5 เม.ย. นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ว่า ประเทศไทยพยายามปรับเปลี่ยนแนวทางการรักษาโควิด-19 ไปตามผลวิจัยทั่วโลก ในรอบเดือนที่ผ่านมาก็เปลี่ยนแนวทางไปแล้ว 2 ครั้ง
ประเทศไทยพยายามปรับเปลี่ยนแนวทางการรักษาโควิด-19 ไปตามผลวิจัยทั่วโลก ในรอบเดือนที่ผ่านมาก็เปลี่ยนแนวทางไปแล้ว 2 ครั้ง วันที่ 6 เม.ย.จะมีการประชุมผู้เชี่ยวชาญอีกครั้งหนึ่งเพื่อดูว่าแนวทางการรักษาและผลการรักษาในประเทศ จะมีการปรับอย่างไร แต่โดยหลักการอาการของผู้ป่วยโควิด-19 ส่วนใหญ่จะเป็นอาการไม่รุนแรง คล้ายไข้หวัดปกติ 65% ไม่มีอาการ 20% ปอดอักเสบไม่รุนแรง 12% และปอดอักเสบรุนแรง 3% ผู้เชี่ยวชาญจึงแบ่งการรักษาตามอาการ คือ
1.กลุ่มไม่มีอาการ ให้สังเกตอาการใน รพ. 2-7 วัน โดยเรายึด 7 วันทั้งหมด เพื่อความมั่นใจ ถ้าทุกอย่างปกติ ให้ย้ายคนไข้จากรพ.เพื่อเป็นการประหยัดเตียงใน รพ. โดยให้ย้ายไปนอนที่รัฐจัดให้ คือ Hospitel หรือหอผู้ป่วยเฉพาะกิจโควิด-19 นอนอีก 7 วัน โดยใน กทม.มี 3 แห่ง คือ โรงแรมแถวดินแดง 270 ห้อง หอพักมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต 308 ห้อง และโรงแรมแถวจุฬาฯ มีประมาณ 40 ห้อง ตอนนี้มีประมาณ 600 ห้อง
2.กลุ่มอาการไม่รุนแรง จะมีปัจจัยเสี่ยงหรือไม่ก็ตาม ก็จะให้ยาต้านไวรัสบางตัว แต่ไม่รวมยาฟาวิพิราเวียร์ จะรักษาใน รพ. ซึ่งกี่วันก็ตามไม่ทราบ แต่ถ้าอาการดีขึ้นแล้วเหมือนกับไม่มีไข้เลย ไอนิดหน่อย ก็จะย้ายคนไข้พวกนี้ไปนอนที่ Hospitel เช่นกัน รวมแล้วทั้ง 2 กลุ่มเวลาที่อยู่กับเราถ้าเป็นไปได้ จะอยู่กับเราประมาณ 14 วันถึงให้กลับบ้าน กลับไปแล้วยังต้องไปดูอาการตัวเองที่บ้าน ใส่หน้ากาก ทำรักษาระยะห่าง ไม่สัมผัสกับบุคคลอื่นให้ครบ 1 เดือนนับจากวันที่มีอาการ
3.ปอดอักเสบไม่รุนแรง ให้ยาต้านไวรัสกับยาต้านมาลาเรีย ซึ่งการให้ยามีมากขึ้น แต่ยังไม่ให้ยาฟาวิพิราเวียร์ ถ้ามีอาการแย่ลง จะเริ่มให้ยาฟาวิพิราเวียร์
และ 4.ปอดอักเสบรุนแรง ได้รับยาครบทุกตัว และยาฟาวิพิราเวียร์ ส่วนใหญ่ 2 กลุ่มหลังจะนอนใน รพ.นาน เพราะมีอาการพอสมควรหรือมีอาการรุนแรง บางคน 3-4 สัปดาห์ หรือเกินเดือน ก็จะรักษาให้หายดีแล้วค่อยกลับบ้าน ไม่มีการย้ายไปยัง Hospitel
