ข้อมูลเบื้องต้น
บทนำ
สตรีใบหน้างดงามเป็นเอกมองดูร่างไร้วิญญาณของตนเอง จบสิ้นแล้วความเจ็บปวดที่ได้รับก่อนตาย ไม่รู้ว่าทุกที่เกิดขึ้นเป็นเพราะสวรรค์กำหนดหรือว่าเกิดจากการกระทำของนางเอง
ห้าหนาวมารดาจากไป เด็กคนหนึ่งไร้ที่พึ่งพิงบิดาไม่รักใคร่ สตรีทั้งหลายยื้อแย่งเลี้ยงดูนางเพื่อผลประโยชน์ พอเติบโตมาหน่อยนางก็กลายเป็นหมากของผู้คน ความรักไม่สมหวังถูกหลอกลวงและโดนหักหลัง
สุดท้ายถูกส่งไปต่างแคว้น การไปอยู่ต่างแคว้นใช่ว่าจะสุขสบาย เมื่อไม่ใช่ที่รักของผู้คนพวกเขาไหนเลยจะสนใจเพราะไร้ประโยชน์ การทำตัวร้ายกาจและดิ้นรนเอาตัวรอดของนางมันผิดนักหรืออย่างไร
เฉาชิวเฟินมองดูเหตุการณ์ที่ผ่านมาในอดีตของนาง ทุกอย่างหมุนเปลี่ยนเวียนไปตามความรู้สึกนึกคิดของนาง ช่วงเวลาที่นางมีความสุขคือตอนมารดามีชีวิตอยู่
วิญญาณของเฉาชิวเฟินล่องลอยกลับไปยังบ้านเกิด นางไม่แม้แต่อาลัยอาวรณ์ร่างของนางอยู่ในคุกใต้ดินชายแดนของต่างแคว้นเลยสักนิด
ภาพของคนพวกนั้นหัวเราะมีความสุขยิ่งสร้างความเจ็บปวดให้แก่นาง จนถึงตอนนี้พวกเขาก็คงไม่รู้ว่านางทรมานก่อนตายอย่างไร ไม่สิถึงพวกเขารู้พวกเขาก็คงไม่ยืนมือเข้าช่วยนาง อีกอย่างสูญเสียนางดีกว่ายอมให้เกิดสงคราม
เฉาชิวเฟินหลับตาลงนางไม่อยากเห็นอะไรไปมากกว่านี้อีกแล้ว แต่ดูเหมือนตอนมีชีวิตอยู่ นางทำกรรมหนักถึงไม่มีใครมารับดวงวิญญาณของนาง
วิญญาณของนางผ่านกาลเวลาจากร้อยเป็นพัน จากพันเป็นหมื่นการใช้ชีวิตของผู้คนเริ่มเปลี่ยนไปตามกาลเวลา วัฒนธรรมเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเปลี่ยน และอะไรอีกหลายอย่างมากมาย
กลุ่มคนที่นางเกลียดชังเวียนว่ายตายเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่นางยังคงไม่ไปไหน เมื่อไหร่นางจะได้เกิดใหม่กับเขาสักที
“องค์หญิงเก้า”
ชิวเฟินหันไปมองตามเสียงเรียก นางเห็นชายชราผมขาวมองมายังนางอยู่ก่อนแล้ว รอมานานกว่าหมื่นปีในที่สุดก็มีคนมารับดวงวิญญาณของนาง
“ อยู่มานานเพียงนี้ท่านยังปล่อยวางไม่ได้อีกหรือ “
เทพแห่งชะตามองชิวเฟินด้วยสายตายากจะคาดเดา ความจริงแล้วมันเป็นความผิดพลาดขอเขา เขาเพียงแค่รอโอกาสแก้ไขความผิดพลาดของตนเองก็เท่านั้น
“ จากวันนั้นถึงวันนี้สิ่งที่ติดค้างในใจของข้าคงมีเพียงแต่ข้าผิดอะไร ”
“ท่านเห็นตรงหน้าท่านหรือไม่ระหว่างเกิดใหม่บนโลกของความเท่าเทียม กับการกลับไปเกิดยังที่เดิมท่านจะเลือกอะไร”
“หากข้าเลือกได้ข้าอยากกลับไปแก้ไขอดีต หากไม่ใช่เพราะข้าเสด็จแม่คงไม่จากไป เป็นวิญญาณมานานเพียงนี้แต่ข้ากลับไม่เห็นนางเลย”
“ในใจของท่านมีความแค้น”
“แน่นอนมีใครบ้างไม่โกรธแค้นแต่ที่โกรธมากที่สุดคือตัวของข้าเอง”
เทพแห่งโชคชะตาไม่ได้พูดอะไรต่อเขาพาดวงวิญญาณของชิวเฟินไปยังที่ตำหนักเทพของเขา ซึ่งด้านหลังนั้นเป็นป่าท้อผลของมันเป็นสีแดงอมชมพู
ชิวเฟิงมองผลท้อเหล่านั้นแล้วนึกอยากกินขึ้นมา หลายปีมานี้นางลืมเลือนรสชาติอาหารไปเสียแล้ว
“ป่าท้อนี้ข้าปลูกเองเชียวนะ หากท่านอยากกินข้ามอบให้ท่านสามลูกก็ได้แต่ท่านต้องไปเลือกเอาเองจากต้น “
ชิวเฟินยิ้มให้ชายชราด้วยความดีใจ เพราะไร้บุตรนางจึงไม่มีใครทำบุญให้เหมือนคนอื่น ลูกท้อสามลูกเป็นสิ่งแรกในรอบหมื่นปีของนาง พอกินท้อลูกโตเสร็จนางก็หลับใต้ต้นท้อทันที
บทนำ
บทนำ
สตรีใบหน้างดงามเป็นเอกมองดูร่างไร้วิญญาณของตนเอง จบสิ้นแล้วความเจ็บปวดที่ได้รับก่อนตาย ไม่รู้ว่าทุกที่เกิดขึ้นเป็นเพราะสวรรค์กำหนดหรือว่าเกิดจากการกระทำของนางเอง
ห้าหนาวมารดาจากไป เด็กคนหนึ่งไร้ที่พึ่งพิงบิดาไม่รักใคร่ สตรีทั้งหลายยื้อแย่งเลี้ยงดูนางเพื่อผลประโยชน์ พอเติบโตมาหน่อยนางก็กลายเป็นหมากของผู้คน ความรักไม่สมหวังถูกหลอกลวงและโดนหักหลัง
