Crip theory หรือทฤษฎีคริพ ถือกำเนิดขึ้นราวปี 2000 โดย Robert McRuer ศาสตราจารย์ด้านภาษาอังกฤษแห่งมหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ‘คริพ’ มาจากการตัดพยางค์แรกของคำว่า cripple ซึ่งซ่อนความหมายเชิงลบ ใช้เรียกบุคคลผู้มีความพิการทางร่างกาย
แม็กครูเออร์พัฒนาทฤษฎีคริพไปพร้อมกับความสนใจในทฤษฎีเควียร์ จึงใช้แนวทางเดียวกันในการตั้งชื่อทฤษฎีที่เขาคิดค้นขึ้นมาใหม่ เควียร์เคยมีความหมายลบอย่างที่ตัวละครเอกในภาพยนตร์เรื่องBrokeback Mountain พูดว่า“You know I ain’t queer.” หลังจากมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนเพศเดียวกัน พยายามปฏิเสธว่าตัวเองไม่ใช่พวกแปลกประหลาด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเพราะความเหงาชั่วครั้งคราวเท่านั้น
คนที่มีความหลากหลายทางเพศนำคำว่าเควียร์มาใช้โดยสร้างความหมายใหม่ที่เป็นบวก การสร้างคำอื่นมาแทนที่ไม่ได้ช่วยขจัดความคิดลบๆ ต่อLGBTQ+ ให้หมดไป วิธีที่ดีกว่าคือการรื้อสร้างคำนี้และร่วมสร้างการตระหนักรู้แก่สังคมว่าเควียร์ก็มีความหมายที่ดีได้ แม็กครูเออร์เลือกใช้คำว่าคริพด้วยเหตุผลเดียวกัน นำคำที่ใช้เหยียดหยามความพิการย้อนกลับมาแจกแจงสร้างความเข้าใจอันดีให้แก่สังคม
แม็กครูเออร์ชี้ว่าผู้พิการและผู้มีความหลากหลายทางเพศมีประสบการณ์คล้ายกัน ถูกกีดกันให้เป็นคนชายขอบในสังคมด้วยกลไกของระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมหรือทุนนิยมที่มุ่งเน้นการผลิตสินค้าจำนวนมหาศาลให้เพียงพอกับความต้องการของผู้บริโภค ความรักต่างเพศมีคุณค่าในระบบนี้เพราะสามารถผลิตแรงงานให้แก่สังคม ส่วนLGBTQ+ ไปตัดตอนการสืบพันธุ์ ทำให้แรงงานลดลง จึงโดนเหยียด
ตัวชี้วัดคุณค่าของบุคคลหนึ่งในระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมและทุนนิยมประเมินได้จากศักยภาพในการผลิต ผู้พิการถูกตัดสินว่าไร้ความสามารถก็เพราะวิธีคิดแบบนี้ สังคมมองว่าความรักต่างเพศเป็นค่ามาตรฐานและความรักเพศเดียวกันเป็นความเบี่ยงเบน อีกทั้งคิดว่าการมีอวัยวะครบ32 เป็นความสมบูรณ์และความพิการเป็นความบกพร่อง นี่คือความสัมพันธ์ที่คริพกับเควียร์มีร่วมกัน
ในบทหนึ่งของหนังสือ Crip Theory: Cultural Signs of Queerness and Disability แม็กครูเออร์อ้างถึงวิธีสอนการเขียนรายงานในมหาวิทยาลัย ผู้สอนมักกำหนดรูปแบบชัดเจนตายตัวว่าต้องมีคำนำ เนื้อหา และบทสรุป การวัดผลก็พิจารณาดูว่าประเด็นต่างๆ เชื่อมโยงอย่างมีเหตุผล ความคิดหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเพื่อนำไปสู่ข้อโต้แย้งหลัก แต่การเขียนไม่ได้เป็นลักษณะนี้เสมอไป การวางกฎเกณฑ์ทำให้ชีวิตง่ายขึ้นจริง แต่ในทางกลับกันก็ส่งเสริมกระบวนการคิดให้เราเหยียดความแตกต่าง
