ดียิ่ง
เผาเสียดายไฟ อากาศเป็นมลพิษด้วย
สั่งๆ ไว้ เตือนสติตนไปเรื่อยๆ เขาจะทำตามหรือไม่ ก็สุดแต่ใจของคนที่ยังอยู่
ตายแล้วก็คงไม่รู้เรื่องรู้ราว
แต่ถ้าถึงตอนใกล้ตาย แล้วมีคนพยายามจะมายื้อชีวิต
อันนี้ขอบอกไว้ก่อนว่า
ใครยื้อกูแช่ง
ติดตามบทความใหม่ ๆ จากศุ บุญเลี้ยง ได้ทุกวันพุธ บน LINE TODAY และหากสามารถอ่านบทความอื่นได้ที่เพจศุ บุญเลี้ยง
Wallop Danchaiyakul ชอบทั้งบทความ แต่สุดๆที่ใครยื้อกูแช่ง 5555
04 มี.ค. 2563 เวลา 08.14 น.
sri สั่งไว้ก่อนตายสิคะ ถ้าจะสิ้นลม ไม่ต้องยื้อ
04 มี.ค. 2563 เวลา 08.38 น.
อาเสาะ 5555 สั่งเหมือนกันเลย ใครยื้อกูแช่ง
04 มี.ค. 2563 เวลา 06.20 น.
sri เราเป็น อาจารย์ใหญ่ สบายมาก
04 มี.ค. 2563 เวลา 08.40 น.
พิราบขาว ก่อนตายเอาเงินมาให้หมอใช้หมดเกลี้ยง..สุดท้ายก็ตายอยู่ดี แถมทำให้คนใกล้ชิดลำบากกันถ้วนหน้าเพราะเงินกมดแล้ว..?...คำถามคือ..คุณจะเลือกตายแบบไหน..?
05 มี.ค. 2563 เวลา 16.37 น.
ดูทั้งหมด