ผมไปงานศพแม่เพื่อนสนิทมาครับ
หรือจริง ๆ ควรจะเรียกว่าเพื่อนที่เคยสนิทถึงจะถูกก็ไม่รู้ ไม่ต้องตกใจนะครับ เค้าไม่ได้จากไปเพราะโควิด-19 แต่อย่างใด แต่ถ้าจะตกใจก็คงเป็นเพราะมันเป็นการจากไปแบบไม่มีสัญญาณอะไรบอกกล่าวเลย
เมื่อความเป็นกับความตายห่างกันเพียงแค่ครึ่งลมหายใจเท่านั้น นั่นคือแค่หายใจเข้า…แล้วก็ไม่หายใจออกมาอีกต่อไปจากร่างกายที่ดูคล้ายจะปกติแข็งแรงนั้น
เพื่อนสนิทคนนี้เป็นเพื่อนที่ผมสนิทมากที่สุดในสมัยม.ปลาย เป็นเพื่อนที่เราไม่มีอะไรคล้ายกันเลยซักนิด ขนาดที่ผมยังจำได้เลยกับประโยคสุดท้ายในวันจบการศึกษาก่อนที่เราจะแยกย้ายไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยและคณะที่ตัวเองเลือกว่า..
“เปิ้ลไม่รู้ว่าทำไมอั๋นถึงได้มาคบแล้วสนิทกับเปิ้ลนะทั้งที่เราไม่มีอะไรที่น่าจะสนิทกันได้เลย แต่เปิ้ลดีใจมาก ๆ เลยนะที่เราได้เป็นเพื่อนกัน”
ผมสาบานว่าผมจำไม่ได้เลยสักนิดว่าตัวเองได้ตอบอะไรไปบ้าง แต่วันนี้เพื่อนคนนี้อยากให้เปิ้ลได้รับรู้ว่าในความแตกต่างสารพัดของเรานั้นเธอคือรากฐานสำคัญที่ทำให้ผมเติบโตขึ้นมาในแบบที่เมื่อตัวเองมองย้อนกลับไปแล้ว ภูมิใจในชีวิตวัยรุ่นของตัวเองเหลือเกินที่ในทุกๆความทรงจำสีจาง ๆ ของความผิดพลาด หลงทาง ล้มเหลว หัวเราะร้องไห้กับเรื่องเหลวไหลที่เคยเป็นเรื่องใหญ่จนคับแน่นหัวใจในวันนั้นนั้น มีเธออยู่ข้าง ๆ ผมเสมอ และนั้นแหละคือความหมายของคำว่าเพื่อนสนิทที่ชีวิตของคน ๆ นึงพึงจะโชคดีมีได้
แต่แล้วด้วยความต่าง ก็ทำให้เราค่อยๆห่างกันไปจริง ๆ ตามวิถีและความรับผิดชอบ ที่ยิ่งเวลาผ่านไป เราก็แทบจะไม่มีอะไรเหลือให้ถนนแห่งชีวิตของเราได้มาบรรจบกันอีกจากวันเป็นเดือน จากเดือนสู่ปี จากปีสู่หลาย ๆ ปี รู้ตัวอีกที ก็คือวันที่ได้ข่าวของความสูญเสียครั้งใหญ่ครั้งนี้ซะแล้ว
“เพื่อน ๆ ไม่ต้องกังวลในภาวะแบบนี้ไม่ต้องพยายามมางานเลยนะคะ เราเข้าใจ”
นี่คือสิ่งที่เธอเฝ้าย้ำใน LINE กลุ่ม ด้วยความเกรงว่าจะเป็นการสร้างความลำบากใจให้เพื่อน ๆ แต่ที่สุดแล้ววันนี้พวกเราต่างก็พร้อมใจกันมาโดยไม่ต้องแม้แต่จะนัดหมายเวลา มานั่งใส่หน้ากากห่าง ๆ กัน ยกมือประนมฟังเสียงสวดมนต์ด้วยภาษาที่เราส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเลยซักคำ แต่อยู่ดี ๆ วันนี้ผมกลับรู้สึกเหมือนเข้าใจทุก ๆ คำที่ได้ยิน อย่างที่ไม่เคยรู้สึกเหมือนกับเวลาที่เราได้นั่งใกล้ ๆ กัน