สุดท้ายถูกส่งไปต่างแคว้น การไปอยู่ต่างแคว้นใช่ว่าจะสุขสบาย เมื่อไม่ใช่ที่รักของผู้คนพวกเขาไหนเลยจะสนใจเพราะไร้ประโยชน์ การทำตัวร้ายกาจและดิ้นรนเอาตัวรอดของนางมันผิดนักหรืออย่างไร
เฉาชิวเฟินมองดูเหตุการณ์ที่ผ่านมาในอดีตของนาง ทุกอย่างหมุนเปลี่ยนเวียนไปตามความรู้สึกนึกคิดของนาง ช่วงเวลาที่นางมีความสุขคือตอนมารดามีชีวิตอยู่
วิญญาณของเฉาชิวเฟินล่องลอยกลับไปยังบ้านเกิด นางไม่แม้แต่อาลัยอาวรณ์ร่างของนางอยู่ในคุกใต้ดินชายแดนของต่างแคว้นเลยสักนิด
ภาพของคนพวกนั้นหัวเราะมีความสุขยิ่งสร้างความเจ็บปวดให้แก่นาง จนถึงตอนนี้พวกเขาก็คงไม่รู้ว่านางทรมานก่อนตายอย่างไร ไม่สิถึงพวกเขารู้พวกเขาก็คงไม่ยืนมือเข้าช่วยนาง อีกอย่างสูญเสียนางดีกว่ายอมให้เกิดสงคราม
เฉาชิวเฟินหลับตาลงนางไม่อยากเห็นอะไรไปมากกว่านี้อีกแล้ว แต่ดูเหมือนตอนมีชีวิตอยู่ นางทำกรรมหนักถึงไม่มีใครมารับดวงวิญญาณของนาง
วิญญาณของนางผ่านกาลเวลาจากร้อยเป็นพัน จากพันเป็นหมื่นการใช้ชีวิตของผู้คนเริ่มเปลี่ยนไปตามกาลเวลา วัฒนธรรมเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเปลี่ยน และอะไรอีกหลายอย่างมากมาย
กลุ่มคนที่นางเกลียดชังเวียนว่ายตายเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่นางยังคงไม่ไปไหน เมื่อไหร่นางจะได้เกิดใหม่กับเขาสักที
“องค์หญิงเก้า”
ชิวเฟินหันไปมองตามเสียงเรียก นางเห็นชายชราผมขาวมองมายังนางอยู่ก่อนแล้ว รอมานานกว่าหมื่นปีในที่สุดก็มีคนมารับดวงวิญญาณของนาง
“ อยู่มานานเพียงนี้ท่านยังปล่อยวางไม่ได้อีกหรือ “
เทพแห่งชะตามองชิวเฟินด้วยสายตายากจะคาดเดา ความจริงแล้วมันเป็นความผิดพลาดขอเขา เขาเพียงแค่รอโอกาสแก้ไขความผิดพลาดของตนเองก็เท่านั้น
“ จากวันนั้นถึงวันนี้สิ่งที่ติดค้างในใจของข้าคงมีเพียงแต่ข้าผิดอะไร ”
“ท่านเห็นตรงหน้าท่านหรือไม่ระหว่างเกิดใหม่บนโลกของความเท่าเทียม กับการกลับไปเกิดยังที่เดิมท่านจะเลือกอะไร”
“หากข้าเลือกได้ข้าอยากกลับไปแก้ไขอดีต หากไม่ใช่เพราะข้าเสด็จแม่คงไม่จากไป เป็นวิญญาณมานานเพียงนี้แต่ข้ากลับไม่เห็นนางเลย”
“ในใจของท่านมีความแค้น”
“แน่นอนมีใครบ้างไม่โกรธแค้นแต่ที่โกรธมากที่สุดคือตัวของข้าเอง”
เทพแห่งโชคชะตาไม่ได้พูดอะไรต่อเขาพาดวงวิญญาณของชิวเฟินไปยังที่ตำหนักเทพของเขา ซึ่งด้านหลังนั้นเป็นป่าท้อผลของมันเป็นสีแดงอมชมพู
ชิวเฟิงมองผลท้อเหล่านั้นแล้วนึกอยากกินขึ้นมา หลายปีมานี้นางลืมเลือนรสชาติอาหารไปเสียแล้ว
“ป่าท้อนี้ข้าปลูกเองเชียวนะ หากท่านอยากกินข้ามอบให้ท่านสามลูกก็ได้แต่ท่านต้องไปเลือกเอาเองจากต้น “
ชิวเฟินยิ้มให้ชายชราด้วยความดีใจ เพราะไร้บุตรนางจึงไม่มีใครทำบุญให้เหมือนคนอื่น ลูกท้อสามลูกเป็นสิ่งแรกในรอบหมื่นปีของนาง พอกินท้อลูกโตเสร็จนางก็หลับใต้ต้นท้อทันที
ตอนที่ 1
ตอนที่ 1
เสียงร้องไห้ดังข้าหูทำให้คนหลับใหลเริ่มตื่น เพียงแค่ลืมตาเฉาชิวเฟินถึงกับเบิกตากว้าง เป็นวิญญาณนานกว่าหมื่นปีคนที่นางเที่ยวตามหากลับไปพบแม้แต่เศษเสี้ยวของวิญญาณ แต่ตอนนี้กลับปรากฏต่อหน้าของนาง
“เสด็จแม่ “เฉาชิวเฟินอยากร้องเรียกสตรีใบหน้างดงามตรงหน้าของนาง เพียงแต่เสียงของนางนั้นทั้งแหบแห้งและแผ่วเบา ตามด้วยความรู้สึกเจ็บลำคอ
เจ็บ…ความรู้สึกเจ็บเช่นนั้นหรือนางไม่รู้สึกแบบนี้จนแทบลืมเลือนมันไปแล้ว นางสัมผัสได้ถึงอากาศบริสุทธิ์ตามด้วยความเจ็บปวดทั่วทั้งกาย
เกิดอะไรขึ้นชิวเฟินหลับตาลงอีกครั้ง นางจำได้ว่านางกินลูกท้อของท่านผู้เฒ่าจากนั้นก็หลับไป พอรู้สึกตัวนางกลับรู้สึกว่าตนเองกำลังมีเลือดมีเนื้ออีกครั้ง
“ฮองเฮาเพคะหม่อมฉันไปตามหมอมาแล้วแต่ว่าหมอหลวงไปที่ตำหนักเจินกุ้ยเฟยกันหมด”
