ทั่วไป

ลองของ 'ซูซูกิ XL7' MY2022 สีทูโทนดุดัน-ช่วงล่างหนึนแน่น / ยานยนต์ สุดสัปดาห์ : สันติ จิรพรพนิต

มติชนสุดสัปดาห์
อัพเดต 09 มิ.ย. 2565 เวลา 06.52 น. • เผยแพร่ 11 มิ.ย. 2565 เวลา 07.00 น.

ยานยนต์ สุดสัปดาห์

สันติ จิรพรพนิต

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

cars@khaosod.co.th

ลองของ ‘ซูซูกิ XL7’ MY2022

สีทูโทนดุดัน-ช่วงล่างหนึนแน่น

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

“ซูซูกิ” ถือเป็นค่ายรถที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดค่ายหนึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลังจากเริ่มเจาะตลาดกลุ่ม “อีโคคาร์” ด้วย “สวิฟต์” ซึ่งแต่เดิมเป็นรถกลุ่มซิตี้คาร์

เรียกว่าซูซูกิเป็นค่ายแรกๆ ที่ลดน้ำหนักพิกัดกลุ่มซิตี้คาร์มาเล่นตลาดอีโคคาร์ พร้อมทำราคาชนิดที่ค่ายอื่นมองค้อน สร้างกระแสต้องจองรถข้ามปีมาแล้ว

จนกลายเป็นโมเดลให้ค่ายอื่นๆ พากันเดินตาม จนทุกวันนี้เซ็กเมนต์ซิตี้คาร์ในเมืองไทย เหลือแค่ “โตโยต้า วีออส” และ “ฮอนด้า แจ๊ส” ที่โดดเด่นขึ้นมา

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ด้วยความสำเร็จดังกล่าวทำให้ซูซูกิต่อยอดด้วยรถเล็กในเซ็กเมนต์ต่างๆ

หนึ่งในนั้นคือซูซูกิ “เอ็กซ์แอล7” (XL7) ครอสโอเวอร์ 7 ที่นั่งขนาดเล็ก แม้นิยามตัวเองว่าเป็น “MPV” (Multi Purpose Vehicle) หรือรถครอบครัวอเนกประสงค์ แต่จากรูปลักษณ์น่าจะกระเดียดไปทาง “SUV” (Sport Utility Vehicle) หรือรถตรวจการณ์อเนกประสงค์มากกว่า

หลังเปิดตัวและเปิดราคาที่เข้าถึงง่าย กวาดยอดขายได้น่าพอใจ

กระทั่งเริ่มมีค่ายอื่นๆ ส่งรถในเซ็กเมนต์เดียวกันเข้ามามากขึ้น

XL7 จึงต้องแต่งหน้าทาปากกระตุ้นตลาดกันหน่อย

การปรับโฉมเล็กๆ ของ XL7 ในโมเดลเยียร์(MY) 2022 มองผาดๆ อาจไม่เปลี่ยนอะไรมากนัก ที่เด่นๆ ไม่พ้นเพิ่มสีทูโทน ทำให้ดูโดดเด่นและดุดันมากขึ้น

มี 2 สีหลักให้เลือกคือ สีขาวหลังคาดำ และสีส้มหลังคาดำ

ผมเคยสัมผัส XL7 ตั้งแต่ช่วงเปิดตัวใหม่ๆ จึงเมื่อมีรุ่น MY2022 ออกมา มีโอกาสได้ขับทดสอบอีกครา

ซูซูกิ มอเตอร์ ประเทศไทย ส่งรุ่นทูโทนสีส้มหลังคาดำ มาให้ลองของอยู่หลายวัน

ต้องบอกว่าสีทูโทนที่เห็นสร้างความรู้สึกแตกต่างพอประมาณ เมื่อรวมกับกระจกมองข้างสีดำ เห็นแล้วให้ความรู้สึกดุดันและเพิ่มความสปอร์ตมากขึ้น

บวกกับความสูจากพื้นถึงตัวรถมากถึง 200 ม.ม. พอจะพาไปทางทุรกันดารหรือลุยน้ำท่วมอย่างสบายใจประมาณหนึ่ง

ผมเคยสัมผัส XL7 ตั้งแต่ช่วงเปิดตัวใหม่ๆ จนความรู้สึกเริ่มเลือนๆ ไปบ้าง จึงเมื่อมีรุ่น MY2022 ออกมา มีโอกาสได้ขับทดสอบอีกครา

ก่อนอื่นไปดูรูปร่างหน้าตาภายนอกกันพอสังเขป

กระจังหน้าขนาดพอเหมาะเป็นสีดำคาดด้วยเส้นโครเมียมพร้อมสัญลักษณ์ “S” เชื่อมกับไฟหน้าทั้ง 2 ฝั่ง ซึ่งเป็นแบบ LED ปรับองศาสูง-ต่ำได้

มีไฟ Daytime Running Light พร้อมไฟตัดหมอกหน้าที่วางอยู่ในกรอบขนาดใหญ่สีดำด้านล่าง

ตกแต่งใต้กันชนด้วยวัสดุสีเงิน ให้ดูบึกบึนมากขึ้น

ซุ้มล้อสีดำขนาดใหญ่รับกันดีกับกรอบไฟตัดหมอก

ไฟท้าย LED พร้อมกับไฟเบรกแนวตั้ง (Light guides) เส้นโครเมียมคาดตรงกลางประตูบานที่ 5 เชื่อมไฟ 2 ส่วนเข้าด้วยกัน