สำหรับประเด็นที่ว่าญี่ปุ่นจะบริจาคยาฟาวิพิราเวียร์นั้น เป็นการให้เฉพาะนำมาใช้ในการศึกษาวิจัย ไม่ได้เอามาใช้ในการรักษา ซึ่งได้มีการติดต่อร.ร.แพทย์แห่งหนึ่งใน กทม. ไม่ใช่ให้คนไข้ทั่วไป ซึ่งชีวิตคนไข้รอไม่ได้ เราจึงต้องติดต่อขอซื้อยานี้ อย่างที่บอกว่ายานี้จะใช้ในกลุ่มที่มีอาการรุนแรง แต่วันที่ 6 เม.ย. จะมีการหารือเพื่อปรับแนวทาง ถ้ายาจะเข้ามาเป็นแสนเม็ด ผู้เชี่ยวชาญอาจจะปรับ เพราะแพทย์บางท่านบอกยิ่งให้ยิ่งเร็วยิ่งดี ก็อาจจะมีการปรับให้ใช้ง่ายขึ้นในกลุ่มอาการกลางๆ คือ ปอดอักเสบไม่รุนแรง ทั้งนี้ ถ้าเปลี่ยนแนวทางมาใช้รักษากลุ่มอาการกลางๆ ด้วยประมาณการว่า 1 เดือนจะใช้ยาประมาณ 7 หมื่นเม็ดหรือถึงแสนเม็ด ซึ่งถ้าแนวทางปัจจุบันที่ใช้ในผู้ป่วยอาการรุนแรงใช้อยู่ที่ประมาณ 4-5 หมื่นเม็ดต่อเดือน
ขณะที่ นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า เป้าหมายในการจัดหายาฟาวิพิราเวียร์ คือ ดูแลประชาชนให้ได้รับยาตามข้อบ่งชี้ที่คนสมควรได้ และให้ได้ทั่วถึง สำหรับยาที่มีอยู่ตอนนี้มาจาก วันที่ 24 ก.พ. เราซื้อจากญี่ปุ่น 5 พันเม็ด ต่อมาวันที่ 2 มี.ค. จีนมีการบริจาค 2 พันเม็ด วันที่ 12 มี.ค. ซื้อจากญี่ปุ่น 4 หมื่นเม็ด วันที่ 30 มี.ค. ซื้อจากญี่ปุ่น 4 หมื่นเม็ด รวมทั้งหมดเป็น 8.7 หมื่นเม็ด ส่วนแผนจัดหาต่อไป คือ จะซื้อจากจีน 1 แสนเม็ด เบ้าใจว่าจะมาถึงวันที่ 6 เม.ย. โดยองค์การเภสัชกรรม (อภ.) เป็นผู้จัดหาและกระจาย และจะสั่งซื้อจากญี่ปุ่น 1 แสนเม็ด สำหรับหลักในการกระจายยาเพ่อให้เข้าถึงรวดเร็ว ทั่วประเทศไทย เราจึงแบ่งเป็น 12 เขตสุขภาพ มีโรงพยาบาลที่มียาอยู่ครบ 12 เขต รวมถึงโรงเรียนแพทย์ในภูมิภาค เช่น ม.เชียงใหม่ ม.ขอนแก่น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) ก็จะมียา หรือ กทม.ในส่วนของกรมการแพทย์ สถาบันบำราศนราดูร รพ.สังกัด กทม. และรพ.เอกชน ที่เราร่วมกันก็มียาอยู่ในกลุ่มเหล่านี้ แต่คลังกลางที่จะกระจายยาออกจากคือ อภ. โดยข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 4 เม.ย. เราให้ยาผู้ป่วยไปแล้ว 515 ราย ใช้ไปทั่งสิ้น 4.8 หมื่นเม็ด คงเหลือประมาณ 3.8 หมื่นเม็ด ข้อบ่งชี้ในการให้ยารายที่มีอาการรุนแรง หรือมีอาการแล้วอาจจะแย่ลงก็จะรีบใช้
นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผอ.อภ. กล่าวว่า ยาอื่นที่ใช้ในการรักษาโควิด-19 อภ.มียา 7 รายการ ซึ่งผลิตได้ในประเทศ ก็ไม่เกิดปัญหา เราสำรองเพียงพอ ส่วนยาฟาวิพิราเวียร์ยังไม่สามารถผลิตได้ในประเทศ ต้องนำเข้ามา โดยมีการหามาตั้งแต่ ม.