แม็กครูเออร์ย้ำว่าเราควรศึกษาการทับซ้อนของความหลากหลายทางเพศและความพิการประกอบกัน ในขณะที่ทฤษฎีคริพได้รับความสนใจจากสังคม ฮอลลีวูดก็ปล่อยภาพยนตร์เรื่องThe Family Stone ออกมาในปี 2005 เรื่องนี้เป็นหนังครอบครัวซึ้งปนเศร้า เสนอเรื่องราวของหญิงสาวจากมหานครนิวยอร์กชื่อ Meredith เปิดเรื่องมาช่วงคริสต์มาส เมเรดิทกำลังเดินทางไปพบครอบครัวของแฟนหนุ่มที่เธอจะแต่งงานด้วย
แฟนของเธอมาจากครอบครัวใหญ่ มีพี่น้องหลายคน เมเรดิทกังวลว่าพวกเขาจะไม่ชอบเธอซึ่งอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ ตอนกินอาหารเย็นก็คุยกันเรื่องน้องชายคนสุดท้องของครอบครัวชื่อ Thad ที่เป็นเกย์และหูหนวก พ่อกับแม่เปรยว่าอยากให้ลูกทุกคนเป็นเหมือนแท็ด เมเรดิทพยายามสร้างความประทับใจโดยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนา แต่ผิดคิวพูดทำนองว่าโลกโหดร้ายจะแย่ ไม่น่ามีพ่อแม่คนไหนอยากให้ลูกเป็น ‘แบบนี้’ แล้วชี้ไปที่แท็ด
คำพูดของเธอจุดชนวนให้อาหารเย็นมื้อนั้นพังพินาศ ‘แบบนี้’ มีความกำกวมว่าเธอหมายถึงความบกพร่องทางการได้ยินหรือการเป็นคนรักเพศเดียวกัน เมเรดิทรู้ตัวว่าสิ่งที่พูดฟังดูแย่มาก ก็พยายามอธิบายเพิ่มเติมว่าปัญหามันทับซ้อนกันหลายอย่าง เธอแค่สงสัยทำไมพ่อแม่พูดเหมือนอยากให้ลูกไปเผชิญปัญหานานัปการ หากเลือกได้ ‘ความปกติ’ ไม่ดีกว่าเหรอ
ผู้กำกับกำหนดให้สมาชิกของครอบครัวนี้ทุกคนเป็นคนหัวก้าวหน้า รักอิสระ เสรีนิยม แล้วหย่อนตัวละครว่าที่สะใภ้ผู้มีลักษณะสุดโต่งตรงกันข้าม(antithesis) เหยียดเพศ เหยียดความพิการ ครอบครัวของแฟนเธอก็เหยียดเมเรดิทกลับว่ามีความคิดคร่ำครึ ไม่เท่าทันพวกเขา ฉากทะเลาะกันในหนังเรื่องนี้แสดงปมขัดแย้งที่ใหญ่กว่านั้นในสังคม การปะทะกันทางความคิดระหว่างฝ่ายอนุรักษนิยมกับเสรีนิยม สุดท้ายหนังจบด้วยการเรียนรู้และการประนีประนอม อารมณ์อบอุ่นตามสไตล์หนังเทศกาลคริสต์มาส
วัฒนธรรมเกย์ให้ความสำคัญกับเรือนกายมาก การศึกษาหลายชิ้นแสดงการเชื่อมโยงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์กับการประกอบสร้างเรือนกายของเกย์ นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ นักวิชาการประจำศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ยกตัวอย่างกรณีศึกษาประกอบดังนี้ ตอนวัฒนธรรมฟิตเนสได้รับความนิยมในสหรัฐอเมริกาช่วง1960s นิตยสารเกย์ถ่ายทอดภาพเรือนร่างบึกบึนของผู้ชายที่เกย์พึงมี ช่วง1970s ผสมกลิ่นอายของฮิปปี้ ไว้ผมยาว บางทีก็มีหนวด จนถึงช่วง1980s ที่เรียกร้องการยอมรับและสิทธิทางกฎหมาย เกย์หันกลับมาแต่งตัวสะอาดเรียบร้อย
