การมาถึงของ “ข้าวสาลี-ข้าวบาเลย์” จุดเปลี่ยนสำคัญสู่สังคมชายเป็นใหญ่ในจีน
ในประวัติศาสตร์ของชนชาติต่างๆ ส่วนใหญ่แล้ว ผู้ชายมักจะมีสถานะทางสังคมที่สูงกว่าผู้หญิง เหมือนอย่างคำโบราณที่กล่าวว่า “ผู้หญิงเป็นควาย ผู้ชายเป็นคน” แต่ก็มีงานค้นคว้าหลายชิ้นที่แสดงให้เห็นว่า สถานะของผู้หญิงในยุคก่อนประวัติศาสตร์นั้นมิได้ด้อยไปกว่าผู้ชาย ก่อนที่สังคมจะเปลี่ยนโครงสร้าง และกลายเป็นผู้ชายที่สามารถยึดกุมสถานะที่เหนือกว่ามาได้จนถึงปัจจุบัน
ในงานวิจัยที่เพิ่งเผยแพร่ทาง Proceedings of the National Academy of Sciences of the United States of America ทีมนักวิจัยนำโดย ยู ตง (Yu Dong) จากสำนักประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยชานตง ในประเทศจีน ได้ทำการศึกษาถึงความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวในกลุ่มวัฒนธรรมจีน โดยทำการวิเคราะห์โครงกระดูกมนุษย์จากแหล่งโบราณสถานในยุคแรกเริ่มที่มนุษย์รู้จักการทำเกษตร ถึงช่วงก่อนเข้าสู่ยุคจักรวรรดิ พวกเขาไม่พบหลักฐานความเหลื่อมล้ำทางเพศในช่วงต้นที่เริ่มเข้าสู่สังคมแบบเกษตรกรรมแต่อย่างใด แต่ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมเริ่มต้นขึ้นเมื่อมีการขยายพันธุ์พืชชนิดใหม่ในช่วงก่อนยุคจักรวรรดิ
ในช่วงยุคหินใหม่ของวัฒนธรรมหยางเชา (5000-2900 ปี ก่อนคริสต์กาล) อาหารหลักๆ ของมนุษย์มาจากการเพาะปลูกธัญพืชท้องถิ่น เลี้ยงสัตว์และล่าสัตว์ เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายยุคหินใหม่ (ราว 2600-1900 ปีก่อนคริสตกาล) จึงได้มีการนำ ข้าวสาลี และ ข้าวบาเลย์ เข้ามาขยายพันธุ์ในพื้นที่แถบนี้ และอาจเป็นปัจจัยสำคัญของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมของกลุ่มวัฒนธรรมจีน
นักวิจัยพบว่า ในยุคสัมฤทธิ์ สมัยราชวงศ์โจวตะวันออก (771-221 ก่อนคริสต์กาล) ธัญพืชชนิดใหม่กลายมาเป็นอาหารหลักของผู้หญิง แปรผันกับการบริโภคเนื้อสัตว์ที่ลดลงไป ต่างกับผู้ชายที่แม้จะบริโภคธัญพืชชนิดใหม่ แต่ก็ยังบริโภคเนื้อสัตว์ในปริมาณที่สูงต่อไป นอกจากนี้พวกเขายังพบหลักฐานความผิดปกติของกระดูกในเพศหญิงที่สูงกว่าผู้ชายเป็นอย่างมาก
นักวิจัยกลุ่มนี้จึงเชื่อว่า พฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไประหว่างผู้หญิงและผู้ชาย คือจุดเริ่มของความเหลื่อมล้ำทางเพศที่ผู้ชายกลายเป็นใหญ่ในยุคแรกๆ ของจีน และสมมติฐานของพวกเขาก็ได้รับการยืนยันจากหลักฐานอื่น อย่างเช่นส่วนต่างของส่วนสูงร่างกายระหว่างชายหญิงที่เพิ่มขึ้น และการประกอบพิธีศพของเพศชายที่หรูหรากว่ามากในสังคมสมัยราชวงศ์โจวตะวันออก
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกัน อาจไม่ได้เป็นเหตุและเป็นผลของกันและกันก็ได้ สแตนลีย์ เอช. แอมโบรส (Stanley H. Ambrose) นักมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ ซึ่งมิได้มีส่วนร่วมกับงานวิจัยได้ให้ความเห็นอีกมุมหนึ่งกับ Scientific American ว่า ในช่วงปลายของยุคสัมฤทธิ์ในจีนเป็นยุคของการทำสงครามระหว่างนครรัฐต่างๆ จึงเป็นช่วงเวลาที่ชนชั้นนักรบมีบทบาทสูง คุณค่าของเพศชายจึงได้รับการเชิดชูให้สูงตามไปด้วย
สอดคล้องกับความเห็นของ เจน บูอิกส์ตรา (Jane Buikstra) นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยรัฐแอริโซนาที่มองว่า ความทะเยอทะยานของราชวงศ์ต่างๆ ที่ประสงค์จะขยายดินแดน รวมไปถึงความพยายามที่จะขยายอำนาจควบคุมทรัพยากรแหล่งต่างๆ ในยุคสัมฤทธิ์ต่างมีส่วนส่งเสริมสถานะของผู้ชายในสมัยนั้นด้วยกันทั้งสิ้น
อ่านเพิ่มเติม :
จุดกำเนิดพ่อค้าชาว “จีน” กับธุรกิจ “โรงสีข้าว” ยุคแรกในสยาม จากความมั่งคั่งสู่การล้มละลาย
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 23 สิงหาคม 2564
William Noonsuk แสดงว่าตั้งแต่แรกผู้หญิงผู้ชายตัวพอๆกัน?
21 ต.ค. 2561 เวลา 21.02 น.
yong ข่าว ห่วย
ย่อ จน งง
22 ต.ค. 2561 เวลา 00.54 น.
Toppy สรุปคือไม่รู้เรื่องเลย
12 มี.ค. 2564 เวลา 11.31 น.
ดูทั้งหมด