นางกำนัลรายงานจบก็ก้มหัวลงพื้นทันที เพราะเกรงกลัวโทสะของมารดาแผ่นดิน ต่อให้ฮองเฮาผู้นี้ไม่ได้เป็นที่รักของฮ่องเต้ ไม่มีอำนาจในวังหลังแต่ก็ยังเป็นฮองเฮา
ว่ากันว่าฮองเฮานั้นมีนิสัยร้ายกาย ตอนเป็นไท่จื่อเฟยทำนางกำนัลโปรดปรานตายตกไปหลายคน ใครมีใบหน้างดงามความงามนั้นก็หายสิ้นไปในคืนเดียว
ดังนั้นพระองค์ถึงถูกขังอยู่ที่ตำหนักท้ายวัง ห้ามออกนอกตำหนักนางกำนัลขันทีถูกส่งมา ก็ถูกส่งออกไปแบบไร้วิญญาณ นางเป็นนางกำนัลมาใหม่เลยอดหวาดกลัวไม่ได้
ชุ่ยตงฉีรู้สึกเหมือนมีมีดหลายเล่มแทงเข้าไปในหัวใจของนางครั้งแล้วครั้งเล่า ตั้งแต่แต่งงานกันมาเขาไม่เคยสนใจนางสักครั้ง นอกจากเขาไม่ไยดีต่อนางแล้วเขายังไม่ไยดีต่อธิดาของนางด้วย
มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่น ยิ่งมองใบหน้าซีดเผือดของลูกสาวตัวน้อยวัยห้าหนาวนางก็ยิ่งปวดใจ เมื่อก่อนตระกูลชุ่ยของนางเป็นกำลังหลักให้กับแคว้น แต่เมื่อปีก่อนทุกคนในตระกูลของนางตายตกในสนามรบ ชีวิตในวังหลังของนางไม่ต่างอะไรกับตายทั้งเป็น
“เสด็จแม่ “ตอนนี้ชิวเฟินรู้ตัวแล้วว่าตนเองกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง บทสนทนาระหว่างมารดาและนางกำนัลคนใหม่ ทำให้นางรู้ว่านางอยู่ในวัยห้าหนาว
สวรรค์คงอยากให้โอกาสนางกลับมาแก้ไข ตอนนี้พระมารดาของนางยังไม่ทำความผิดร้ายแรง บิดาไร้ใจคนนั้นของนางยังไม่มอบผ้าขาวให้กับพระมารดา แต่ทว่าอีกไม่นางตัวนางจะถูกส่งไปอยู่ซีอู๋สั่ว ที่อยู่ของเหล่าองค์หญิงเกิดจากพระสนมยศต่ำ ไม่มีสิทธิ์เลี้ยงดูลูกของตนเอง และองค์หญิงที่พระมารดาของตนจากไปก่อนวันอันควร
“เฟินเออร์ลูกฟื้นแล้ว “ชุ่ยตงฉีรีบปรับอารมณ์ของตนเอง เพราะในห้องนั้นเงียบ แม้คนป่วยเสียงเบาขนาดไหนคนในห้องต่างก็ได้ยิน
“ลูกหิวน้ำเจ้าคะ”
“นะ…น้ำได้แม่จะเอาน้ำให้เจ้ากิน “ร่างบางของมารดาแผ่นดินรีบลุกขึ้น แล้วรีบหาน้ำให้ลูกสาวนางยกมือข้างขวาปาดหยดน้ำตาออกจากแก้ม ที่ผ่านมานางผิดต่อลูกคนนี้เพราะคิดว่าอย่างไรเขาก็ต้องเห็นแก่ลูก เพียงแค่ได้ยินว่าธิดาของตนเองป่วยเข้าต้องมาดูแน่นอน
แต่ไม่เพียงแค่ไม่มาดูแม้แต่หมอยังไม่มีให้ คงไม่มีใครเป็นฮองเฮาและความเป็นอยู่ขัดสนเช่นนางอีกแล้ว รอให้นางมีโอกาสหากมีเพียงน้อยนิด นางจะต้องเอาคืนให้สาสม
“เสด็จแม่ลูกหิวแล้วเพคะ”
“หิวหรือ…เจ้าต้มข้าวเป็นหรือไม่ “เพราะอาหารถูกส่งมาให้นั้นส่วนมากเป็นผักและข้าวต้มมีแต่น้ำเสียมากกว่าชุ่ยตงฉีจึงแอบให้ขันทีซื้อข้าวขาวมาให้ ได้กินข้าวหุงกับเกลือก็ยังดีกว่ากินข้าวต้มเศษผัก
“เป็นเพคะ หม่อมฉันจะไปทำให้องค์หญิงเก้าเดี๋ยวนี้”
นางกำนัลใหม่รีบวิ่งออกไปทันที ตอนนี้ในห้องมีเพียงสองแม่ลูกเท่านั้น ชิวเฟินรู้สึกว่าร่างกายของนางไม่ได้เจ็บเหมือนก่อนหน้านั้นแล้ว
จำได้ตอนนั้นเสด็จแม่ของนางอยากให้ฮ่องเต้เสด็จมาหาตนจึงให้นางแช่น้ำแย่จัด หลังจากนั้นนางก็ล้มป่วยบิดาใจดำของนางไม่เพียงไม่สนใจ แต่กล่าวต่อว่าพระมารดาของนางว่าดูแลลูกไม่ดี ในเมื่อเลี้ยงลูกไม่ได้ก็ให้ส่งนางไปที่อื่น ตั้งแต่นั้นนางก็แยกจากอกของมารดา และไม่ได้พบกันอีกจนกระทั่งงานเลี้ยงต้อนรับราชทูตปีนั้น
ต่อให้คนทั้งแคว้นละเลยฮองเฮาอย่างชุ่ยตงฉีแต่เมื่อมีแขกบ้านแขกเมื่อจะขาดคนสำคัญอย่างมารดาแผ่นดินไม่ได้ นางริษยาที่บิดาและผู้คนเอาใจใส่พี่สาวต่างมารดามากกว่าจึงผลักอีกฝ่ายตกน้ำ
พระมารดาของนางน้อมรับความผิดเอาไว้ทั้งหมดจึงทำให้ถูกปลดออกจากตำแหน่ง และมอบผ้าขาวให้หลังจากนั้นเจินกุ้ยเฟยก็ขึ้นเป็นฮองเฮาแทน แต่นางได้โอกาสกลับมาแล้วนางจะไม่ให้เป็นเช่นนั้นอีก
บิดาไม่รักก็ช่างหัวบิดา นางมีมารดาเพียงคนเดียวก็พอแล้ว ทำร้ายจิตใจมารดาของนางใช้หรือไม่สักวันหนึ่งนางจะทำให้บุรุษใจดำมานอนใต้เท้าของมารดาของนางให้ได้