หากดูจากกรอบความคิดเรื่องวัฒนธรรมเรือนกาย ภาพยนตร์The Family Stone ไม่ได้ก้าวหน้าหลุดกรอบมากมายนักเรื่องการผนวกความสัมพันธ์เชิงซ้อนระหว่างความพิการและความหลากหลายทางเพศ แม้ว่าตัวละครแท็ดจะมีความบกพร่องทางการได้ยิน แต่ความพิการถูกประกอบสร้างให้ดูเย้ายวนด้วยเรือนร่างของนักแสดงที่ฟิตสมส่วน หน้าตาน่ารัก แต่งกายสะอาดดูดี อยู่ในค่ามาตรฐานของวัฒนธรรมเกย์มาก ในความเป็นจริงผู้พิการไม่ได้มีรูปร่างแบบแท็ดกันทุกคน
ซีรีส์เรื่องSpecial ที่เริ่มออกอากาศทางเน็ตฟลิกซ์ในปี 2019 นำเสนอเรื่องราวของเกย์ที่มีความบกพร่องทางร่างกายได้ดีมีชั้นเชิงกว่า ซีรีส์นี้ดัดแปลงมาจากบันทึกความจำเรื่องI’m Special: And Other Lies We Tell Ourselves ถ่ายทอดชีวิตและประสบการณ์จริงของ Ryan O’Connell นอกจากนี้โอคอนเนลล์ยังผันตัวมานั่งแท่นผู้อำนวยการผลิต มือเขียนบท และนักแสดงนำในซีรีส์เรื่องนี้อีกด้วย
Special เสนอเรื่องราวของเกย์ร่างอวบชื่อไรอัน เขาเกิดมาพร้อมภาวะสมองพิการ หรือ cerebral palsy ไรอันมีความผิดปกติทางการเคลื่อนไหว กล้ามเนื้อเกร็ง และข้อต่อยึด เวลาจะก้มผูกเชือกรองเท้าทีก็ทุลักทุเล ไรอันเคยถูกรถชนด้วยข้อจำกัดทางร่างกายที่เคลื่อนไหวไม่สะดวกแต่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก จนเมื่อไปฝึกงานที่บริษัทนิตยสารEggwoke เขาจึงถือโอกาสโกหกทุกคนว่าร่างกายเป็นแบบนี้เพราะอุบัติเหตุ ไม่ใช่ความพิการแต่กำเนิด
ตอนที่7 ของซีซั่นแรกชื่อ ‘นัดบอดใบ้’ โอลิเวีย บรรณาธิการนิตยสารตัวแสบแอบได้ยินว่าไรอันอยากมีแฟน เลยช่วยจัดการนัดบอด (blind date) ให้เขาพบกับเกย์อีกคนที่เธอรู้จักและคิดว่าทั้งคู่เหมาะสมกันมาก เมื่อไปถึงร้านอาหารไรอันค้นพบว่าโอลิเวียนัดให้เขาไปเจอหนุ่มกล้ามแน่นหน้าตาเหมือนนายแบบ Abercrombie & Fitch ชื่อไมเคิล ผู้มีความบกพร่องทางการได้ยิน มาเดตพร้อมกับล่ามภาษามือ
ไมเคิลพูดติดตลกว่าเขาเคยเจอแต่นัดใบ้ ไม่เคยมีประสบการณ์นัดบอด เขารู้สึกตื่นเต้น ทำตัวไม่ค่อยถูก ส่วนไรอันโกรธโอลิเวียมาก เหมือนโดนเธอตบหน้าอย่างรุนแรง โอลิเวียคิดว่าเขาสองคน ‘เหมาะสม’ เพียงเพราะพิการเหมือนกันโดยไม่คำนึงถึงปัจจัยอื่น เป็นวิธีคิดที่หยาบหยาม เมื่อไรอันกลับถึงออฟฟิศก็ต่อว่าโอลิเวียยกใหญ่