เป็นการฟังสวดที่ไม่มีใครคุยกันเลยซักคำ…ซักคน เพราะทุกคนอยู่ห่างกันเกินกว่าจะสนทนา แถมยังมีผ้าปิดปาก นอกจากปล่อยให้ดวงตาที่เต็มไปด้วยคำพูดเป็นล้านคำของเพื่อนรักที่เคยเติบโตด้วยกันมาในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของชีวิตได้สื่อสารกันเงียบ ๆ
“นั่งห่างกันแบบนี้ก็ดีนะ ลมเย็นสบายจัง”
นั่นคือประโยคแรกที่ผมใช้ทักทายเป็นเพื่อนทุกคนที่ไม่ได้พบเจอกันมานาน
“เปิ้ลรู้ว่าที่อั๋นพูดเนี่ย เพราะไม่รู้ว่าจะปลอบเปิ้ลว่าอะไรใช่ไหม แต่อยากบอกว่าแค่มองมาเห็นอั๋นกับเพื่อนๆทุกคน ก็รู้สึกดีใจมาก ๆ แล้ว อยากกอดจังเลย แต่เรากอดกันช่วงนี้ไม่ได้เนอะ”
ผมจำไม่ได้แล้วว่ามีสิ่งใดในโลกนี้บ้างที่โหดร้ายต่อมวลมนุษย์เท่ากับโควิด19ในมุมนี้บ้าง มุมที่อยู่ดีๆก็ทำให้เราทุกคนบนโลกต้องบังคับใจให้ห่างไกลจากคนที่เรารัก คิดถึงเพียงใด ก็ไม่สามารถดึงคนๆนั้นมากอดไว้ในอ้อมกอดของเราได้ อยากไปหาแค่ไหน ก็ทำได้เพียงแค่เห็นหน้าอยู่ห่างๆ
แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า….
อ้อมกอดของเรามีผลต่อหัวใจของใคร
และอ้อมกอดของใครมีผลต่อหัวใจของเรา
หากจะมีการจัดอันดับคำแห่งปี 2020 ผมว่าคำว่า“Social Distancing” คงต้องติดอันดับต้น ๆ ของคำใหม่ที่ถูกนำมาใช้และมีผลกับใจของคนทั้งโลกมากที่สุดในปีนี้เป็นแน่ แต่จริงๆแล้วผมแอบคิดเห็นด้วยอยู่นะ กับสิ่งที่ Mr.Bernard Hiller Coach ชีวิตชื่อดังคนนี้ได้พูดถึงคำๆ นี้เอาไว้ได้อย่างน่าสนใจว่า จริงๆแล้วสิ่งที่โลกต้องการในการเอาชนะสงครามกับไวรัสร้ายครั้งนี้นั้นมันไม่ใช่ "Social Distancing" แต่คือ "Physical Distancing" ต่างหาก Mr.Bernard มองว่ามันถูกเอามาใช้แบบผิดคอนเซ็บท์ไปนิดเพราะ "Social Distancing" ตอนนี้ถูกนำไปใช้ในความหมายว่า มันคือการอยู่บ้าน แยกตัวออกจากคนรอบข้าง เพื่อทำให้กราฟการติดเชื้อมันแบนลง แต่การใช้คำว่า "Social" นำหน้าคำว่า "Distancing" นั้นเป็นสิ่งที่น่าสับสน เพราะจริงๆแล้วเรายังต้อง Social แถมจริง ๆ ช่วงนี้เรายิ่งต้องสื่อสารกับคนรอบข้าง คนใกล้ชิดกันมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ทุกงานวิจัยต่างบอกตรงกันว่า การแยกตัวเองออกจากสังคมและคนรอบข้างนั้น มีผลเสียต่อทั้งสุขภาพกายและใจอย่างมากมาย ถึงขนาดที่ทำร้ายร่างกายได้มากกว่าโรคเบาหวานและความดันเสียอีก