“เสด็จแม่ลูกหายป่วยแล้วเพคะอย่าได้กังวลพระทัยเลย”
ชิวเฟินจับมือของตงฉีมากุมแก้มของตนเอง นอกจากหายป่วยแล้วนางยังรู้สึกว่าร่างกายของนางยังแข็งแรงกว่าแต่ก่อน
“เฟินเออร์แม่ขอโทษ”
“เสด็จแม่คนอื่นจะไม่ก็ช่างแต่เสด็จแม่ยังมีลูกอยู่นะเพคะ ลูกรักเสด็จแม่มากที่สุด เสด็จแม่ตัดใจจากชายใจดำผู้นั้นได้หรือไม่เพคะ”
“เฟินเออร์…เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น”
“ลูกรอความรักจากบิดาจนเหนื่อยล้าแล้วเพคะ ลูกไม่ต้องการอีกแล้วแต่ลูกขาดเสด็จแม่ไม่ได้”
“เฟินเออร์ของแม่ “ชุ่ยตงฉีดึงร่างเล็กเข้ามากอดแบบอก นางร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร ความอดกลั้นและกำแพงที่นางสร้างขึ้นมาเอาไว้คอยปกป้องตนเองพังทลายลง
พระธิดาของนางรอความรักจากผู้เป็นบิดาจนเหนื่อยล้าแล้ว คนเป็นแม่ยิ่งฟังยิ่งเจ็บปวด นางเองก็รอความรักจากสามีจนเหนื่อยล้าเช่นกัน
นางควรถอยใช่หรือไม่ หลายปีมานี้นอกจากสนมรักอย่างเจินกุ้ยเฟยแล้วคนผู้นั้นคงไม่เหลือหัวใจเอาไว้ให้ใครอีก
สองแม่ลูกร้องไห้จนหลับแต่ดูเหมือนว่าคนเป็นมารดาหลับลึกมากกว่า เนื่องจากไม่ได้นอนมาหลายวัน ชิวเฟินดันกายของตนเองลุกขึ้นจากเตียง นางห่มผ้าให้มารดาแล้วเดินออกไปด้านนอก
ตำหนักอี้คุนแห่งนี้เป็นตำหนักใหญ่ก็จริงแต่ว่าอยู่ท้ายวัง ความจริงแล้วฮองเฮาสมควรอยู่ตำหนักคุณหนิงเสียมากกว่า แต่ว่าตำหนักคุนหนิงนั้นกลายเป็นของเจินกุ้ยเฟย สตรีที่เป็นรักแรกของฮ่องเต้
เพราะรักเสด็จแม่ของนางจึงวางยาปลุกกำนัลองค์รัชทายาทจนได้แต่งเป็นไท่จื่อเฟย เพราะรักจึงกลายเป็นสตรีร้ายกาจหลงลืมตัวตนของตนเอง กว่าจะตั้งครรภ์นางได้นั้นแสนยากลำบาก
เฉาชิวเฟินยิ้มออกมารอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน เจินกุ้ยเฟย สตรีจากตระกูลเวินใบหน้างดงามดุจเทพบุปผา กลิ่นกายหอมอ่อนโยนมีเมตตา
อ่อนโยนมีเมตตากับผีนะสิ เวินเหวินนางก็เปรียบเหมือนจิ้งจอกเก้าหางดี ๆ นี้เอง
ช่วงเวลาที่สตรีนางนี้เป็นฮองเฮาทำเรื่องชั่วมากมาย กว่าบิดาตาบอดของนางจะเห็นธาตุแท้ของสตรีนางนี้ตระกูลเวินก็มีอำนาจเหนือฮ่องเต้แล้ว
“องค์หญิงเพคะ”
“เบาเสียงหน่อยเสด็จแม่กำลังนอน”
ชิวเฟินส่งสัญญาณให้นางกำนัลออกไปจากห้องบรรทม ในมือของนางกำนัลถือข้าวต้มเกลือด้วย สายตาผ่านอะไรมามากมายหลายไปมองนางกำนัลยืนอยู่ต่อหน้า นางกำนัลคนนี้จะกลายเป็นพี่เลี้ยงของนาง แต่คนดีและซื่อสัตย์ไม่อาจมีชีวิตยาวนานได้ในวังหลวงแห่งนี้
“เจ้าชื่ออะไร “ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายชื่ออะไร แต่ชิวเฟินก็เลือกถามหากไม่ถามแล้วทักชื่อมันก็คงแปลกไปสักหน่อย
“หม่อมฉันชื่อเหยาส่วงสี่เพคะ เรียกหม่อมฉันว่าส่วงสี่ก็ได้เมื่อก่อนหม่อมฉันเป็นนางกำนัลส่วนกลางเพคะ ไม่เคยรับใช้ตำหนักใดมาก่อน”
“อืม..” ชิวเฟินตอบรับมือจับช้อนแล้วตักข้าวต้มเกลือเข้าปาก การเป็นวิญญาณมาหมื่นปีทำให้นางมองเห็นความเปลี่ยนแปลงจากช่วงเวลาต่าง ๆ แม้ไม่เคยสัมผัสแต่นางก็จดจำวิธีการเหล่านั้นได้
สิ่งแรกที่นางควรทำคือดึงมารดาให้ลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเท้าเดินออกจากความทุกข์ ทุกข์เกิดจากตัวเราสุขก็เกิดจากตัวเราขึ้นอยู่กับว่าเรานั้นเลือกสิ่งใด
ส่วนคนพวกนั้นหากไม่มายุ่งกับนาง นางก็ไม่ยุ่งด้วยรอจนกว่านางเติบโตและมีกำลังมากพอ นางจะเอาคืนคนพวกนั้นตอนนี้นางยังเด็กอยู่ ไม่อยากเป็นกำพร้าแม่ตายอีกรอบนางต้องเปลี่ยนแปลงท่านแม่ของนางให้ได้
ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้วตั้งแต่การกลับมาเกิดใหม่ในร่างเดิม ชิวเฟินใช้เวลาส่วนใหญ่ในตำหนักอี้คุน นางทำตัวเป็นเด็กน้อยใสซื่อพูดเล่นหยอกล้อกับมารดา
