เรื่องสั้น

ย้อนยุคมาเป็นแม่สามีสุดโหด

นิยาย Dek-D
อัพเดต 26 พ.ค. เวลา 07.05 น. • เผยแพร่ 26 พ.ค. เวลา 07.05 น. • enjoybook
โชคชะตาเล่นตลกให้นางย้อนเวลามาเป็นแม่ลูกแปด แถมลูกสะใภ้เจ้าปัญหา อีกทั้งสามียังไม่เอาไหน ในเมื่อพึ่งพาใครไม่ได้ ก็ได้แต่สวมบทเป็นแม่สามีที่ร้ายกาจด้วยตัวเองแล้ว!

ข้อมูลเบื้องต้น

ย้อนยุคมาเป็นแม่สามีสุดโหด [穿成农门恶婆婆]
*** ลิขสิทธิ์ถูกต้องภายใต้หจก. EnJoyBook ***
ได้รับลิขสิทธิ์ออนไลน์ (Digital license) สำหรับแปลขายลงบนเว็บไซต์ได้อย่างถูกลิขสิทธิ์ 100%
สงวนลิขสิทธิ์
เผยแพร่ครั้งแรกใน SHANGHAI SEVENCAT CULTURE MEDIA CO., LTD.
การแปลนี้จัดร่วมกับ SHANGHAI SEVENCAT CULTURE MEDIA CO., LTD.
ลิขสิทธิ์แปลไทย ⓒ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ็นจอยบุ๊ค
---------------------------------------
นิยายแปลเรื่อง ย้อนยุคมาเป็นแม่สามีสุดโหด [穿成农门恶婆婆]
ผู้แต่ง : 遇花期 ผู้แปล : ฟางฟาง[芳芳]
อ่านตอนล่วงหน้าก่อนใคร คลิก >> https://bit.ly/3N8UWGT

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

เรื่องย่อ
เย่อวี๋หรานสาวออฟฟิศอายุสามสิบกว่ายังไร้คู่ตุนาหงัน ทว่าโชคชะตาดันเล่นตลกให้นางย้อนเวลามาเป็นแม่ในยุคโบราณ แถมยังมีสามีที่ได้มาเปล่า ๆ แต่ช้าก่อน เจ้าของร่างเดิมจะหัวสมัยใหม่ไปไหม? ครอบครัวอื่นอยากได้ลูกชาย แต่นางกลับอยากได้ลูกสาว หลังพยายามอยู่หลายครั้งในที่สุดก็ได้ลูกสาวสมใจ แต่เพราะแบบนี้ถึงได้ตามใจจนเสียคน ลูกสาวเอาแต่ใจ ลูกชายก็โง่ทึ่ม เท่านี้ไม่พอยังให้โบนัสนางเป็นลูกสะใภ้อีกห้าคน สะใภ้ทั้งแต่ละคนก็ไม่ธรรมดา ครอบครัวจนกรอบจนวัน ๆ ได้กินแต่โจ๊ก สามีพึ่งพาไม่ได้ แถมเจ้าของร่างเดิมยังเป็นคนแปลก ได้ชื่อว่าเป็นสตรีดุร้าย ‘ขาใหญ่ประจำหมู่บ้านสกุลจู’ เย่อวี๋หรานกุมศีรษะ เพื่อไม่ให้ใครจับได้ว่านางไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม นางได้แต่อาศัยความทรงจำของเจ้าของร่างเลียนแบบกลบเกลื่อนไปก่อนแล้ว เอาเถอะ ในเมื่อมาแล้วก็ต้องอยู่ให้ดี ลูกสาวเอาแต่ใจหรือ? ได้! นางจะดัดนิสัยให้เอง ลูกสะใภ้เจ้าปัญหา? เหอะ! ไม่ครณามือนางหรอก โชคดีที่นางมีนิ้วทองคำ สถานการณ์สกุลจูยังมีหวังกอบกู้!

คุณอาจจะชอบเรื่องนี้

บทที่ 1 ย้อนยุคมาเป็นแม่สามีสุดโหด

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

บทที่ 1 ย้อนยุคมาเป็นแม่สามีสุดโหด

เย่อวี๋หรานตื่นขึ้นมาเพราะเสียงโหวกเหวกโวยวาย

น่าประหลาด เธอเป็นสาวโสดทึนทึกอยู่ตัวคนเดียว แล้วเสียงทะเลาะนี้ดังมาจากไหนกัน?

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

“ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น…” เย่อวี๋หรานที่ยังสะลึมสะลือได้ยินเสียงอ่อย ๆ ดังขึ้นข้างกาย จากนั้นก็มีเสียงแหลมสูงอีกเสียงดังขึ้นมา

“แล้วท่านหมายความว่าอย่างไร? พี่สะใภ้รอง ท่านทำเกินไปแล้วนะ ข้าท้องโตขนาดนี้ยังมาใส่ร้ายข้าได้ หาว่าข้าผลักท่านแม่ล้ม?”

