1. มองทุกสถานการณ์เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ให้ค่าบวกหรือลบ แต่ตระหนักรู้ว่า สิ่งใดๆคือภาวะที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยเท่านั้น เมื่อมีเหตุมันก็เกิด เมื่อเหตุดับมันก็ดับ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
2. ไม่แบ่งแยกตนเองจากสรรพสิ่ง โดยมองตนเองเป็นส่วนหนึ่งของโลก ดำรงชีวิตอยู่เพื่อเป็นประโยชน์ของโลกเป็นสำคัญ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ใช้ความเป็นชาติ ศาสนา เพศ สีผิว เพื่อแยกมนุษย์ออกจากกัน
3. ออกจากโลกของความเป็นคู่ คือการมองทะลุผ่านมายาสมมุติของด้านตรงกันข้าม ขาวและดำ สุขและทุกข์ ดีและเลว ได้มาและเสียไป เมื่อวางจิตอยู่เหนือความเป็นคู่ได้แล้ว จิตย่อมเข้าสู่ภาวะความเป็นกลาง เปลี่ยนจากสุขทุกข์เป็นความเบิกบาน เปลี่ยนจากการคนดีคนชั่วเป็นผู้มีปัญญารู้แจ้ง
4. ใช้ชีวิตอยู่เหนืออำนาจความคิดซึ่งเป็นต้นกำเนิดของอัตตาตัวตน เป็นผู้ดำรงตนโดยสัญชาติญาณว่า ในเราไม่มีเรา มีฉันอยู่แต่ไม่มีฉันอยู่ มีความรู้สึกแต่ไม่มีผู้รู้สึก
5. เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำว่าเวลา นั่นคือตระหนักรู้อยู่กับปัจจุบันเท่านั้น ไม่ตกอยู่ในมายาของอดีตและอนาคต เห็นความจริงว่าเวลาเป็นเพียงสิ่งที่เกิดดับสลับกัน นำไปสู่ความเข้าใจว่าเวลาไม่มีอยู่จริง
พศิน อินทรวงค์
หนึ่ง ขอบคุณ อาจารย์อารมณ์มีเกิดมีดับไม่ไช่ตัวเรา
08 ส.ค. 2562 เวลา 13.06 น.
Yaa 636 ส่งต่อความคิดผ่านตัวอักษรได้อย่างลงตัวเข้าใจง่าย กระชับ และหนักแน่นสวยงาม อ่านบทความของท่านจบได้ข้อคิดหลายๆอย่าง ขอบคุณท่านผู้เขียน จะรอติดตามผลงานต่อๆไปของท่านครับ
07 ส.ค. 2562 เวลา 10.17 น.
ดูทั้งหมด