บทสนทนาของทั้งคู่ตอนนี้น่าสนใจมาก ไรอันปฏิเสธภาวะบกพร่องของร่างกายตนเอง บอกว่าเป็นความผิดปกติที่ไม่รุนแรง แล้วเหวี่ยงใส่โอลิเวียที่กล้านัดเขาให้ไปเจอกับคนที่พิการกว่า“I’m not disabled. I still do better than a deaf guy.” ส่วนโอลิเวียก็แย้งว่า ถึงไมเคิลจะไม่ได้ยินแต่ส่วนอื่นดีมากนะ กล้ามแน่นและจู๋ใหญ่ เป็นตัวท็อปในวงการ ไรอันควรจะดีใจที่ได้รับโอกาสนี้ เลิกโวยวายเหมือนเด็กน้อยได้แล้ว
สองคนแสดงให้เห็นว่าความพิการมีมิติแบ่งแยกชนชั้น ความพิการที่ไม่แสดงหลักฐานทางกายภาพชัดเจนนั้นดีกว่า น่าสังเกตว่าบทบาทของโอลิเวียในซีรีส์Special คล้ายคลึงกับเมเรดิทจากภาพยนตร์The Family Stone ทั้งสองเป็นผู้หญิงผิวขาวยุคใหม่ ทำงานเก่ง อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ เหมือนหัวก้าวหน้าแต่ความคิดล้าหลัง ผู้กำกับพร้อมใจกันหยิบยื่นบท ‘ศัตรู’ ผู้เสแสร้งแกล้งทำให้ผู้หญิงลักษณะแบบนี้เป็นตัวถ่วงความเจริญของคริพกับเควียร์
ซีรีส์เรื่องSpecial สร้างปมขัดแย้งให้ซับซ้อนยิ่งขึ้น ผู้ชมถูกกระตุ้นให้สำรวจว่าระหว่างความพิการกับเพศสภาพสิ่งไหนรบกวนจิตใจไรอันมากกว่ากัน“I was in the closet about being gay, and then I was in the closet about being disabled, and now no more closets.” เขาปกปิดเพศสภาพของตนเอง แล้วก็ต้องมาหลอกคนอื่นเรื่องความพิการทางร่างกาย การเดินทางของตัวละครคือการเรียนรู้ยอมรับตัวตนและอยู่กับสิ่งที่สังคมมองเป็นความเบี่ยงเบนจากมาตรฐานถึงสองอย่างในคราวเดียว
ไรอันเปิดใจยอมรับความพิการได้ยากลำบากกว่าเรื่องเพศสภาพ ณ จุดหนึ่ง ทุกคนรู้ เพื่อนร่วมงานรู้ แฟนคลับรู้ ไรอันเป็นเกย์ ไม่ใช่สิ่งที่น่าละอายสำหรับเขาอีกต่อไป ฉากหนึ่งที่ไรอันมีเพศสัมพันธ์กับชายหนุ่มขายบริการ เขาเคอะเขินตอนถอดเสื้อผ้าเปิดเผยร่างกาย ความเปลือยเปล่าบ่งชี้ความเบี่ยงเบนจากค่ามาตรฐานและแสดงความเปราะบางทางอารมณ์ของตัวละครเป็นอย่างดี เขาไม่อาจหลบซ่อนได้อีกต่อไป
การ come out ไม่ได้โฟกัสที่การเปิดเผยเพศสภาพของไรอัน แต่ไปเน้นการcome out ความพิการเสียมากกว่า เหตุการณ์ที่ผลักดันให้ไรอันประกาศความบกพร่องทางร่างกายให้เพื่อนร่วมงานทราบคือตอนชายหนุ่มที่เขาแอบชอบนั่งลงผูกเชือกรองเท้าให้ หนังจำลองฉากซินเดอเรลลาเบาๆ แต่เป็นเวอร์ชั่นกระอักกระอ่วนไม่ชวนฟินเท่าไหร่ ไรอันรู้สึกว่าเจ้าชายช่วยเหลือเขามากเสียจนรู้สึกผิดที่โป้ปดมาตลอด ผลักเจ้าชายหัวทิ่ม แล้ววิ่งโขยกเขยกหนีไป
การใช้รองเท้ายืนยันตัวตนเป็นอะไรที่คลาสสิก มีมาตั้งแต่เทพนิยายซินเดอเรลลา พ่อมดแห่งออซ จนมาถึงซีรีส์เรื่องนี้ ชายหนุ่มช่วยผูกเชือกรองเท้าทำให้ไรอันตระหนักรู้ว่าผู้อื่นรักเขามากกว่าที่เขารักตัวเอง คนที่มีปัญหากับความพิการมากที่สุดคือตัวเขาเอง ดังนั้นไรอันจึงเริ่มต้นแก้ปัญหาที่ตัวเองก่อน หากอยากได้ความจริงใจจากผู้คนรอบข้าง เขาต้องซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกนึกคิดของตัวเองก่อนถึงจะยุติธรรมกับทุกฝ่าย
