วันที่ 17 พ.ย. 66 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ศุภมาส อิสรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าหารือข้อพิพาทระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก เขตพื้นที่อุเทนถวาย เรื่องการย้ายอุเทนถวายออกจากพื้นที่ ว่า ที่ประชุมคณะทำงานขับเคลื่อนยุติข้อพิพาทการย้ายมหาวิทยาลัย ที่มีปลัดกระทรวง อว.เป็นประธาน เมื่อวานที่ผ่านมา (16 พ.ย. 66) นั้น ทุกคนเข้าใจสถานการณ์ทุกอย่าง ซึ่งมีข้อเสนอ 2 ทางเลือก โดยเสนอให้ไปศึกษาก่อนว่าข้อเสนอที่เสนอมาเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งการประชุมครั้งต่อไปคงมีข้อสรุปกันต่อว่าสิ่งต่าง ๆ จะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าเป็นไปได้จะเดินต่ออย่างไร ถ้าเป็นไปไม่ได้ก็ต้องหาแนวทางใหม่
หลังจากนั้นจุฬาฯ จะศึกษาร่วมกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง แต่ยอมรับว่านักศึกษาอุเทนถวาย ต้องการความชัดเจนและมีข้อสงสัยที่ไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันก่อนหน้านี้ หากตกลงยุติกันไปอาจจะไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ ซึ่งหลายคนกังวลว่า ก่อนที่นักศึกษาจะเรียนจบจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง และหากต้องย้าย จะไปอยู่ที่ไหน? มีใครเข้ามาดูแล เนื่องจากหลายคนได้รับข้อมูลข่าวสารไม่ตรงกัน
เมื่อถามว่า ได้วางกรอบเวลาไว้หรือไม่? น.ส.ศุภมาส กล่าวว่า “การเจรจราหาข้อยุติไม่สามารถวางกรอบหรือไทม์ไลน์ได้ เพราะอาจจะไปเพิ่มอารมณ์ความรุนแรง เพียงแต่ทุกคนอยากได้ข้อยุติที่เร็วที่สุด และเมื่อปัญหายังคาราคาซังแบบนี้ จึงอยากรับฟังจากอุเทนถวายว่า ต้องการอะไรบ้าง? และทางจุฬาฯ สามารถสนับสนุนข้อเสนอนี้ได้หรือไม่อย่างไร
แต่มีความเป็นไปได้ว่า ถ้าอุเทนถวายเห็นภาพชัดว่า ทางจุฬาฯ ได้ที่คืนไปแล้วไม่ได้เอาไปใช้ในเชิงพาณิชย์ แต่เอาไปใช้เป็นสาธารณประโยชน์ อาจจะเป็นสวนสาธารณะ หรือพิพิธภัณฑ์สำหรับเด็กเพื่อการศึกษาเหมือนกับหอศิลป์ใน กทม. แบบนี้อาจจะเป็นข้อเสนอใหม่ที่ทางอุเทนถวายอาจจะพิจารณาได้”
ทั้งนี้ น.ส.ศุภมาส ระบุอีกว่า “ปัญหานี้มีมานานแล้ว คงไม่ใช่ใช้คำว่าจบ แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงในยุคนี้ และบังเอิญว่าช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ไม่มีคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด ซึ่งมีการฟ้องร้องกันมาเรื่อย ๆ ยุคนี้ทุกฝ่ายต้องถือเอากฎหมายสูงสุด เพียงแต่ไม่สามารถยึดหลักกฎหมายอย่างเดียวได้ แต่ต้องยึดหลักความสงบเรียบร้อยและต้องดูแลความรู้สึกของบุคลากรทุกคนในอุเทนถวายด้วย เพราะเราคงไม่อยากเห็นสถาบันที่ร่ำเรียนมาหายไปในช่วงข้ามคืน ดังนั้น เรื่องความรู้สึกของคนเป็นเรื่องใหญ่ไม่แพ้เรื่องหลักกฎหมาย”