คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย
ก่อนหน้าที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” จะได้รับเลือกให้เข้าไปดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เขาเคยโด่งดังเป็นที่รู้จักของอเมริกันชนและที่อื่นๆในแบรนด์เนมที่ว่าเป็น เจ้าของบ่อนคาสิโน และเป็นผู้ที่คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงบันเทิง
แต่ขณะนี้ได้มีข้อข้องใจว่าควรจะเพิ่มแบรนด์เนมพะยี่ห้อติดประจำตัวของประธานาธิบดีทรัมป์เอาไว้อีกหนึ่งฉายาใหม่จะดีหรือไม่ว่า “เขาคือประธานาธิบดีสหรัฐฯที่มีนิสัยใจคอเหยียดสีผิว” ที่ไม่แน่ใจว่าอาจจะเป็นตั้งแต่เกิด หรืออาจจะเพิ่งผุดขึ้นมาเป็นตอนเขาเข้าสู่ทำเนียบขาว!!!
ทั้งนี้หลายปีมาแล้วเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2017 ได้มีนักข่าวสายกีฬาผิวสีชื่อ “เจมิล ฮิลล์” แห่งสถานีโทรทัศน์ช่องเกี่ยวกับกีฬาอีเอสพีเอ็น ออกมาแสดงความเด็ดเดี่ยวโพสต์ลงทวิตเตอร์แบบแปลกแหวกแนวที่คนทั่วไปไม่กล้าเขียน ว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นบุคคลที่งี่เง่าและเป็นบุคคลที่ก้าวร้าวที่สุด เท่าที่ดิฉันพบเห็นผู้คนมาตลอดทั้งชีวิต”
นอกเหนือจากนั้นเธอยังได้เน้นลงไปในทวิตเตอร์อีกด้วยว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์รับแต่เพียงคนงานที่เป็นคนผิวขาวเอาไว้ใช้ข้างกายในทำเนียบขาวแทบทั้งหมด เนื่องมาจากเป็นคนเหยียดและรังเกียจคนผิวสี (Supremacist)”
มีผลปรากฏออกมาว่าข้อความของเธอที่โพสต์ลงไปในโลกโซเชียลได้กลายเป็นข่าวเกรียวกราวในวงกว้างทันที
อย่างไรก็ตามในช่วงแรกๆที่ประธานาธิบดีทรัมป์เข้าสู่ทำเนียบขาวนั้น เขามุ่งดำเนินนโยบายชูธงที่ว่า “สหรัฐอเมริกาต้องมาก่อน” เข้าลักษณะชาตินิยม
แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานนักก็เกิดปฏิกิริยาในเหตุการณ์ต่างๆที่เห็นได้ค่อนข้างชัดเจนว่าประธานาธิบดีทรัมป์ได้กลายเป็นขวัญใจโดยเฉพาะแต่เพียงชาวอเมริกันกลุ่มคนผิวขาวขวาจัดที่รังเกียจคนผิวสี จนอเมริกันชนกลุ่มนี้รักและศรัทธากลายเป็นฐานเสียงทางการเมืองของเขามาโดยตลอด!!!
ทั้งนี้ยังมีนักการเมืองถึงเจ็ดคนในค่ายพรรคเดโมแครตได้ออกมาแสดงความคิดเห็น เมื่อตอนที่พวกเขาลงแข่งขันเพื่อหวังจะเป็นตัวแทนของพรรค ที่ทุกๆคนต่างลงความเห็นเป็นเสียงและในทิศทางเดียวกันว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นคนเหยียดสีผิว”
ยกตัวอย่างอาทิเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2019 “วุฒิสมาชิกเบอร์นี แซนเดอร์ส” ที่เขาได้ให้สัมภาษณ์กับพิธีกรชื่อดัง “เจค แท็ปเปอร์” แห่งสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น ว่า “ไม่สามารถจะสรรหาถ้อยคำอื่นๆมาทดแทนได้ นอกจากคำที่ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นผู้ที่เหยียดสีผิวอย่างรุนแรง”
ส่วน “วุฒิสมาชิกอลิซาเบธ วอร์เรนส์”หนึ่งในตัวแทนของพรรคเดโมแครต ขณะที่เธอกำลังโต้วาทีกับนักการเมืองของพรรคเดโมแครตเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2019 เธอก็ได้กล่าวว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์พยายามทำทุกวิถีทางที่จะกางปีกปกป้องผู้คนผิวขาวที่รังเกียจเหยียดคนผิวสีอย่างออกหน้าออกตาตลอดเวลา”
สำหรับ “อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน” ก็ได้ให้สัมภาษณ์นักข่าวหญิงแมรี่ บรูซของสถานีโทรทัศน์ “ABC” เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2019 ว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์มีนิสัยเลวร้าย เป็นคนเหยียดสีผิว อีกทั้งยังส่งเสริมและปกป้องคนผิวขาวที่มีนิสัยเหยียดสีผิวเหมือนกับเขาอยู่ตลอดเวลา”
อย่างไรก็ตามผลการหยั่งเสียงของ Quinnipiac University โพลเกรดเอ ได้เคยระบุเอาไว้เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2019 ว่า คนอเมริกันถึง 51% เล็งเห็นว่าประธานาธิบดีทรัมป์เป็นคนเหยียดสีผิว
ส่วนการสำรวจของ Business Insider ก็ได้เปิดเผยเอาไว้เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2019 เช่นกันว่า คนอเมริกันถึง 57% คิดว่าประธานาธิบดีทรัมป์เป็นคนเหยียดสีผิว
สำหรับกรณีการเสียชีวิตจากการจับกุมอย่างรุนแรงของนายตำรวจที่ชื่อว่าเดเรก โชว์วิน ของ “จอร์จ ฟลอยด์” ที่ขณะนี้ได้กลายเป็นประเด็นร้อนแรงอันดับหนึ่ง กลบข่าวการเสียชีวิตราวกับไม้ใบร่วงของอเมริกันชนจากโรคระบาดไวรัสโควิด19ไปเสียแทบมิด!!!