ในที่สุดเย่อวี๋หรานก็ได้สติสัมปชัญญะคืนมา รู้สึกหัวร้อนวูบวาบ เธอตวาดขึ้นอย่างอดไม่ได้

“หุบปากเดี๋ยวนี้!”

ทั้งห้องเงียบสงบลงทันที

“ท่านแม่ ท่านฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ? ดีจริง ๆ ในที่สุดท่านก็ได้สติแล้ว!”

เย่อวี๋หรานสับสนอยู่บ้าง ท่านแม่ไหน? ใครคือท่านแม่?

“ท่านแม่ ข้าไม่ได้ผลักท่าน ท่านต้องเป็นพยานให้ข้านะ ข้ายังอุ้มท้องหลานสาวสุดที่รักของท่านแม่อยู่เลย แล้วจะไปทำเรื่องพรรค์นั้นได้อย่างไร?”

“หุบปาก!” เย่อวี๋หรานปวดศีรษะ ช่างยากนักที่จะลืมตาขึ้น

“ร้องห่มร้องไห้อะไรกันอยู่ ไสหัวออกไปให้หมด”

เมื่อถูกเธอจ้องอยู่แบบนี้ สตรีคนนั้นก็ลืมแม้แต่จะร้องไห้ ได้แต่กระวีกระวาดออกจากห้องไป

เย่อวี๋หรานสูดลมหายใจอันหนาวเหน็บ เธอพบว่าไม่ใช่แค่ถูกคนกลุ่มหนึ่งล้อมหน้าล้อมหลัง แต่คนกลุ่มนี้ยังสวมเสื้อผ้าแบบโบราณที่เต็มไปด้วยรอยปุปะ ตอนนี้มีบุรุษและสตรีรวมกันสิบกว่าคน

ครั้นแลดูที่มือของตัวเอง มือที่ดูสูงวัยคู่นี้เต็มไปด้วยร่องรอยของการทำงานหนัก ไม่ใช่มือของคนทำงานออฟฟิศที่หมั่นทาครีมบำรุงอย่างดีจนขาวผ่องเกลี้ยงเกลาของเธอคู่นั้นเด็ดขาด

สมองยังคงสับสน ไม่มีกะจิตกะใจจะไปรับมือคนเหล่านั้น เธอโบกมือเล็กน้อยให้พวกเขาออกไปให้หมด เพื่อที่ตนเองจะได้สงบใจสักครู่

บุรุษที่อายุมากที่สุดในคนกลุ่มนั้นไม่ลืมที่จะเป็นห่วงเป็นใยเธอ เพียงแต่คำพูดคำจาทำไมฟังดูแล้วเหมือนจะแฝงเจตนาไม่ดีสักเท่าไหร่?

“หรานเหนียงเอ๊ย เจ้าก็อย่าโมโหนักเลย เมียเจ้าสี่ก็ไม่ได้ตั้งใจ ดูสิ ตอนนี้เจ้าก็ฟื้นแล้วไม่ใช่หรือ ไม่เป็นไรแล้วนี่นา? เมียเจ้าสี่ยังท้องอยู่ หลานสาวที่เจ้าอยากได้นักหนาไม่แน่ว่าอาจเกิดมาเร็ว ๆ นี้ก็ได้ ถ้าจะไล่นางกลับบ้านเดิมไปเพราะเรื่องแค่นี้ ถึงตอนนั้นจะมองหน้ากันไม่ติดเอานะ”

เย่อวี๋หรานแทบอยากถ่มน้ำลายใส่หน้าเขา “คุณเป็นใครกัน?”

จากนั้น อยู่ ๆ สมองก็ระลึกขึ้นมาได้เองว่าเขาเป็น ‘สามีของเธอ’ นั่นเอง

ฉิบxาย!

ชาติที่แล้วหลังเรียบจบปริญญามาก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน อายุสามสิบกว่าแล้วก็ยังไม่แต่งงาน แล้ว ‘สามีของเธอ’ คนนี้โผล่มาจากไหน?

ความทรงจำที่ไม่ใช่ของเธอกำลังพรั่งพรูออกมา จนทำให้เธอเข้าใจสถานะของตัวเองในตอนนี้ได้กระจ่าง ตอนนี้เธอมีชื่อว่า เย่อวี๋หราน แต่งงานมีลูกแล้ว

สามีคือ ‘จูเหล่าโถว’ มีลูกชายด้วยกันเจ็ดคน และลูกสาวหนึ่งคน

ตอนที่ระลึกขึ้นมาได้นั้น เย่อวี๋หรานก็ต้องทอดถอนใจให้กับความประหลาดของเจ้าของร่างเดิม ผู้อื่นอยากได้ลูกชายจะเป็นจะตาย แต่นางกลับรังเกียจว่าลูกชายไม่ดี และอยากจะได้ลูกสาว

ความคิดแบบนี้ ‘ก้าวหน้า’ มากเลยใช่หรือไม่?

