สำหรับบางพื้นที่ การมีน้ำสะอาดใช้เหลือเฟือถือเป็นชีวิตหรูหราที่บางคนไม่กล้าฝัน
และหากตีเป็นจำนวนตัวเลข 1 ใน 10 ของประชากรโลก หรือมนุษย์กว่า 748 ล้านคนที่ต้องใช้ชีวิตโดยแทบไม่มีน้ำสะอาด
วันที่ 22 มีนาคม 2564 ตรงกับ“วันน้ำโลก” หรือ “World Water Day” เป็นวันที่กำหนดขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนตระหนักถึงน้ำ และปัญหาขาดแคลนน้ำที่คนจำนวนมากยังต้องเผชิญอยู่ทุกวี่วัน
- ไม่ใช่แค่ขาดน้ำ ยอดผู้เสียชีวิตที่ต้องตายจากแหล่งน้ำสกปรกยังมีจำนวนมากกว่ามนุษย์ที่ตายในสงครามเสียอีก
- ประชากร 1 ใน 4 ของโลกแทบไม่มีห้องน้ำสะอาดใช้
- โรคท้องเสียที่เกิดจากการบริโภคน้ำไม่สะอาด คร่าชีวิตเด็ก ๆ อายุต่ำกว่า 4 ปีทั่วโลก มากกว่าโรคเอดส์และมาลาเรียรวมกัน
- มีประชากรจำนวน 2 ล้านล้านคน อาศัยอยู่ในประเทศที่เคยเกิดวิกฤตขาดแคลนน้ำ หรือกำลังเผชิญวิกฤตอยู่ขนาดนี้
สถิติเหล่านี้ดู “โอเวอร์” และแสนไกลตัว แต่จากข่าวและสื่อ หลายคนคงเคยเห็นความสาหัสของทวีปแอฟริกายามขาดน้ำ (และอาหาร) ขอให้ทดภาพเหล่านั้นไว้ในใจ แล้วมาดูเรื่องราวของ “Day Zero วันขาดน้ำ” ในประวัติศาสตร์เคปทาวน์ ที่สะท้อนความจริงของวิกฤตน้ำหมดโลกได้เลวร้ายที่สุด
Day Zero
ด้วยสภาพอากาศที่แห้งแล้งและวันฝนตกที่มีอยู่อย่างจำกัด ทำให้เมื่อหน้าแล้งมาถึงทีไร น้ำสำหรับการกินการใช้แทบไม่พอใช้ในทวีปแอฟริกา ยกตัวอย่างเหตุการณ์ครั้งสำคัญก็อย่างเช่นปรากฏการณ์ "Day Zero" ที่เมืองเคปทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้ (Cape Town, South Africa)
ย้อนกลับไปเมื่อช่วงเดือนมกราคมปี 2018 เทศบาลของเมืองออกประกาศว่าหลังจากนี้อีกเพียง 3 เดือน น้ำกินน้ำใช้กำลังจะหมด และพวกเขากำลังนับถอยหลังสู่ "Day Zero หรือวันที่ไม่มีน้ำประปาไหลจากก๊อก" ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ในปีเดียวกัน
ทางรัฐบาลเลยออกนโยบายให้ภาคประชาชนช่วยกันลดการใช้น้ำอย่างจริงจัง ทั้งขอให้งดการแช่น้ำ ไม่อาบน้ำทั้งตัว จำกัดเวลาในการอาบน้ำเพียงแค่ 2 นาที รวมไปถึงการงดใช้น้ำอย่างสิ้นเปลืองในการทำสวนหรือเติมสระว่ายน้ำ ซึ่งผลจากการได้รับความร่วมมืออย่างแข็งขันที่ทำให้ปริมาณการใช้น้ำตกลงไปถึง 30% ประกอบกับความช่วยเหลือจากธรรมชาติที่ส่งฝนโปรยปรายลงมาได้ทันเวลา เวลา 90 วันสู่ภาวะ Day Zero ในเคปทาวน์ ทั้งเมืองก็รอดจากเหตุการณ์นี้มาได้อย่างหวุดหวิดพร้อมกับบทเรียนครั้งสำคัญในการจัดการทรัพยากรน้ำให้มีประสิทธิภาพขึ้นและพฤติกรรมการใช้น้ำที่เปลี่ยนแปลงไปของทุกคน
วิกฤตน้ำในไทย