ดูเหมือนว่าท่านแม่ของนางกำลังตัดใจจากบุรุษใจดำผู้นั้น หลายวันมานี้ไม่เสียเงินให้บรรดาขันทีและนางกำนัลไปสืบข่าว อีกทั้งยังอยู่แต่ในตำหนักไม่พยายามก้าวเท้าออกไปจากตำหนัก
เพราะปีก่อนชุ่ยฮองเฮาทำให้พระสนมกำลังตั้งครรภ์แท้งทำให้ถูกกักขังในตำหนักแบบไม่มีกำหนดปล่อยตัว ทำให้เรื่องวังหลังตกไปอยู่ภายใต้การดูแลของเจินกุ้ยเฟย
“เฟินเออร์ของแม่ถอนหายใจอีกแล้ว”
“เสด็จแม่ลูกไม่อยากไปเรียนเจ้าคะ”
ถึงพระมารดาจะถูกกักขังในตำหนัก แต่ว่าคนเป็นองค์หญิงอย่างนางต้องไปเรียนหนังสือ มีกงกงมาแจ้งเตือนหลายครั้งแล้วตั้งแต่ล้มป่วยนางก็ไม่สามารถไปเรียนร่วมกับพี่น้องทั้งหลายของนางได้ แต่พอหายป่วยนางก็ไม่อยากไป บ่ายเบี่ยงมาหลายครั้งแต่ครั้งนี้คงหาข้ออ้างไม่ได้อีก
“เมื่อก่อนเจ้าออกจะชอบไม่ใช่หรือ”
“ตอนนี้ไม่ชอบแล้วลูกอยากอยู่กับเสด็จแม่มากกว่า “ชิวเฟินส่งสายตาออดอ้อนให้พระมารดา อีกทั้งยังเอาร่างน้อยของตนเองซุกเข้าไปยังหน้าอกนุ่มและแสนอบอุ่นนั้นด้วย
ในขณะที่ชุ่ยตงฉีเองก็สูดเอากลิ่นหอมจากตัวเจ้าก้อนแป้งน้อยของนางเช่นกัน นึกดูแล้วก็แปลกตั้งแต่ล้มป่วยแล้วฟื้นตัวขึ้นมา กลิ่นตัวของบุตรสาวนางหอมเหมือนกับกลิ่นของลูกท้อ ไม่เพียงแค่กลิ่นกายหอมแต่กลิ่นผมก็หอมเช่นกัน
กลิ่นหอมของลูกท้อทุกครั้งที่เจ้าตัวน้อยเข้าใกล้นาง นางมักรู้สึกผ่อนคลายและอบอุ่นเสมอ อีกทั้งยังมีความรู้สึกปลอดภัยด้วย หนึ่งเดือนมานี้นางคิดได้แล้ว
นางจะไม่นึกถึงคนที่ไม่รักนางไม่ไยดีนางอีกแล้ว นับแต่นี้ต่อไปนางจะใช้ชีวิตเพื่อลูกของนาง
“ไม่ต้องมาใช้สายตาเช่นนี้กับแม่ เกิดเป็นคนต้องมีความรู้ติดตัวไปได้แล้ว”
ชุ่ยตงฉีพูดจบก็รีบหันหลังเดินเข้าไปในตำหนัก เพราะกลัวว่านางจะใจอ่อนลากเจ้าตัวน้อยเข้าไปกกกอดในตำหนักแทนการไปเรียนหนังสือ
เฉาชิวเฟินถอนหายใจออกมาอีกครั้ง นางรู้หนังสือทุกตัวอักษรรู้เยอะด้วยแต่นางจะเอ่ยปากบอกใครได้เล่า แค่นางทำตัวเป็นเด็กก็อึดอัดมากพอแล้ว เหนือไปกว่านั้นคือนางไม่อยากเดินตำหนักอี้คุนยิ่งอยู่ท้ายวัง เดินกว่าครึ่งชั่วยามกว่าจะถึงสถานที่สำหรับเรียน
“องค์หญิงเก้าเพคะ”
“เฮ้ย…”
ชิวเฟินตัดใจหันหลังให้กับตำหนักอี้คุน ด้านหลังมีนางกำนัลส่วงสี่และขันทีน้อยวัยสิบห้าหนาวว่าเฉินฝู เฉินฝูหรือเฉินกงกงผู้นี้อยู่กับนางทุกช่วงเวลา เขาเป็นคนดีคนหนึ่งจิตใจไร้ความทะเยอทะยาน แม้ช่วงสุดท้ายของชีวิตเขายังตายเพื่อนาง น่าเสียดายชิวเฟินในชาติก่อนเห็นเขาเป็นเพียงสุนัขรับใช้คนหนึ่งเท่านั้น
วันนี้เป็นวันเยี่ยมญาติ ประตูด้านทิศใต้ทุกเดือนเปิดให้เหล่าขันทีนางกำนัลในวังหลวงพบญาติจากบ้านของตนเอง โดยมีกรงเหล็กขวางเอาไว้ พวกเขาเพียงแค่ได้พบหน้าถามไถ่ บางคนก็ใช่โอกาสนี้มอบเงินให้ครอบครัว
ชิวเฟินหยุดเดินแล้วหันหลังกลับไปมองสองคน นางเรียนรู้ได้ว่าการซื้อใจคนนั้นไม่ควรใช้อำนาจข่มเหง แต่ควรใช้พระคุณโชคดีที่นางฉลาดขโมยเงินถุงใหญ่ของเสด็จแม่มา ไม่ใช่นางไม่ได้ขโมยแต่นางหยิบมาพร้อมกับจดหมายแจกแจงรายละเอียดเอาไว้ หวังว่ากลับไปเสด็จแม่คงไม่ลงหวายที่ก้นน้อย ๆ ของนางหรอกกระมัง
ตอนที่ 2
ตอนที่ 2
เฉินฝูและส่วงสี่มองหน้ากันเมื่อเห็นองค์หญิงเก้ายืนถุงเงินให้กับพวกเขา แน่นอนว่าการเป็นขันทีและนางกำนัลได้รับเงินเดือนแต่รางวัลจากเจ้านายจะได้รับในวันสำคัญเพียงเท่านั้น
“รับไปสิ วันนี้เป็นวันพบญาติไม่ใช่หรือเงินในถุงนี้ถือว่าเป็นของกำนัลระหว่างพวกเรา”
เฉินฝูและส่วงสี่รับถุงเงินอดซาบซึ่งกับน้ำพระทัยขององค์หญิงพระองค์น้อยไม่ได้ องค์หญิงเก้าปีนี้อายุห้าหนาวแต่กลับมีร่างเล็กกว่าพี่น้องคนอื่น ถึงแม้ว่ามีพระมารดาเป็นถึงฮองเฮาแต่หากไร้อำนาจทั้งบนทั้งล่างย่อมไม่พ้นถูกผู้คนรังแก