เพราะฉะนั้น จงไลน์ จงโทร จง FaceTime, Vdo Call คนที่คุณรัก ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบรับฟัง แบ่งปัน ให้กำลังใจซึ่งกันและกันให้มากที่สุด
ย้อนกลับมาในอีกมุมหนึ่ง กับการเจอกันของผมและเปิ้ลในครั้งนี้ก็เป็นอีก 1 ตัวอย่างที่ทำให้ผมเองเข้าใจความต่างระหว่างคำ2คำนี่ได้เป็นอย่างดีเช่นกัน วันนี้กับสายตาที่เรามองมาเห็นกันและกันแม้เพียงผ่านหน้ากากเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี แต่มันก็ยังคงเป็นสายตาที่ทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่า นั่นคือเพื่อนที่สนิทที่สุดของผมคนเดิมที่กำลังยืนอยู่ตรงนั้น
และตลอดเวลาที่ผ่านมา เราต่างก็แค่ "Physical Distancing".. ห่างกาย…แต่ไม่เคยห่างกัน
ตลกดีที่อยู่ดี ๆ วันนี้ผมก็รู้สึกอยากขอบคุณความทุกข์ ที่ทำให้เราได้กลับมาเจอกัน
ขอบคุณความทุกข์ที่เป็นครูที่สอนอะไรเราได้ดีกว่าความสุขมากนัก เพราะคุณมักแวะมาทัก แล้วเราจับเขย่าแรงๆให้ไม่หลงใหลลืมตัวปล่อยใจไปยึดมั่นถือมั่นกับสุขปลอมๆที่ไม่จีรังมากเกินไป
ขอบคุณคุณครูความทุกข์ที่เป็นเจ้าภาพจัดงานคืนสู่เหย้าเล็กๆให้กับเรา
และใช่ครับ ห้องเรียนของผมวันนี้คือศาลาวัดแห่งนี้นี่แหละ
--
ติดตามบทความใหม่ ๆ จาก อั๋น ภูวนาท ได้ทุกวันจันทร์ บนLINE TODAY
เขียนมาสะยาวเพื่อให้อ่านแล้วงง ทำให้สับสน จะได้หลงเชื่อ สรุปแถดๆๆๆๆ
13 เม.ย. 2563 เวลา 12.52 น.
Pichai เขียนซะยืดยาว น่าจะกระชับและแม่นยำ (concise and precise)
physical distancing ที่คุณว่าก็ถูก (ไม่ใช่ว่าผิด)แต่คำว่า social distancing ต้องการสื่อว่า มนุษย์หลายๆคนเมื่อมาอยู่ร่วมกันมันเป็นสังคมหนึ่ง สื่อภาพกว้างๆ ให้ทุกๆคนมีระยะห่าง
13 เม.ย. 2563 เวลา 09.12 น.
ผมคิดว่าในชีวิตของคนเรานั้นไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นมากับในชีวิต ในการทำใจและยอมรับกับในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นมาให้ได้ ก็ย่อมที่จะช่วยทำให้เราไม่เป็นทุกข์ได้เหมือนกันนะครับ.
13 เม.ย. 2563 เวลา 03.27 น.
August กระโหลกกะลา
13 เม.ย. 2563 เวลา 12.25 น.
K.P เขียนเก่งจังค่ะ ไม่ใช่แค่นึกภาพออก แต่รู้สึกตามไปด้วย โควิดใจร้าย...อยู่บ้านจนจะบ้าตาย
13 เม.ย. 2563 เวลา 13.11 น.
ดูทั้งหมด