เพจ "TaxBugnoms" แจงข้อสงสัยเกี่ยวกับกรณี "บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์" เป็นตัวกลางในการรับเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม จ.อุบลราชธานี ว่าจะโดนตรวจสอบจากกรมสรรพากรหรือไม่
จากกรณี “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” ให้เงินส่วนตัว 1 ล้านบาทเพื่อไปช่วยเหลือ และขอคนไทยร่วมบริจาคช่วยเหลือ ผู้ประสบอุทกภัยน้ำท่วมที่จังหวัดอุบลราชธานี จนกระทั่งล่าสุดพบว่า มียอดเงินบริจาคเข้ามาเป็นจำนวนมากถึง 200 กว่าล้านบาท จนระบบขัดข้องต้องปิดบัญชี ภายหลังจึงได้แจ้งว่า ขออนุญาตเปิดบัญชีกระแสรายวัน เพื่อรับบริจาคต่อได้ตามปกติแล้ว
ต่อมา มีชาวเน็ตจำนวนหนึ่งตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการรับบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภับน้ำท่วมในครั้งนี้ว่า จะโดนกรมสรรพากรตรวจสอบหรือไม่ โดยเมื่อวันที่ 16 ก.ย. เพจ "TaxBugnoms" เพจที่ให้ความรู้เกี่ยวกับบัญชี ภาษี การเงิน และการลงทุน ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน ได้มาอธิบายข้อสงสัยดังกล่าว ซึ่งได้ชี้แจงเป็น 3 ข้อ
1. ถ้าถามว่า จะโดนส่งข้อมูลไหม คำตอบคือ ถ้าเข้าเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้ นั่นคือ ตั้งแต่ 3,000 ครั้ง/ปี ขึ้นไป หรือ 400 ครั้ง/ปี และมียอดเงินตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป ย่อมจะถูกส่งข้อมูลอยู่แล้วครับ
ดังนั้น ถ้าถามว่ากรณีพี่บิณฑ์ถูกธนาคารส่งข้อมูลให้สรรพากร คำตอบคือ ต้องถูกส่ง และถูกส่งภายในวันที่ 31 มีนาคม 2563 ตามเงื่อนไขของกฎหมาย
2. แต่ประเด็นต่อคือ จะถูกประเมินภาษีไหม? คำตอบตรงนี้ต้องแยกก่อนว่า กรณีที่ธนาคารส่งข้อมูลให้กับสรรพากรนั้น ทางสรรพากรเองไม่สามารถประเมินภาษีได้ทันที หรือถ้าจะประเมินจากกรณีนี้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ถูกต้องสักเท่าไร เพราะตัวพี่บิณฑ์เองน่าจะมีหลักฐานการบริจาคที่ชัดเจนให้เห็นอยู่แล้วว่า เงินที่เข้าบัญชีหมด ได้ถูกส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยเหลือเรื่องน้ำท่วมต่อไป
ถ้ามองในแง่ของการทำงาน และหลักฐาน โดยส่วนตัวคิดว่าไม่น่าจะมีการประเมินภาษีจากกฎหมายในส่วนนี้ได้ เพราะว่าเงินที่ได้มานั้นมันมีหลักฐานการเข้าออกบัญชีที่พิสูจน์ได้ว่า ไม่ใช่รายได้ของพี่บิณฑ์ แต่เป็นเพียงทางผ่านของเงินไปเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ประสบปัญหา
ดังนั้น กฎหมายฉบับนี้ไม่สามารถเก็บภาษีได้ครับ จากหลักฐานที่ว่ามา และมันเป็นเครื่องยืนยันอย่างนึงให้เราเข้าใจว่า ถ้าหากเรามีหลักฐานการใช้จ่ายเงิน หรือรับเงินที่พิสูจน์ได้ ต่อให้ถูกส่งข้อมูลให้สรรพากรไปจริงๆ ก็ไม่สามารถประเมินภาษีได้
3. ถ้าหากจะมองในแง่ของปัญหาด้านภาษีจริงๆ อาจจะไปดูที่เรื่องของ ภาษีการรับให้ น่าจะเป็นไปได้มากกว่า เพราะว่ากรณีนี้มีการได้รับเงินมากกว่า 10 ล้านบาทแน่ๆ และถ้ามองในแง่ของกฎหมาย การให้เงินทั้งหมดนี้ จะถูกตีความว่าเป็นการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา ให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณีจากบุคคลอื่นหรือเปล่า อันนี้ขึ้นอยู่กับว่าทางสรรพากรเองมองไปในทางไหน
(เพิ่มเติม) ถ้าให้มองจริงๆ เงินก้อนนี้ควรได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ที่ได้รับจากการให้โดยเสน่หาที่ผู้ให้แสดงเจตนาใช้เพื่อกิจการสาธารณประโยชน์มากกว่า
อย่างไรก็ดี พี่หนอมคิดว่าเรื่องใหญ่ที่คนในชาติกำลังช่วยเหลือกันแบบนี้ คงไม่มีใครจะมาคิดจัดเก็บภาษีจากเงินก้อนนี้หรอกครับ เพราะเราก็รู้กันดีว่าเงินก้อนนี้ถูกใช้เพื่อช่วยเหลือคนอื่นต่อ ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของตัวเอง
ทั้งนี้ เรื่องราวดังกล่าวได้ถูกแชร์ออกสู่โลกโซเชียลแล้วกว่า 800 ครั้ง และมีชาวเน็ตเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ ต่อกรณีศึกษาครั้งนี้เป็นจำนวนมาก
"porn 04 "ktb.27-64. รบ.ชุดนี้ ถนอมเนื้อ ถนอมตัวอย่างเดียว..น่าอายฉิบฯ..ต้องให้เด็กสอน และทำตามเด็ก..ทำดี ทำต่อไปบิณฑ์..น่าให้เป็นนายกว่ะ..ราษฎร์ ฯจะได้มีสุข..ฯ
อยากให้บิณฑ์เป็นแทนจังว่ะ ..ทันใจดี..ล้างบางไอพวกเต่าล้านปีให้หมด พวกสมองช้า ปัญญา....
17 ก.ย 2562 เวลา 05.31 น.
🇹🇭 K 🇹🇭 ใครคิดจะเก็บภาษี ก็เกินคนละ
17 ก.ย 2562 เวลา 06.06 น.
เสียภาษี แน่ๆ ตามกฎหมาย มันดูเงินเข้าออกบัญชี
มันไม่สนหรอก ว่าเปนรายได้หรือไม่ แค่เงินโอนเข้าบัญชี ตามที่มันวางไว้ ก็เสียภาษีแล้ว
คุณบิณ ต้องกันเงินส่วนหนึ่งไว้เสียภาษีนะครับ
17 ก.ย 2562 เวลา 05.27 น.
Keng ตั้งแต่ตูนออกวิ่งช่วยรพละ คราวนี้ก็บิณฑ์ อีก คือประเทศนี้ประชาชนต้องหาทางช่วยเหลือตัวเองเอา
17 ก.ย 2562 เวลา 06.09 น.
Chulabhath มีที่มาที่ไป เบิกจ่ายตามระเบียบ รวมยอดแจ้งพรรพากร
ยกเว้นอยู่แล้ว ควรทำแบบรูปคณะกรรมการ
17 ก.ย 2562 เวลา 06.13 น.
ดูทั้งหมด