ผู้คนต่างพูดว่าฮองเฮาร้ายกาจแต่พวกเขากลับมองเห็นพระนางเป็นเพียงสตรีนางหนึ่ง ที่ถูกสามีทอดทิ้งไร้บ้านเดิมให้กลับเท่านั้น แม้รู้ว่าไม่ควรคิดไม่ดีกับผู้ครองแคว้น แต่มันดีแล้วหรือที่ทอดทิ้งสายเลือดนักรบ ตระกูลชุ่ยปกป้องแคว้นจนตกตายทั้งตระกูลเหลือเพียงสองพี่น้องเท่านั้น
“พวกเจ้าไม่ต้องซึ้งใจหรอกมันไม่ใช่เงินข้า…ข้าขโมยเสด็จแม่มา”
“ห๊า”
ชิวเฟินหัวเราะออกมาเมื่อเห็นว่าคนทั้งสองมีสีหน้าไม่ต่างอะไรกับคนหลงทาง นางหมุนตัวแล้วเดินมุ่งหน้าไปยังหอศึกษาหลวงประจำราชวัง
ศึกษาหอศึกษาหลวงตั้งอยู่เขตวังหน้าทางทิศตะวันตก ล้อมรอบไปด้วยหอตำรา อุทยานป่าท้อ และศาลาสำหรับนั่งเรียน โดยมีอาจารย์ทั้งหมดสามคน แต่มีท่านราชครูต้วนเป็นผู้ดูแลอีกที
กว่าชิวเฟินจะมาถึงก็เริ่มเรียนกันไปแล้ว ในบรรดาองค์ชายองค์หญิงไม่ใช่องค์หญิงอายุน้อยที่สุด แต่ยังมีองค์หญิงสิบ องค์หญิงสิบเอ็ด ทั้งสองเกิดปีเดียวกันกับนาง แต่เกิดหลังนางไม่กี่เดือนเท่านั้นเอง
“เฉาชิวเฟินคารวะท่านอาจารย์เจ้าคะ”
ชิวเฟินคารวะอาจารย์ผู้สอนสายตามองหาที่ว่าง ด้านหลังมีที่ว่าเหลืออยู่นางจึงเดินไปนั่ง ไม่สนใจสายตาของบรรดาพี่น้องและคุณหนูคุณชายทั้งหลาย ความจริงแล้วนางควรนั่งแถวหน้าเป็นการให้เกียรติพระธิดาสายตรงของนาง แต่ในเมื่อมารดาไม่เป็นที่เคารพของผู้คน โวยวายไปก็ไม่เกิดผล
“เอาละพวกเรามาเรียนกันต่อ”
เสียงของอาจารย์ทำให้ทุกคนหันมาสนใจกับการเรียนอีกครั้ง สำหรับเด็กแล้วคงไม่พ้นให้ท่องจำอักษรและเขียนอักษร ชิวเฟินพยายามใช้มือกำพู่กันอย่ายากลำบาก
อาจเพราะร่างกายเป็นเพียงเด็กห้าหนาว ทำให้นางไม่สามารถควบคุมน้ำหนักได้ ลายเส้นบนหนังสือแผ่นไม้ไผ่ยึกยักเหมือนงูลอยน้ำไม่มีผิด
“คิก ๆ ๆ ๆ “ชิวเฟินอดหัวเราะให้กับตนเองไม่ได้ การกลับมาเป็นเด็กอีกครั้งก็ดีเหมือนกัน ครั้งนี้ไม่ต้องยึดติดกับฐานะไม่ต้องแข่งขันให้ตนเองมีตัวตนในสายตาคนอื่น และไม่ต้องการความรักจากบิดาเช่นกัน
อาจารย์สอนเหล่าเชื้อพระวงศ์รุ่นเล็ก คือต้วนเซวียนเขาเป็นบุตรชายคนโตของท่านราชครูต้วนและยังมีศักดิ์เป็นน้าเขยของชิวเฟินเช่นกัน
ครั้งก่อนนางได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลต้วนหลายครั้ง ท่านน้าเล็กของนางเป็นที่รักใครของสามีนับว่าวาสนาเรื่องคู่ครองของท่านน้าเล็กดีกว่าพระมารดาของนาง
“องค์หญิงเก้าพู่กันของพระองค์ใหญ่เกินไปกระหม่อมมีพู่กันเล็กอยู่อันหนึ่งเอาไว้ใช่เถอะพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอบคุณญาติผู้พี่มากเจ้าคะ”
ชิวเฟินมองญาติผู้พี่ของนางด้วยสายตาซาบซึ้ง ต้วนอี้เจินเป็นบุตรชายคนโตของท่านน้าอวี่ลั่ว คนผู้นี้เกิดในตระกูลบัณฑิตแต่ไม่ชอบเรียนหนังสือ มุงเอาดีด้านกองทัพปีนั้นนางถูกขังเขาถึงกับบุกชายแดนต่างแคว้นเพื่อเข้าไปช่วยนาง
แต่ก็สายไปเสียแล้วเพราะเขาได้แต่ร่างไร้วิญญาณของนางเท่านั้น หลังจากนั้นตระกูลต้วนก็เป็นคนทำพิธีฝังศพนาง และไม่นานต้วนอี้เจินก็ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพ ครั้งก่อนเพราะความเห็นแก่ตัวของนางจึงไม่ได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเขา
ดูเหมือนว่าการกลับมาคราวนี้ไม่เพียงแค่เริ่มต้นใหม่ แต่นางยังต้องชดใช้ให้กับกลุ่มที่นางติดค้างบุญคุณด้วย
“พี่อี้เจินเฟินเออร์ฝากซื้อของได้หรือไม่เจ้าคะ”
อี้เจินเห็นสายตาออดอ้อนจากญาติผู้น้องเขาก็รู้สึกแปลกใจ องค์หญิงเก้าปกติแล้วมักทำตัวเหินห่างและถือตัว แต่วันนี้เรียกเขาพี่ได้เต็มปาก แถมยังไม่มีความถือดีเหมือนแต่ก่อน
“ดะ..ได้..ว่าแต่องค์หญิงจะฝากซื้ออะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เมล็ดพันธุ์ผักเจ้าคะ”
