กนอ. ได้ข้อยุติผลการด้านการลงทุนและผลตอบแทน โครงการถมทะเลท่าเรือฯมาบตาพุด ระยะ 3 (ช่วงที่1) เอกชนยอมลดดอกเบี้ยสร้างผลตอบแทนให้กับภาครัฐเพิ่มขึ้นเป็น 9.21 % หรือคิดเป็นประโยชน์เพิ่มขึ้น 6,721 ล้านบาท พร้อมเสนอเงื่อนไขเจรจาต่อ กพอ.ก่อนชงเรื่องเข้า ครม.เห็นชอบในสัปดาห์หน้า
ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)สมจิณณ์ พิลึกเปิดเผยว่าภายหลังจาก ที่คณะรัฐมนตรี ได้มีมติให้ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศ หรือ กนอ. ไปเจรจากับบริษัทเอกชนกลุ่มกิจการร่วมค้า กัลฟ์และพีทีทีแทงค์ โดยภาคเอกชนเสนอขอร่วมลงทุนของรัฐแก่ภาคเอกชนที่ผ่านการชนะประมูลโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะ 3 (ช่วงที่1) ระยะเวลา 30 ปี ในวงเงิน 45,480 ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน หรือ Public Private Partnership (PPP) NET Cost ได้ข้อสรุปผลการเจรจาในเรื่องค่าใช้จ่ายและผลตอบแทนลดลงให้ กนอ.เหลือจ่ายเงินร่วมลงทุนเพียง 710 ล้านบาทต่อปี จากเงื่อนไขของเอกชนเดิมที่ให้จ่าย 720 ล้านบาท รวมเป็นอัตราผลตอบแทนทางการเงินและทางเศรษฐศาสตร์ของการลงทุน หรือ FIRR ที่ กนอ.จะได้รับไม่น้อยกว่า 9.21 % จากเดิมอยู่ที่ 9.14 %
ขณะที่เอกชนจะได้รับอัตราผลตอบแทนทางการเงินและทางเศรษฐศาสตร์ของการลงทุน หรือ FIRR ลดลงอยู่ที่ 10.73% จากเดิมอยู่ที่ 10.75 % รวมผลประโยชน์ที่ กนอ.จะได้รับจากโครงการเพิ่มขึ้น 6,721 ล้านบาท จากเดิมอยู่ที่ 6,606 ล้านบาท โดยในวันนี้ (27 พฤษภาคม 2562) ได้นำข้อสรุปดังกล่าวต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ) ครั้งที่ 5/2562 ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่งมติที่ประชุม กพอ.ให้รอผลการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ให้เรียบร้อย ก่อนนำเสนอ ครม. โดยคาดว่าจะสามารถนำเสนอ ครม.พิจารณาให้ความเห็นชอบภายในสัปดาห์หน้า (4 มิ.ย.2562) จากนั้นคณะกรรมการฯจะส่งร่างสัญญาไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาร่างสัญญาแล้วเสร็จ ภายใน 19 มิ.ย.2562 หลังจากนั้น กพอ.เห็นชอบผลการคัดเลือกและร่างสัญญาภายในวันที่ 22 มิ.ย.2562 และเตรียมเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเห็นชอบผลการคัดเลือกได้ภายใน 9 ก.ค.2562 และคาดว่าจะสามารถลงนามสัญญาร่วมลงทุนระหว่าง กนอ.-กลุ่มกิจการร่วมค้ากัลฟ์ และ พีทีที แทงค์ ภายในเดือนก.ค.2562
"การเจรจาดังกล่าว ได้ดำเนินการอย่างถึงที่สุด ซึ่งเอกชนได้ลดวงเงินจาก 720 ล้านบาท เป็น 710 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นการคำนวณหลักการของเงื่อนไขทางการเงินที่คำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงต่างๆในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การใช้งบลงทุนในโครงการ ที่ต้องใช้วงเงินที่สูง และกู้เงินเพื่อการลงทุน รวมทั้งการขอใบอนุญาตในการดำเนินกิจการ
ภายหลังจากก่อสร้างแล้วเสร็จ และอาจต้องมีปัจจัยในเรื่องของจำนวนผู้ใช้บริการท่าเรือที่จะเข้ามาใช้บริการในอนาคต ทั้งนี้ ในขั้นตอนดังกล่าว หาก กพอ. และครม. เห็นชอบ ตามที่คณะกรรมการฯเสนอ จะดำเนินการส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาสัญญาของโครงการฯดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะสามารถลงนามในสัญญาร่วมลงทุนกับภาคเอกชนเข้าพัฒนาในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานได้ประมาณเดือน ก.ค.นี้"
ทั้งนี้การพัฒนาโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดเฟส 3 (ช่วงที่ 1) ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง บนพื้นที่ประมาณ 1,000 ไร่ โดยแบ่งการพัฒนาเป็น 2 ช่วง โดยในช่วงที่ 1 เป็นการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ประกอบด้วย การขุดลอกร่องนํ้า และแอ่งกลับเรือ การก่อสร้างเขื่อนกันคลื่น การก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานการติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมการเดินเรือ ท่าเทียบเรือบริการ และคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในปี 2568
สำหรับการพัฒนาท่าเรือฯมาบตาพุดระยะที่3 ในช่วงที่ 2 จะเป็นการลงทุนพัฒนาก่อสร้างในส่วนของท่าเรือ (Superstructure) จะดำเนินการพัฒนาท่าเทียบเรือสินค้าเหลว รองรับปริมาณขนถ่ายสินค้าเหลว เพื่อรองรับการขนถ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และสินค้าเหลวสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเคมี โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2566 และเปิดให้บริการได้ภายในปี 2568
ได้ไม่คุ้มเสีย
27 พ.ค. 2562 เวลา 14.06 น.
อาร์เชนอล ไอ่ควายลอกความคิดเขามาถุยคิดเองไปเป็น ถุย
27 พ.ค. 2562 เวลา 13.57 น.
Somkiat S. อย่ามาบ่นกันนะว่า น้ำจะขุ่น ท่านนักอนุรักษ์
27 พ.ค. 2562 เวลา 13.45 น.
ดูทั้งหมด