ค. แต่ได้ไม่มาก เพราะต้องการทั้งโลก เช่น สหรัฐฯ อิตาลี สเปน ยุโรปที่ระบาดรุนแรงก็ต้องการ แต่เรามีแหล่งผลิต 2 ที่ คือ ญี่ปุ่นที่เป็นต้นตำรับยา และจีนที่ได้รับสิทธิบัตร เราก็ได้มาทีละน้อย ซึ่งเราตั้งเป้าอยากสำรองให้ได้ 1 ล้านเม็ด เพราะคนไข้เพิ่มวันละร้อยราย เราต้องเตรียมให้พร้อม ต้องขอซื้อให้ได้ แต่ญี่ปุ่นก็มีแผนสำรองใช้ในประเทศ 2 ล้านเม็ดเช่นกัน การแสวงหาแต่ละล็อตจึงได้แค่คราวละแสนเม็ด เพราะมีปริมาณจำกัด ต้องทยอยผลิตและแบ่งมา เราไม่สามารถรอของบริจาคได้ ทั้งนี้ คนไข้ปัจจุบัน 2 พันราย ตาย 23 รายหรือเกือบ 1% ถ้าไม่ใช้ยานี้อาจไม่ใช่ตัวเลขนี้ก็ได้ อย่างไรก็ตาม ยานี้เรายังต้องมีการติดต่อเพื่อขอซื้ออีก ซึ่งรัฐบาลก็เตรียมงบประมาณสนับสนุนเต็มที่ และเราพยายามหาแหล่งวัตถุดิบตัวนี้ เพื่อเอาวัตถุดิบตัวนี้มาทดลองทำ แต่คงใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะสำเร็จ
เมื่อถามถึงกรณีแพทย์ถูกออฟยา นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า ตามปกติแล้วการรับยาฟาวิพิราเวียร์ จะมีการประเมินอาการในช่วง 5 วันหลังรับยา ซึ่งหากอาการดี แพทย์ที่รักษาก็จะประเมินว่าไม่ต้องรับยาต่อ แต่หากประเมินแล้วยังควรรับยาต่อก็จะเบิกจ่ายยาต่อไป
ดังนั้น แพทย์ผู้ดูแลจะเป็นผู้พิจารณา ซึ่งกรณีนี้แพทย์ที่รักษารายนี้ที่ออกมาพูดว่าถูกออฟยาไม่ได้ยานั้น ก็เป็นการออกมาพูดก่อนที่จะมีการประเมิน เพราะกลัวว่าประเมินแล้วจะไม่ได้รับยาต่อ ทั้งที่จริงแล้ว แพทย์รายนี้ก็ได้รับยาจนครบ เพราะพอ 5 วันแล้วยังมีอาการพอสมควร
NoDoMoN DNA พันธุ์กรรมก็แตกต่างๆกันออกไปบวกโรคที่แซกซ้อนเข้าไปอีกทางที่ดี อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ 🤗✌🏻
05 เม.ย. 2563 เวลา 18.31 น.
Pooh Kasem รักษาตามความรุนแรงของอาการโรค ยังไงก็ทำร่างกายให้อบอุ่น ออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรง อย่าทำพฤติกรรมเสี่ยงให้ป่วยขึ้นมา
05 เม.ย. 2563 เวลา 14.13 น.
นึกถึงพ่อทองเอกขึ้นมาในบัดดล ถ้าทองเอกยังอยู่ ชาวสยามคงไม่เดือดร้อนเยี่ยงนี้แน่
05 เม.ย. 2563 เวลา 14.08 น.
PB ไหนบอกว่า กลุ่มนี้เป็นผู้มีความสามารถสูงส่ง แค่ยาจะหาให้ประชาชน ยังไม่อยากให้ ถึงได้เสียชีวิตกันมาก เอามาโรงพยาบาล แต่ไม่ให้ยา เปิดตำรา ดูข่าวจากต่างประเทศ แล้ว copy เค้า นี่หรือกลุ่มคนเก่งของประเทศ
05 เม.ย. 2563 เวลา 13.55 น.
sitthipong ติดตามผล..
05 เม.ย. 2563 เวลา 13.46 น.
ดูทั้งหมด