พูดจบชิวเฟินก็ส่งยิ้มหวานให้ อี้เจินนิ่งค้างราวกับเห็นผีไม่มีผิด ทำให้ชิวเฟินหัวเราะออกมา ทุกคนในชั้นเรียนต่างหันมามองนางเป็นสายตาเดียวกัน หนึ่งในนั้นมีองค์หญิงใหญ่และองค์หญิงรองซึ่งเกิดจากพระสนมเจินกุ้ยเฟยด้วย
นั่งเรียนกว่าสองชั่วยามอาจารย์ก็ให้ทุกคนพัก จากนั้นค่อยกลับมาเรียนใหม่ในวิชาวาดภาพ ชิวเฟินพยายามมองหาที่ว่างแต่ว่าศาลากลับถูกจับจองกันหมดแล้ว
อาหารกลางวันลำเลียงมาส่งให้กับทุกคน แต่ชิวเฟินกลับไม่ได้รับพวกเขาบอกว่าไม่ทราบนางจะมาเรียนวันนี้ หากเป็นเมื่อก่อนนางคงลุกขึ้นมาโวยวายแล้วจับคนลงโทษแล้ว แต่ตอนนี้นางจะไม่ทำเช่นนั้น
“น่าโมโหที่สุดทำแบบนี้ได้อย่างไร “ส่วงสี่รู้สึกโมโหขึ้นมาพระสนมทั้งหลายขัดขากันเป็นเรื่องปกติ แต่องค์หญิงเก้าเป็นเพียงเด็กตนหนึ่งเท่านั้นเหตุใดพวกนางถึงไม่ละเว้น
เฉินกงกงทนไม่ไหวเขารีบวิ่งไปโรงครัว แต่พอรู้ว่าเขามาจากตำหนักอี้คุนคนพวกนั้นก็พร้อมใจกันทุบตีเขา นอกจากไม่ได้อาหารแล้วยังเจ็บตัวอีก ตอนนี้เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าคนที่ร้ายกาจที่สุดคือฮองเฮาหรือคนอื่น
“พวกเจ้ากล้าดียังไงถึงทำร้ายคนจากตำหนักอี้คุน”
“เหอ..เจ้านายไร้ประโยชน์ของพวกเจ้านะหรือจะโดนปลดออกจากตำแหน่งเมื่อใดก็ไม่รู้ทำไมพวกข้าจะไม่กล้า”
เฉินฝูมองขันทีจากตำหนักคุนหนิงด้วยสายตาไม่พอใจ เพราะเจ้านายของเขาไม่มีอำนาจมีปากเสียงไปก็ไร้ประโยชน์
ทางด้านชิวเฟินนางกำลังตบตีกับความหิวกลิ่นอาหารลอยมาตามสายลมทำให้ท้องน้อย ๆ ของนางปั่นปวน นางนั่งอยู่ใต้ร่มไม้กับส่วงสี่เพียงสองคน เฉินฝูไปนานแล้วยังไม่กลับแน่นอนว่าต้องมีปัญหาแน่นอน
“องค์หญิงเพคะ “ส่วงสี่เรี่องค์หญิงของนาง นางอยากไปตามเฉินกงกงแต่ไม่กล้าปล่อยองค์หญิงเอาไว้คนเดียว ดูก็รู้ว่าทุกคนในวังแห่งนี้พร้อมใจกันหาเรื่ององค์หยิงเก้า
“ช่างเถอะข้าจะไม่ก่อเรื่องให้เสด็จแม่ลำบากพระทัยอีก “แน่นอนว่าทุกครั้งที่นางทำผิดคนได้รับโทษล้วนเป็นเสด็จแม่ของนาง นางต้องระวังคนพวกนั้นกำลังหาเรื่องแยกนางออกจากพระมารดา
“เช่นนั้นองค์หญิงจะทำเช่นไรเพคะ”
“จะไปยากอะไรเราก็กลับตำหนักอี้คุนอย่างไรเล่า”
ชิวเฟินนั่งคิดอยู่นานว่าตนเองจะอยู่เรียนต่อหรือกลับตำหนักดี สุดท้ายนางก็เลือกกลับตำหนัก ใครเป็นอาจารย์ท่านน้าเขยของนางอย่างไรเล่า คิดได้ดังนั้นชิวเฟินก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งไปหาอาจารย์ทันที
ร่างเล็กวิ่งเข้ามาในเรือนพัก โดยไม่ทันได้สังเกตว่ามีคนนั่งอยู่อีกมุมของห้อง
“ท่านอาจารย์เจ้าคะข้าไม่ขอเรียนช่วงบ่ายได้หรือไม่”
ต้วนเซวียนเลิกคิ้วขึ้นข้าหนึ่งมองไปยังคนที่นั่งอยู่มุมห้องแล้วมององค์หญิงเก้า ทั้งน้ำเสียงทั้งแววตาทั้งออดอ้อนและน่าสงสาร ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงท้องร้อง
“องค์หญิงมีเหตุขัดข้องอันใดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะถึงได้ไม่อยากเรียนช่วงบ่าย”
“ท่านอาจารย์ข้าพึ่งหายป่วยนั่งนานรู้สึกเวียนหัวเลยขอกลับไปก่อนเท่านั้น”
“เป็นเช่นนี้นี่เองเช่นนั้นก็เชิญเสด็จเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอบคุณท่านอาจารย์ฝากความคิดถึงไปให้ท่านน้าด้วย”
ต้วนเซวียนมองร่างเล็กวิ่งหายไปแล้ว เขาจึงหันมาสนทนากับคนในห้องต่อ ใบหน้าของอีกฝ่ายกำลังครุ่นคิดแล้วมองตามหลังองค์หญิงตัวน้อยไป
“ฝ่าบาทได้เวลากระหม่อมต้องไปสอนหนังสือแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ต้วนเซวียนยอมรับวว่าตนไม่พอใจอีกฝ่าย แต่ทว่าเรื่องเขาก็ไม่สามารถพูดหรือก้าวก่ายได้ ต่อให้เขาเป็นสหายสนิทแต่ฐานะนั้นต่างกัน อีกทั้งเฉาเฟิงหลงฮ่องเต้ผู้นี้ไม่ใช่คนที่เขาสามารถล้อเล่นได้เช่นกัน
