นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ กล่าวระหว่างปาฐกถาวาระ 45 ปี 14 ตุลาคม ในหัวข้อ ประชาธิปไตยกับความท้าทายทางเศรษฐกิจของประเทศไทยระบุว่า ในช่วง 45 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยขยายตัวเกือบ 10 เท่า ความสำเร็จนี้ ในด้านหนึ่งทำให้พอใจได้ว่า ประเทศไทยเดินหน้ามาพอสมควร แต่อีกด้านหนึ่ง ถ้าพิจารณาโดยไม่เข้าข้างตนเองมากนัก คงต้องยอมรับว่า เศรษฐกิจเผชิญกับความท้ายทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก
ชี้ 3 ปัจจัยระเบิดเวลาศก.ประเทศ
เขากล่าวว่า ความท้าทายดังกล่าว แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก คือ ความท้าทายจากบริบทโลกที่ไม่เหมือนเดิมส่วนที่สอง คือ ความท้าทายจากปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศ กรณีส่วนที่สองนี้ จะเห็นว่า หลายปีที่ผ่านมา อาการของประเทศไทยเหมือนกับ "ผู้ป่วยเรื้อรัง"ที่รัฐบาลพยายามจ่ายยาหลายขนาน แต่อาการกลับไม่ตอบสนอง สาเหตุจากประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาหลายด้าน ซึ่งปัญหาเชิงโครงสร้างที่คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจเห็นว่า ต้องเร่งแก้ไข เพราะเหมือน"ระเบิดระเวลา"พร้อมจะเหนี่ยวรั้งการพัฒนาเศรษฐกิจได้ทุกเมื่อมีอย่างน้อย 3 เรื่อง
เรื่องแรก คือ ปัญหาความเหลื่อมล้ำ โดยตัวเลขและผลการศึกษาหลายหน่วยงานชี้ว่า ประเทศไทยติดอยู่ในกลุ่มที่มีปัญหาความเหลื่อมล้ำในระดับต้นๆของโลก โดยคนไทย 10% ประมาณ 7 ล้านคน มีชีวิตใต้เส้นความยากจน , คนไทย 10% ที่มีรายได้สูงสุดและต่ำสุด มีรายได้ห่างกันถึง 22 เท่า , คนไทยมากกว่า 75% ไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง ขณะที่ ฉโนดกว่า 61% อยู่ในมือคนแค่เพียง 10% และ เด็กไทยกว่า 6 แสนคน ต้องหลุดจากระบบการศึกษา เพียงเพราะผู้ปกครองไม่มีเวลาและเงินไม่พอส่งลูกเรียน
จีดีพีโตไร้คุณภาพเหตุเหลื่อมล้ำ
สาเหตุของปัญหาความเหลื่อมล้ำ ส่วนหนึ่งมาจากทิศทางการพัฒนาที่เน้นปริมาณอย่างอยาบๆที่แน้นแค่จีดีพี โตปีละมากๆ โดยไม่ดูคุณภาพ อีกด้านหนึ่ง การค้าเสรีที่ไร้กติกา ที่แต่ละคนมีทุนและโอกาสไม่เท่ากัน ทำให้การพัฒนาออกมาในลักษณะเศรษฐกิจยิ่งโต ผู้มีทุนมากกว่ายิ่งได้เปรียบ คล้ายกับ ถนนการค้าที่ขาดกฎจราจร สุดท้ายพื้นผิวถนนถูกยึดครองโดยรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ขขนาดใหญ่ที่คอยเบียดรถขนาดเล็กให้ต้องวิ่งตามไหล่ทาง
"ปัญหาความเหลื่อมล้ำนี้ ถือเป็นต้นตอของความขัดแย้งในโลกและไทย ช่วงที่ผ่านมา ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นอยู่บ่อยๆว่า เมื่อความเป็นอยู่ของคนในสังคมแตกต่างกันมาก ก็จะเพิ่มความเสี่ยงในการปะทะกัน เพื่อแย่งทรัพยากรในทุกระดับ"
สำหรับทิศทางสำคัญในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ คือ กระจายอำนาจให้ท้องถิ่นมากขึ้น การพัฒนาหัวเมืองในภูมิภาค เพื่อไม่ให้เกิดการพัฒนากระจุกตัวในแค่กรุงเทพ ในระดับชุมชน ก็ต้องเพิ่มความแข็งในทุกมิติต่างๆ ระดับบุคคลก็ต้องเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร แรงงานยากจน และ ฐานราก เพื่อให้ยืนอยู่บนขาของตัวเองได้
ศักยภาพการเติบโตลดลง