ไม่เลย เจ้าของร่างเดิมอยากได้ลูกสาวเพราะอยากส่งลูกสาวไปเป็นสาวใช้ในบ้านสกุลใหญ่ หากต้องตานายท่านหรือนายน้อยคนไหนเข้าก็จะได้เป็นอนุภรรยาของอีกฝ่าย นับแต่นั้นมารดาก็จะได้พึ่งพาบุตรจนสุขสันต์ คนทั้งหมดพลอยได้ดีไปด้วยกัน

บีบคั้นให้คนทั้งบ้านคลอดลูกสาวก็เพื่อความหวังอันยิ่งใหญ่เช่นนี้เอง!

“…”

ไม่สู้ลงแรงสักหน่อย บ่มเพาะลูกชายไปสอบรับราชการเป็นขุนนางไม่ดีกว่าหรือ? ทำไมต้องดึงดันจะไปเป็นสาวใช้บ้านคนรวยเพื่อเป็นอนุภรรยาของผู้อื่นให้ได้?

และสิ่งที่น่าอนาถที่สุดก็คือ ครอบครัวสกุลจูยากจนข้นแค้น จนวัน ๆ ได้กินแต่โจ๊กเท่านั้น

ครั้นลองตรวจดูสภาพร่างกายเล็กน้อยก็พบว่านอกจากแก่ไปบ้างเพราะดูแลตัวเองไม่ค่อยดี ก็คล้ายกับจะไม่มีปัญหาอื่นใดอีก

เย่อวี๋หรานลุกจากเตียง ช่วงแรกยังไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง แต่เพราะยังมีความทรงจำจากเจ้าของร่างเดิมสำรวจเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยก็เพียงพอแล้ว ตอนนี้นอกจากจะเคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่วเท่าเจ้าของร่างเดิมแล้ว การจัดการกับตนเองและเก็บที่นอนก็ไม่นับว่าติดขัดอะไร

เจ้าของร่างเดิมนั้นแต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดา ไม่แน่ว่าเรื่องธรรมดาหากเข้ามาอยู่ในสมองของนางแล้วอาจกลายเป็นเรื่องไม่ธรรมดาก็ได้

รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง

เย่อวี๋หรานไม่ต้องการให้ตนเองเผย ‘พิรุธ’ ออกไปด้วยความเลินเล่อชั่วขณะ และถูกครอบครัวสกุลจูจับไปเผาเพราะเข้าใจว่าเธอเป็นภูตผีปีศาจหรอกนะ

ยุคโบราณแบบนี้ยิ่งดูเหมือนจะงมงายมากอยู่ด้วย!

เย่อวี๋หรานออกมาถึงลานเรือน ก็เห็นสตรีที่กระวีกระวาดออกมาจากห้องคนนั้นกำลังแสดงละครอยู่

สามีนางเป็นลูกคนที่สี่ของครอบครัวสกุลจู ซึ่งก็คือ ‘เมียเจ้าสี่’ ที่จูเหล่าโถวพูดถึงคนนั้น บ้านมารดาของนางคือแซ่หลี่

แท้จริงแล้วหลี่ซื่อ [1] เฉลียวฉลาดยิ่งนัก ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่โดดเด่นเกินหน้าลูกสะใภ้ทั้งหลาย และกลายเป็นคนที่เจ้าของร่างเดิมโปรดปรานมากที่สุด

หลังจากหลี่ซื่อจัดการตัวเองเสร็จสรรพก็วิ่งไปที่หนึ่งตามแผน นางนั่งคุกเข่าลงอย่างเรียบร้อย

และเพื่อแสดงให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ใจของตัวเอง ครั้นนางเห็นสะใภ้รองหลิวซื่อเดินผ่านมาก็ยังจงใจร้องทัก “สะใภ้รอง เจ้ากำลังทำอะไรอยู่? ท่าทางเหมือนเพิ่งกลับมาจากข้างนอก?”