กลับมามองไทย ที่ภัยแล้งปีนี้สาหัสกว่าปีไหน ๆ กระทบจังหวัดต่าง ๆ มากกว่า 14 จังหวัด และอาจกินระยะเวลายาวนานจนถึงเดือน มิ.ย. เพราะฝนน่าจะตกน้อยกว่าปกติ ดังนั้นภูมิภาคการเกษตรอย่าง เหนือ กลาง ตะวันออกเฉียงเหนือ และใต้ตอนบนอาจประสบปัญหามากกว่าปกติ ส่วนหนึ่งมาจากปรากฎการณ์ “เอลนีโญ” ที่มาถึงเร็วกว่าปกติ ซึ่งพื้นที่ที่น่าจะรับบทหนักกว่าที่อื่นคือ ภาคอีสาน หรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั่นเอง
ไม่ใช่แค่ความแห้งแล้ง แต่ค่าความเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยาในบางพื้นที่ก็สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานเกินกว่าจะใช้สอย อย่างปัญหา “น้ำประปาเค็ม” ที่เคยเกิดขึ้นราวต้นปีที่ต่อให้นำไปกรองหรือต้ม ก็ไม่ได้ทำให้ความเค็มลดลงแต่อย่างใด
วิกฤตน้ำยังไม่ได้ทำให้ “น้ำหมด” เพียงอย่างเดียว แต่ทำให้เกิดความแห้งแล้ง ซึ่งเป็นอุบัติภัยลูกโซ่ที่ทำให้เกิดความเสียหายต่าง ๆ ตามมา เช่นความเสียหายในการเกษตร โดยเฉพาะในประเทศเกษตรอย่างไทย ส่งผลต่อเศรษฐกิจ ส่งผลให้ประชาชนเสียสละเวลาและค่าใช้จ่ายไปกับการหาน้ำใช้ รวมไปถึงปัญหาคมนาคมที่ไม่มีใครอยากให้เกิด
น้ำหมด ระวังอดเล่น “สงกรานต์”
เมื่อภาวะน้ำหมดมาเยือน ไม่แปลกที่หลายคนจะนึกถึงเทศกาลเล่นน้ำอย่าง “สงกรานต์” ที่แม้จะเป็นประเพณีสืบทอดกันมายาวนานของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ แต่ก็ทำให้หลายคนฉุกคิดว่า ในวิกฤตการณ์น้ำที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก เรายังควร “เล่นน้ำ” ในวันสงกรานต์อยู่ไหม?
ปี 2563 ท่ามกลางการระบาดของ “ไวรัส Covid-19” ที่รัฐบาลยกเลิกสงกรานต์ไปแล้ว ก็อาจไม่ก่อปัญหาขาดน้ำเท่าไร แต่เมื่อปี 2562 ที่ภัยแล้งส่อแวววิกฤตไม่ต่างจากปัจจุบัน ทางการเคยออกมาเตือนให้เล่นน้ำกันอย่างประหยัด เพื่อย้ำเตือนให้คนไทยตระหนักถึงภัยแล้งที่กำลังประชิดตัวเข้ามาทุกที
วิกฤตน้ำระดับโลก ประชากรโลกก็ต้องช่วยกัน
ระดับโลก แต่ภาคประชาชนอย่างเราก็เป็นฮีโร่ได้ ด้วยวิธีง่าย ๆ เหล่านี้
- สร้างความตระหนัก : แค่อ่านบทความนี้ก็ถือว่าคุณเริ่มตระหนักถึงปัญหาน้ำแล้ว เก่งมาก! ลองเล่าให้เพื่อน ๆ หรือคนใกล้ตัวฟังบ้างจะได้ร่วมด้วยช่วยกัน
- ใช้น้ำอย่างฉลาด : อย่าคิดเอาเองว่าที่ที่เราอยู่สุขสบายเกินกว่าจะเกิดวิกฤตน้ำ ปัญหาน้ำก็เหมือนระเบิดเวลาที่ไม่รู้จะปะทุและส่งผลกระทบรุนแรงแค่ไหน เริ่มจากอาบน้ำให้เร็วขึ้น หรือไม่เปิดน้ำระหว่างถูสบู่ก็ถือว่าเป็นก้าวแรกที่ดีแล้ว
- ก้าวให้ใหญ่ขึ้น : ศึกษาหรือทำความเข้าใจในวงจรใหญ่ขึ้น เช่น ต่อต้านการตัดไม้ทำลายป่า การสร้างมลพิษ หรือการทำลายสิ่งแวดล้อม
หากภาพผืนดินแตกระแหงในทวีปแอฟริกายังดูไกลตัว ลองนึกถึงวิกฤตน้ำเค็มที่ไทยเคยเผชิญก็ได้ แล้วจะพบว่าปัญหาน้ำทั่วโลกนั้นส่งผลหนักหนาและไม่มีที่ท่าว่าจะเบาลง หากประชากรโลกอย่างเราตระหนักถึงปัญหาขึ้นอีกนิด รักษ์โลกให้เยอะขึ้น ต้องมีวันที่โลกกลับมา “รัก”เราอีกครั้ง อย่างแน่นอน
—
อ้างอิง
@ต่อ พัทยา สมัยวัยเด็ก. ที่ชลบุรี.