เรื่องที่สองนั้น ในช่วงทศวรรษก่อนวิฤตต้มยำกุ้งปี 2540 เศรษฐกิจไทยเติบโตเฉลี่ยมากกว่า 9% ต่อปี แต่ช่วงเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา อัตราการเติบโตวนเวียนอยู่ในระดับ 4% สะท้อนศักยภาพทางเศรษฐกิจที่ลดลงชัดเจน ขณะที่ คู่แข่งในภูมิภาคพัฒนาตัวเองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และ ถ้าไม่เร่งพัฒนา เป็นไปได้ว่า ไทยอาจไม่สามารถแข่งขันกับใครได้
"มองอนาคตยิ่งท้าทาย เพราะไทยเริ่มก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย สภาพัฒน์ชี้ว่า ภายในปี 2583 คนไทย 1 ใน 3 จะมีอายุมากกว่า 60 ปี และ ธนาคารโลกมองว่า ค่ากลางของอายุคนไทยจะเพิ่มจาก 38 เป็น 49 ปี หมายความว่า ฐานกำลังคนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจะน้อยลง ขณะที่ ประเทศในภูมิภาคประชากรส่วนใหญ่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว ในเชิงเศรษฐกิจจึงเปรียบเอาคนแก่ไปสู่แรงกับคนหนุ่มสาว ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ที่น่าห่วง คือ โอกาสที่คนไทยจะแก่ก่อนรวมและจนตอนแก่ จะมีมากขึ้น"
ภาครัฐไม่เอื้อ
เรื่องที่สาม คือ กลไกและบทบาทของภารรัฐไม่เอื้อต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ กรณีคงปฏิเสธไม่ได้ว่า บริบทเศรษฐกิจในปัจจุบันต่างจากอดีตมาก และ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดนิ่ง สถาบันด้านเศรษฐกิจหลายส่วนที่เคยออกแบบไว้ในอดีต อาจไม่สามารถตอบโจกท์ประเทศภายใต้บริบทใหม่ ให้สอดคล้องกับจังหวะการเดินหน้าของประเทศ
บริบทโลกเปลี่ยนจุดสำคัญความท้าทาย
สำหรับความท้าทายในส่วนแรก คือ ความท้าทายจากบริบทโลกที่ไม่เหมือนเดิมนั้น การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา ทำให้รู้สึกว่า โลกที่เราอยู่ไม่เหมือนเดิม ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมและการดำเนินชีวิตของคนในสังคม รวมทั้ง รูปแบบการทำธุรกิจ ด้านหนึ่งได้ทำให้ธุรกิจและงานหลายประเภทหายไป
ทั้งนี้ บริษัท Mckinsey ประเมินว่า ช่วงปี ค.ศ.2016-2030 แรงงานประมาณ 15%หรือ 400 ล้านคนทั่วโลกจะถูกแทนด้วยระบบอัตโนมัติ อีกด้านหนึ่งก็ทำให้เกิดธุรกิจและมีอาชีพใหม่ ที่เมื่อก่อนเราไม่เคยได้ยิน เช่น Data scientist , Talent acquisition specialist นอกจากนี้ รูปแบบในการทำงานก็จะเปลี่ยนไปด้วย โดยใน 10 ปีข้างหน้า คาดว่า คนอเมริกามากกว่าครึ่งจะเลือกทำงานเป็นFreelance แทนงานประจำตามออฟฟิศ
การเปลี่ยนแปลงศูนย์อำนาจเศรษฐกิจและการเมืองโลก นับตั้งแต่สงครามเย็นจบลง คาดกันว่า ศูนย์กลางเศรษฐกิจโลกจะทยอยย้ายมาที่เอเชีย โดยภายในปี ค.ค.2030 คาดขนาดเศรษฐกิจจีนและอินเดียรวมกันจะประมาณ 1 ใน 4 ของโลก และ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นส่งผลต่อทิศทางการค้าโลก สหรัฐอเมริกาที่เคยสนับสนุนการค้าเสรี กลับตั้งกำแพงภาษีกีดกันการนำเข้า จนบรรยากาศการค้าโลกอึมครึม และ สร้างความผันผวนในตลาดเงินและตลาดทุนโลก
นอกจากนี้แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจที่สนับสนุนกระบวนการGlobalization ทำให้ตลาดการค้า การลงทุน และ ตลาดการเงินระหว่างประเทศมีความเชื่อมโยงและซับซ้อนขึ้น การรับและส่งผลกระทบระหว่างกันเป็นไปอย่างรวดเร็วและง่ายขึ้น เหมือนเราอยู่ในที่แออัดย่อมติดเชื้อหวัดได้ง่ายและ อีกด้านก็ทำให้เศรษฐกิจและการค้าขยายตัวมากขึ้น แต่ต้องยอมรับว่า ภายใต้การเติบโต ผลประโยชน์ของการพัฒนากระจายไม่ทั่วถึง ซึ่งส่วนหนึ่งทำให้เกิดBrexisและการชนะการเลือกตั้งของนักการเมืองที่ใช้นโยบายประชานิยมในหลายประเทศ