บนหลังคาสีดำติดตั้งราวมาให้ด้วย

ภายในเน้นสีดำตัดกับสีโครเมี่ยมในบางจุด ส่วนเสาเอ และเพดานเป็นสีเบจ

พวงมาลัย 3 ก้านท้ายตัด (D-Shape) ขนาดกำลังเหมาะเพิ่มพื้นที่ระหว่างพวงมาลัยกับหน้าขา พร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่นควบคุมเครื่องเสียง

มาตรวัด 2 วงกลมซ้าย-ขวา พร้อมจอ LCD จอแสดงผลข้อมูลสำคัญของตัวรถ Driving G-Force แสดงผลแจ้งสถานะข้อมูลสำคัญของตัวรถ เช่น อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง แจ้งการเปิดประตูรถ แบบบานไหนบานนั้น

ตรงกลางเป็นจอสัมผัสขนาดใหญ่ 10 นิ้ว พร้อมระบบปรับแต่งเสียงและประมวลผลในแบบดิจิตอล (Digital Sound Processor) เชื่อมต่อ Bluetooth เชื่อมต่อสมาร์ตโฟน Apple CarPlay, Android Auto

มีช่องเชื่อมต่อ USB และ HDMI ส่งเสียงผ่านลำโพง 6 ตัวเสียงเซอร์ราวด์

ช่องจ่ายไฟสำรอง 12V จำนวน 3 ตำแหน่ง บริเวณคอนโซลหน้า คอนโซลกลาง และที่นั่งแถวหลัง

ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ พร้อมระบบปรับอากาศบนเพดานสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง สามารถปรับแรงลมได้แต่ปรับอุณหภูมิไม่ได้

เบาะ 3 แถว 7 ที่นั่ง มีช่องเก็บของและวางขวด-แก้วน้ำหลายตำแหน่ง

เบาะแถว 2 ปรับพับแยกได้แบบ 60:40 สามารถเลื่อนได้ 240 ม.ม.

ส่วนเบาะแถว 3 ผู้ใหญ่พอนั่งได้แบบไม่ไกลนัก เพราะช่วงขาอาจมีติดเบาะแถว 2 บ้างเล็กๆ แต่ถ้าเป็นเด็ก ไม่ถือว่ามีปัญหาอะไร

พับได้แบบ 50-50 เพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกได้สูงสุด 550 ลิตร

ใช้นิ้วกดปุ่มสตาร์ตเสียงเครื่องยนต์เข้ามาไม่ดังนัก เป็นขุมพลังแบบเบนซิน K15B 4 สูบ 16 วาล์ว 1,462 ซีซี กำลังสูงสุดถึง 105 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 138 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที

เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด โดยมีเกียร์ “2” และเกียร์ “L”

การออกตัวถือว่าทำได้ดีหากเทียบกับความจุกระบอกสูบ ตันต้น-กลางมาเร็วเกินคาด ความเร็วระดับ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง รอไม่นานก็ไปถึง ส่วนความเร็วปลายสัก 150-160 กิโลเมตร/ชั่วโมง ต้องรอรอบหน่อยๆ

แต่ความเร็วขนาดนั้นทั้งเสียงเครื่องยนต์-เสียงลมเข้ามาพอสมควร

ช่วงล่างหน้าแม็กเฟอร์สันสตรัต พร้อมคอยล์สปริง ด้านหลังทอร์ชั่นบีม พร้อมคอยล์สปริง

ติดตั้งเหล็กกันโคลงด้านหน้า (Front Stabilizer) ขนาดใหญ่พิเศษ ลดอาการโคลงของตัวรถ เพิ่มการยึดเกาะถนน

ถือว่าช่วยได้จริงๆ เพราะแม้ตัวรถจะสูงประมาณหนึ่ง แต่ไม่มีอาการหวิวๆ เวลาเข้าโค้งหรือเปลี่ยนเลนเร็วๆ

ความนุ่มนวลผ่านเลยครับ ยิ่งหากเพื่อผู้โดยสารเข้ามาน่าจะยิ่งนุ่มหนึบกว่านี้

พวงมาลัยนี่ชอบมากเพราะวงขนาดกำลังเหมาะ ทั้งมีพื้นที่หน้าขาจากการเป็นแบบท้ายตัด ไม่อึดอัดดี

ทั้งมีความคมระดับที่น่าพอใจ

ระบบความบันเทิงใช้งานง่าย แต่เสียงจากลำโพงฟังไม่หนักแน่นมากนัก ถ้าใครชอบฟังเพลงระหว่างขับรถแนะนำลองเปลี่ยนลำโพงจะยิ่งเพลิดเพลินมากขึ้น

ปุ่มปรับต่างๆ อยู่ใกล้มือ

แอร์เพดานส่งแรงลมได้ทั่วทั้งคัน

ขณะที่ความปลอดภัยจัดมาให้พอตัว อาทิ ถุงลมนิรภัย SRS คู่หน้า ระบบเบรก ABS ระบบ EBD ช่วยกระจายแรงเบรก

ระบบควบคุมเสถียรภาพในการทรงตัว ESP ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (Hill Hold Control) กล้องมองภาพพร้อมเซ็นเซอร์

ระบบป้องกันการโจรกรรมด้วยระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer

กล้องมองภาพด้านหลัง ฯลฯ

มีอีกจุดที่ถือว่าใส่รายละเอียดได้ดี คือเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลังระบบเสียงจะเบาลงอัตโนมัติ ช่วยให้มีสมาธิและรับฟังเสียงด้านนอก เพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น

“ซูซูกิ XL7” รุ่นสีทูโทนมีให้เลือก 2 สี

สีส้มหลังคาดำ ราคา 799,000 บาท

สีขาวหลังคาดำ ราคา 814,000 บาท

ส่วนแบบสีเดียวทั้งคันมีให้เลือกอยู่ ราคาลดหลั่นกันไป •

ดูข่าวต้นฉบับ