ทั้งนี้การจลาจลเผาอาคารและต่อสู้กับตำรวจ ของคนผิวสีและคนที่รักความยุติธรรมเนื่องมาจาก “พวกเขาเล็งเห็นแล้วว่า มิเคยได้รับความยุติธรรมมาเป็นเวลาช้านาน”
โดยพวกเขาออกมากล่าวถึงข้อที่อ้างกันมานมนานว่า สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีสิทธิเสรีภาพที่เท่าเทียมกันนั้น เป็นแค่เพียงลมที่เป่าออกมาจากปาก เพราะคนผิวสีโดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาเหล่าเยาวชนไม่ได้รับโอกาสเท่าที่ควรจะเป็น ดังนั้นความคับแค้นใจจึงฝังรากลงลึกอยู่ในจิตใจของคนผิวสีมาตลอดเวลา!!!
อีกทั้งกลุ่มผู้ประท้วงยังอ้างต่อไปอีกว่าประธานาธิบดีทรัมป์คือตัวแทนของคนผิวขาวที่เหยียดสีผิว ซึ่งมีผลทำให้ฉนวนความโกรธแค้นถูกจุดจนลุกโชนทวีมากขึ้นทวีคูณ
อีกทั้งกลุ่มผู้ประท้วงยังมองว่า กรณีการเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ เป็นแค่เพียงหนึ่งตัวอย่างที่เกิดขึ้นมาแล้วกับคนผิวสีอย่างทุกเมื่อเชื่อวัน สืบเนื่องมาจากการเหยียดสีผิวที่ไม่สามารถจะอดทนต่อไปได้อีก ฉะนั้นการจลาจลในครั้งนี้คงจะไม่จบลงง่ายๆ!!!
คราวนี้ลองหันกลับไปดูถึงปฏิกริยาความเคลื่อนไหวล่าสุดของประธานาธิบดีทรัมป์ รวมถึงท่าทีของอดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน และของ อดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช กันบ้าง
โดยเมื่อเย็นวันจันทร์ที่ 1 มิถุนายนนี้ประธานาธิบดีทรัมป์มีความต้องการแปลกๆที่อยากจะอวดว่า กรุงวอชิงตันอยู่ในสถานะการณ์ที่สงบเรียบร้อยดี เขาสั่งการให้ทีมตำรวจเคลียร์พื้นที่หน้าทำเนียบขาว เพื่อให้เขาออกเดินทางไปถ่ายภาพ ณ หน้าโบสถ์ St. John’s Episcopal Church โดยเขาสั่งให้ตำรวจเข้าไปปะทะกับผู้ประท้วงอย่างดุเดือดเพียงเพื่อแค่ป้องกันเขาให้เดินไปหน้าโบสถ์ โดยตำรวจก็สนองเจตนารมณ์ของเขาอย่างเต็มที่ยิงทั้งแก๊สน้ำตาและกระสุนยางเพื่อเปิดทาง
และเมื่อประธานาธิบดีทรัมป์เดินทางไปถึง เขาก็กระทำเพียงแค่ แอ๊คท่าหน้าโบสถ์พร้อมด้วยยกมือชูพระคำภีร์ขึ้น เพียงเพื่อต้องการประชาสัมพันธ์ตนเองเท่านั้นไม่มีอื่นใดเพิ่มเติม!!!