"ผมคิดว่า ความท้าทายส่วนแรกที่ประเทศไทยต้องเผชิญในระยะต่อไป คือ บริบทโลกที่ไม่เหมือนเดิม โลกที่มีการเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าสปีดเดิมที่เราคุ้นชินมาก เป็นโลกที่ซับซ้อน ผันผวน และ ยากที่จะคาดเดาอนาคตได้ชัดเจน"
ชี้ระบอบประชาธิปไตยเริ่มสั่นคลอน
เขากล่าวด้วยว่า มองย้อนกลับไปอาจกล่าวได้ว่า ในช่วงหลังตุลาคม 2516 จนถึง เหตุการณ์พฤษภา 2535 เป็นช่วงที่ประชาชนส่วนใหญ่เห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ระบอบประชาธิปไตยที่รัฐบาลมาจากการเลือกตั้งเป็นรูปแบบการปกครองที่เหมาะสมกับประเทศไทย นำมาสู่การผลักดันรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองมากที่สุด
แต่ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ฉันทามติร่วมกันของคนในสังคมที่ว่า ประชาธิปไตยเป็นระบอบการเมืองที่นำพาประเทศไปสู่สังคมที่พึงปรารถนานั้น เริ่มไม่ชัดเจน โดยท่ามกลางปัญหาการเมืองในประเทศกว่าสิบปี คนไทยจำนวนไม่น้อยอาจรู้สึกกังวลใจและหดหู่กับสภาวะบ้านเมืองที่แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย และคนไทยอีกจำนวนไม่น้อยก็อาจรู้สึกอึดอัดที่เหมือนถูกบังคับให้ต้องเลือกข้าง ระหว่างที่ข้างหนึ่งที่ยังเชื่อว่า ประชาธิปไตยยังเป็นคำตอบของประเทศและอีกข้างเริ่มเสื่อมศรัทธากับประชาธิปไตย เพราะเห็นว่า การเลือกตั้งที่ผ่านมา เปิดโอกาสให้นักการเมืองที่ขาดความรับผิดชอบเข้ามากุมอำนาจรัฐ
"การที่ศรัทธาในระบอบประชาธิปไตยสั่นคลอนเกิดจากปัจจัยอย่างน้อย 3 ประการ คือ ผลของกระบวนการโลกาภิวัตน์ วิกฤตการเงินโลกและการแบ่งขั้วทางความคิดในสังคมที่ชัดเจนขึ้น แต่แนะนำให้มองประชาธิปไตยอย่างมีข้อจำกัด เชื่อยังเป็นระบอบการเมืองที่มีพลัง แม้ว่า 45 ปีนับจาก 14 ตุลา ปัญหาการเมืองหลายเรื่องไม่น้อยลงแต่กลับเพิ่มขึ้น"
อุ้ม◉‿◉man🔴w โทษระบอบประชาธิปไตย? โทษนักการเมือง? แล้วที่ยึดอำนาจเข้ามาอยู่กันตอนนี้มันดีกว่าตรงไหน? โกง ไม่ต่างกัน แถมโกงแล้วเดินขบวนประท้วงก็ไม่ได้ ตรวจสอบก็ไม่ได้ ไล่ออกก็ไม่ได้ บรรดาคนสนิททั้งหลายก็ขึ้นแท่นกุมอำนายหน่วยงาน แถมบริหารเศรษฐกิจก็ไม่เป็น เพราะที่ผ่านมาผู้มีอำนาจเหล่านี้มีอาชีพหลักคือรับราชการ ฝนตกแดดออก พายุเข้าก็ได้รับเงินเดือนไม่ขาดจากภาษีประชาชน พอถึงเวลาต้องมาหาเงินเองเลยทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง
15 ก.ค. 2561 เวลา 13.46 น.
" 吳鍚榮 "Punnaphop" คุณประสาร เป็นคนสายไหน เข้าใจว่าหลายคนคงพอจะรู้ ท่านพูดได้ดี แต่ท่านก็ไม่ได้ทำ เหมือนพรรคเก่าแก่ ที่สุดของ ประเทศไทย
15 ก.ค. 2561 เวลา 12.17 น.
Maas⚙️⚙️⚙️ พูดได้ ไม่ได้ทำ ไม่มีประโยชน์แค่เรื่องเล่าพักกลางวัน อยากได้ต้องลงมือทำ
15 ก.ค. 2561 เวลา 12.03 น.
เพิ่งรุ้ ทหารกลับเข้ากลม ใคร รปห ออกกฎเเลยถือว่าเป็นกบฎ เพร่ะถือว่าทรยศ ปชช พรรค ปชป ยุบทิ้ง เพราะมันทำรัยไม่เคยผิด หัวหน้าพรรคหนีทหาร มันยังไม่ผิดเรย
15 ก.ค. 2561 เวลา 11.58 น.
Chulabhath สุดยอด ชาวบ้านเขาก็เห็น แต่ที่ทำอะไรไม่ได้ ปัจจัยการเมืองถูกทุนครอบงำ บงการเศรษฐกิจจนเดินไปในคอนโทรลโดยทุนใหญ่ เทคโนโลยีก็มาแรงจนสังคมเสื่อม ดังนั้น ดัชชนีตัวชี้วัดไม่ดีขึ้นแน่นอน
15 ก.ค. 2561 เวลา 11.04 น.
ดูทั้งหมด