การเป็นฮ่องเต้ว่ายากแล้วแต่การเป็นฮ่องเต้ที่มีอำนาจมากกว่าขุนนางนั้นยากกว่า หลายรัชกาลฮ่องเต้บางพระองค์อยู่ภายใต้การควบคุมของขุนนางมีอำนาจ หรือไทเฮาแต่รัชกาลนี้มีไทเฮาถึงสองพระองค์ คือฮองไทเฮาผู้เป็นฮองเฮาในฮ่องเต้พระองค์ก่อน และไทเฮาผู้เป็นพระมารดาแท้ ๆ
ผู้คนต่างพากันคาดเดาการขัดแย่งอำนาจทางการเมืองแต่ใครจะคาดคิดเล่าว่า ไทเฮาทั้งสองพระองค์จับจูงมือกันไปเฝ้าสุสานในอดีตฮ่องเต้
ส่วนเฉาเฟิงหลงฮ่องเต้ภายใต้หน้ากากอันสงบนิ่งและรอยยิ้มเต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตา ภายในนั้นสามารถสังหารผู้คนได้โดยไร้ความปรานี อีกทั้งยังเป็นคนที่มีความคิดยากจะคาดเดาอีกด้วย น่าเสียดายต่อให้แข็งแกร่งขนาดไหนก็ยากจะผ่านด่านสาวงามไปได้
เฉาเฟินหลงไม่ได้สนใจต้วนเซวียนแม้แต่น้อย สายตาของเขามองไปยังประตูตามร่างเล็กไป เด็กที่พึ่งวิ่งออกไปก่อนหน้านั้นคงเป็นบุตรสาวของเขา เกิดจากสตรีร้ายกาจนางนั้นเข้ารู้ว่ามีบุตรสาวคนนี้แต่ว่าเขาไม่เคยพบนาง เพราะตั้งแต่เขาพลาดท่าให้กับชุ่ยตงฉีครั้งที่สองเขาก็ไม่เคยไปพบนางอีก อีกทั้งยังกักขังนางในตำหนักอี้คุนกว่าห้าปี
นางมักเรียกร้องความสนใจเสมอแต่เขารู้ว่านั้นเป็นเพียงแผนการให้เขาไปพบนางก็เท่านั้น ได้ยินว่าองค์หญิงเก้าอายุเพียงห้าหนาว นิสัยของนางไม่ต่างอะไรกับผู้เป็นมารดาแต่วันนี้เขากลับเห็นต่างออกไป สายตาออดอ้อนนั้นทำให้เขารู้สึกอิจฉาคนได้รับแบบบอกไม่ถูก
“ฝ่าบาทจะเสด็จที่ใดพ่ะย่ะค่ะ”
“เดินเล่น “เฉาเฟินหลงพูดออกมาเพียงแค่นั้น เขาก็ออกจากเรือนพักของต้วนเซวียว และเลือกเดินลัดเลาะไปยังอุทยานข้างกายเขามีผู้คนมากมายแต่ในใจเขานั้นรู้สึกโดดเดี่ยว
ชิวเฟินนั่งลงกับพื้นหญ้า ทั้งหิวทั้งเหนื่อยนางไม่มีแรงเดินแล้ว ตอนนี้นางรู้สึกว่าตำหนักท้ายวังนั้นอยู่ไกลจริง ๆ มือน้อยทั้งสองข้างบีบนวดขาของตนเอง
“องค์หญิงเพคะหม่อมฉันมีแผ่นแป้งแอบเก็บเอาไว้หากไม่รังเกียจกินรองท้องก่อนดีหรือไม่เพคะ”
ชิวเฟินคว้าเอาแผ่นแป้งหยาบจากมือของส่วงสี่ จากนั้นแบ่งออกเป็นสองสวนแล้วยื่นให้ส่วงสี่
“เจ้าเองก็ควรกินเช่นกัน”
“โธ่…องค์หญิงน้อยของหม่อมฉัน “ส่วงสี่มององค์หญิงเก้าด้วยสายตาเอ็นดู หากไม่ติดว่าอีกฝ่ายมีศักดิ์เป็นองค์หญิงนางคงยกมือขึ้นลูบศีรษะไปแล้ว
ในระหว่างนั่งกินแผ่นแป้งอยู่นั้นเฉินกงกงก็กลับมา ใบหน้าของเขาปูดโบนจนแทบดูไม่ได้ ชิวเฟินชินชากับการเห็นผู้คนหลากหลายรูปแบบนางยังอดตกใจไม่ได้
“พี่ส่วงสี่ท่านพาเฉินกงกงไปทำแผลใส่ยาก่อนเถอะ”
“แต่ว่า…”
“ข้าอยู่คนเดียวได้ผ่านอุทยานป่าไผ่ไปแล้วก็ถึงตำหนักอี้คุนพวกเจ้าไม่ต้องห่วง”
ส่วงสี่ลังเลเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเจ้านายตัวน้อยยืนยันหนักแน่น นางก็พาเฉนกงกงไปทำแผล และนางจะรีบกลับมาพอสองคนนั้นจากไปแล้วชิวเฟินก็ลุกขึ้น แต่ว่าสายตาของนางเหลือบไปเห็นปลายอาภรณ์สีทองเขาเสียก่อน นางจึงวิ่งไปตามเส้นทางกลับตำหนักอี้คุน
นางไม่อยากเห็นบิดาไร้ใจคนนั้น ชาติก่อนนางมีคู่หมั้นเป็นซื่อจื่อแห่งจวนกั๋วกง ทั้งชีวิตทำทุกอย่างเพื่อเขาแต่สุดท้ายบิดากลับสั่งให้ถอนหมั้น แล้วจัดงานแต่งของชายที่นางรักกับพระธิดาคนโปรดเท่านั้นยังไม่พอยังส่งนางไปเป็นเครื่องสังเวยสงครามระหว่างสองแคว้นด้วย
แต่ดูเหมือนสวรรค์ไม่เข้าข้าง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนางวิ่งช้าหรือบิดาใจดำเดินเร็วกันแน่นางถึงได้เห็นเขายืนอยู่ตรงหน้านาง ชิวเฟินเก็บความรู้สึกทุกอย่างเอาไว้ในใจ ใช่หากนับเวลาแล้วนางและบิดาคนนี้ไม่เคยพบหน้ากันสักครั้ง นางต้องทำเป็นไม่รู้จักเขา