ทั้งนี้ “บิชอปมาเรียนน์ บัดด์”ของโบสถ์แห่งนี้ได้ออกมาแสดงความไม่พอใจในการกระทำของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยกล่าวว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่เคยเข้าไปนมัสการ ณ โบสถ์แห่งนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว แถมยังไม่ได้เป็นสมาชิกอีกด้วย” โดยบิชอปท่านนี้ยังได้กล่าวทิ้งท้ายอย่างน่าคิดอีกว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการทำเพียงเพื่อประโยชน์ของตนเอง มิใช่เพื่อส่วนรวม”
ในทางกลับกันเมื่อวันที่ 2 มิถุนายนที่ผ่านมานี้ อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน คู่แข่งประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ออกมากล่าวสุนทรพจน์ต่อคนอเมริกันยาว 20 นาที โดยโฟกัสแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อผู้ประท้วงและต้องการเยียวยาสิ่งที่เกิดขึ้น ที่มองๆไปแล้วช่างมีทัศนคติที่ตรงกันข้ามกับท่าทีของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่มีความต้องการจะใช้ความรุนแรงใช้กำลังทหารเข้าไปยุติการประท้วงในครั้งนี้
โดย โจ ไบเดน ยังได้ชี้เพิ่มเติมต่อไปว่า ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังทำให้สหรัฐฯกลายเป็นสนามรบ และยังสร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชน
โดยอดีตรองประธานาธิบดีไบเดนได้ขอร้องให้ประธานาธิบดีทรัมป์เปิดพระคัมภีร์อ่านบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรจะอ่านความหมายของความรัก และไบเดนยังได้กล่าวว่า “จะไม่มีประธานาธิบดีคนใดที่จะใช้อำนาจปิดปากประชาชนได้”
ส่วนอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ก็ได้กล่าวสุนทรพจน์เมื่อวันที่ 2 มิถุนายนในทำนองเดียวกันโดยกล่าวตำหนิการกระทำของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ใช้มาตรการรุนแรงต่อผู้ประท้วง และยังได้เรียกร้องให้มีความยุติธรรมเกิดขึ้นในสังคม และประธานาธิบดีบุชยังได้กล่าวต่อไปว่า เรื่องร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับจอร์จ ฟลอยด์ ในครั้งนี้สร้างความปวดร้าวในหัวใจของเขามากทีเดียว และยังได้กล่าวทิ้งท้ายต่อไปอีกว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ควรจะรับฟังความคิดเห็นของผู้ประท้วง และควรจะออกมาแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อผู้ประท้วงอีกด้วย!!!
กล่าวโดยสรุปขณะนี้ยังไม่มีใครสามารถคาดเดาได้เลยว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะใช้มาตรการอะไรต่อไปและจะดำเนินการแก้ไขการประท้วงถามหาความยุติธรรมให้แก่จอร์จ ฟลอยด์ ผู้เสียชีวิตในรูปแบบใด แต่อย่างไรก็ตามสำนักหยั่งเสียงต่างๆได้ออกมาระบุทำนองเดียวกันว่า ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นคนเหยียดสีผิวนั้น คงจะสร้างภาพพจน์ด้านลบให้แก่เขาอย่างมากมายมหาศาล และในทางกลับกันดูเหมือนว่าอดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน คงจะใช้ช่วงเวลานี้ตักตวงเก็บคะแนนนิยม ที่เขาอาจจะเลือกสตรีผิวสีคนใดคนหนึ่งของพรรค เข้ามารองรับในตำแหน่งรองประธานาธิบดีซื้อใจชนผิวสี เพื่อผลทางการเมืองละครับ
kamen rider ผมยังเหยียดเลย เวลาที่ผมนั่งทำงานนานๆแล้วมันเมื่อย
05 มิ.ย. 2563 เวลา 18.59 น.
อย่าว่าแต่ทรัมเลย..กะลาแลนก็เหอะะ ตัวร้ายใช่ย้อย
05 มิ.ย. 2563 เวลา 19.05 น.
tik เป็นโอกาส ตีกิน ทางการเมือง
05 มิ.ย. 2563 เวลา 23.32 น.
New@LA ผมเหยียดคนสวย อย่ามาเข้าใกล้ อยู่ใกล้ๆ...ใจมันสั่น
05 มิ.ย. 2563 เวลา 19.52 น.
chokwadpradoo ลึกๆในใจทุกคนผมเชื่อว่าเหยียดคนที่ผิดปกติทางร่างกายเกือบทั้งนั้นเพราะบางครั้งเรายังเผลอด่าไอ้อ้วนไอ้มืดไอ้เป๋ไอ้เหล่ไอ้...สารพัด
05 มิ.ย. 2563 เวลา 17.46 น.
ดูทั้งหมด