ความน่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือ เพื่อนคู่คิดที่อยู่ข้างกายเกย์ที่มีความบกพร่องทางร่างกายทั้งในภาพยนตร์เรื่องThe Family Stone และซีรีส์Special เป็นตัวละครผิวสี แท็ดมีหนุ่มผิวสีเป็นคู่สมรส ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาในเมืองบอสตันและวางแผนจะรับอุปการะบุตรร่วมกัน ส่วนไรอันมี ‘คิม’ สาวพลัสไซส์ผิวสีเป็นเพื่อนคู่คิดคอยให้คำปรึกษา สื่อว่าคนที่แปลกแยกในสังคม ไม่ว่าจะด้วยเหตุด้านเชื้อชาติ เพศสภาพ ทุพพลภาพ สามารถเข้าใจกันได้ดี
ความหลากหลายทางเพศไม่ได้ยืนแยกอย่างโดดเดี่ยวอีกต่อไปในปัจจุบัน ความสลับซับซ้อนสร้างความสวยงาม เพิ่มเฉดสี และขับเคลื่อนให้การศึกษาเรื่องนี้พัฒนาก้าวหน้าต่อไปไม่หยุด
Highlights
- ทฤษฎีคริพ (Crip theory) เกิดขึ้นในช่วงปี 2000 โดยนักวิชาการชาวอเมริกันชื่อ Robert McRuer เพื่อใช้ศึกษาความพิการควบคู่ไปกับความหลากหลายทางเพศ
- ความสัมพันธ์ระหว่างเควียร์กับคริพคือสังคมมองว่าความรักต่างเพศเป็นค่ามาตรฐานและความรักเพศเดียวกันเป็นความเบี่ยงเบน การมีอวัยวะครบ32 เป็นความสมบูรณ์และความพิการเป็นความบกพร่อง
- ทั้งLGBTQ+ กับผู้ที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพต่างถูกกีดกันให้เป็นคนชายขอบของสังคมด้วยระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมหรือทุนนิยม
- เข้าใจควิพกับเควียร์ผ่านบทวิเคราะห์ภาพยนตร์เรื่องThe Family Stone ของThomas Bezucha และซีรีส์เรื่องSpecial ของRyan O'Connell ที่ออกอากาศทางเน็ตฟลิกซ์
Manty2019 เกิดมามี2เพศครับ มนุษย์ถึงมีวันนี้ ถ้าหลากหลายทางเพศตั้งแต่เริ่มแรก อดัม กับ อีฟ ไม่เยกัน ป่านนี้ คนก็คงสูญพันธุ์ ไปนานแล้ว เพศที่3 ก็คือเด็กๆที่เห็นพฤติกรรมผู้ใหญ่ และยังไม่มีเกาะป้องกันทางสังคม ไม่รู้หญิงชายจริงๆเป็นยังไง เห็นในมือถือ ในโทรทัศน์ ก็เลียนแบบ เอวัง
02 ก.ค. 2563 เวลา 21.52 น.
ป่วยก็ไปหาหมอนะครับ สังคมยินดีให้อภัย
03 ก.ค. 2563 เวลา 02.36 น.
Mr.NAME ความผิดปกติทางเพศแบบต่างๆมันไม่สำคัญกว่าการกระทำที่ไม่ชี้นำสังคมไปในทางที่ดี การแสดงออกและความคิดควรอยู่ในกรอบหลักของสังคมและวัฒนธรรมอันดี สังคมไม่ควรปิดกั้น และไม่ส่งเสริมลักษณะที่ชัดเจน กลุ่มคนเหล่านี้ไม่ควรแยกเป็นเพศ แต่เป็นกลุ่มคือแยกย่อยจากกลุ่มหลัก อื่นๆอีกมากมาย
03 ก.ค. 2563 เวลา 01.53 น.
ดูทั้งหมด