คลองเล็ก คลองใหญ่..ในจังหวัด ชลบุรี สะอาด ลงเล่นน้ำจับปลา...ทำการเกษตร..ปตุสัตว์. ขนาดเล็กๆตามวิถึชาวบ้าน. จวบจน...มีโรงงานอุตสาหกรรมเข้ามา..มีฟาร์มปตุสัตว์ ขนาดใหญ่เข้ามา..วิถีชีวิตแบบชาวบ้านก็เปลี่ยนไป..
น้ำในคลอง.ที่เคยใสสะอาด..กลับเปลี่ยนเป็น. เหม็นเน่าเสีย..ไม่สามารถ..ปลูกพืชผัก.เลี้ยงปตุสัตว์ได้อีก.
ทุกพื้นที่ที่มีโรงงานอุตสาหกรรม..ในทุกๆจังหวัด หน่วยงานของ รัฐบาล ไม่เคยควบคุมได้อย่างจริงจัง
มีแต่...เรียกเก็บผลประโยชน์...จากผู้ประกอบการ.
เท่านั้น
ดิน
น้ำ
22 มี.ค. 2563 เวลา 01.11 น.
idom โรงแรมในกรุงเทพเยอะมาก การกำจัดน้ำเสียลงแม่น้ำต้อง100%ถึงจะปลอดภัย
22 มี.ค. 2563 เวลา 01.10 น.
Peace ถ้ารัฐยังโง่คิดว่าถนนสำคัญกว่าน้ำ ปัจจัยสั่ แล้วจะรู้สึก แม่น้ำลำคลองหรอง บึงแห้งขอด อย่างต้นเจ้าพระยา ปิง วัง ยม น่าน แทนที่จะขุดรอก กับมองข้าม เสียดายน้ำหลากไหลทิ้ง
21 มี.ค. 2564 เวลา 19.22 น.
MooJoo เท่าที่ตามข่าวมา ปีนี้เป็นปีครบรอบวัฐจักร ที่อาจจะเกิดอุทกภัยใหญ่ ซึ่งจะเกิดขึ้นทุกๆ 10ปี (ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในปี 2554)
ซึ่งในช่วงเดือนสองเดือนนี้ก็มีฝนตกหนักทำให้เกิดน้ำท่วมหลายแห่งทั่วโลก เช่น สหรัฐฯ,อังกฤษ,บราซิล ,อาเจนติน่า,อียิปต์ ,อีรัก อินโดนีเซีย , ออสเตรเลีย ฯลฯ (youtube : FLASH FLOODS หรือตามด้วย CHAVE WEATHER)
22 มี.ค. 2563 เวลา 12.34 น.
Hlin ขับรถมาตามป่าเขาภาคเหนือดูซิ ล้นเยอะขึ้นเลยๆ เหมือนไม่มีเจ้าหน้าที่ควบคุม หรือเป็นใจก็ไม่รู้
22 มี.ค. 2563 เวลา 12.09 น.
ดูทั้งหมด