ไม่รอคำตอบของหลิวซื่อ นางก็แอ่นท้องพล่ามต่อไปว่า

“ข้าไม่ได้สบายเหมือนเจ้าหรอกนะ ไม่มีเรื่องก็วิ่งแจ้นไปทั่ว ถึงจะแบกท้องโตขนาดนี้แต่ข้าก็คุกเข่าอยู่ตรงนี้มาตลอดตั้งแต่ออกมาจากห้องของท่านแม่ พูดไปแล้วก็เหนื่อยเอาการ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ท่านแม่จะยกโทษให้ข้า เฮ้อ ตัวข้าน่ะไม่เป็นไรหรอก สงสารก็แต่หลานสาวที่น่ารักของท่านย่าในท้องข้า ไม่รู้ว่าจะทนทานรับไหวหรือไม่”

หลิวซื่อชะงักฝีเท้า สายตาที่มองมาหานางออกจะประหลาดอยู่บ้าง

หลี่ซื่อเห็นว่าแผนการของนางได้ผลก็ย่ามใจ ลูบหน้าท้องพูดต่อไปว่า “นี่แค่ไม่กี่เดือน ยังไม่ถึงกำหนดคลอด ถ้าคุกเข่าต่อไปจนเกิดอะไรขึ้นมา ถึงตอนนั้นคนที่ปวดใจก็คือท่านแม่…”

“ข้าจะปวดใจอะไร?” เย่อวี๋หรานปรากฏตัวขึ้นด้านหลังนาง และเอ่ยถามเสียงเย็น

หลี่ซื่อสะดุ้ง รีบหันกลับไป “ท่านแม่ ท่านมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร?!”

“ท่านแม่” หลิวซื่อเดินขึ้นมาหาพลางเอ่ยเรียกอย่างว่าง่าย

“ถ้าข้าไม่อยู่ตรงนี้ แล้วต้องอยู่ที่ไหน?”

หลี่ซื่อไม่เห็นว่าเมื่อครู่เย่อวี๋หรานอยู่ในมุมลับตาของห้องครัว และมองเห็นได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งว่าแท้จริงแล้วหลี่ซื่อออกมาจากห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ คุกเข่าลงตอนไหน ร้องเรียกหลิวซื่อมาฟังนางพูดพล่ามไม่หยุดว่าอย่างไรบ้าง

เฮอะ!

แม้เจ้าสี่จะไม่มีตัวตนอยู่ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม แต่ลูกสะใภ้ ‘คนดี’ คนนี้ ความคิดอ่านนั้นปราดเปรียว ฉอเลาะเก่งยิ่งนัก

ไม่เพียงฉอเลาะเก่งเท่านั้น แต่การพูดจายังน่าฟังกว่าร้องเพลง ท่าทางช่ำชองการละครเช่นนี้ ถ้าเย่อวี๋หรานไม่มาเห็นกับตาตัวเอง คงนึกว่าหลี่ซื่อนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ออกมาจากห้องของนางจริง ๆ

เดิมทีเย่อวี๋หรานยังคิดว่าเจ้าของร่างเดิมหกล้มคงไม่ใช่ความผิดของหลี่ซื่อเสียทั้งหมด จึงตระเตรียมจะมอบบทเรียนเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามฉบับเจ้าของร่างเดิมให้ก็แล้วกันไป อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็อุ้มท้องโตขนาดนั้น

แต่ตอนนี้ ‘เฮอะ ๆ’

“พี่สะใภ้รอง ทำไมท่านไม่เตือนข้า?” เมื่อพบว่าตัวเองขายหน้ายกใหญ่ หลี่ซื่อก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ร้องเสียงแหลมผุดลุกขึ้นมา หันไปตำหนิหลิวซื่อทันที

“ท่านจงใจให้ข้าเสียหน้าใช่ไหม? ทำไมท่านชั่วร้ายขนาดนี้ ความคิดสกปรก ถึงอย่างไรข้าก็เป็นน้องสะใภ้ของท่านนะ ทั้งยังท้องอยู่ด้วย เป็นถึงหลานสาวของท่าน…”

“ข้า…” หลิวซื่อหดคอ ท่าทางอ่อนแอขลาดเขลา ไม่กล้าตอบโต้

“มาร่ำร้องอะไรอยู่ตรงนี้? หุบปาก!” เย่อวี๋หรานเดินรุดขึ้นหน้า ตวาดใส่หลี่ซื่อ

“เจ้ามีมารยาทนักหรือ? ตนเองเป็นน้องสะใภ้ยังกล้ามาแผดเสียงใส่สะใภ้รอง การอบรมสั่งสอนจากบ้านเดิมไปไหนหมด? หรือข้าควรจะถ่อไปถึงเรือนสกุลหลี่ของพวกเจ้า ถามแม่เจ้าว่าสั่งสอนลูกสาวมาอย่างไร? มีน้องสะใภ้ที่ไหนกล้าขึ้นเสียงฉอด ๆ ใส่หน้าพี่สะใภ้บ้าง?”

ไฟโทสะของหลี่ซื่อมอดลงทันใด ก่อนจะรีบร้อนอธิบาย

“ไม่ใช่ ท่านแม่ เป็นนาง…”

“หุบปาก! ต่อหน้าข้ายังกล้าเถียงคำไม่ตกฟาก ลับหลังจะไม่ขึ้นมาขี่บนหัวข้าเลยรึ? หา!”

หลี่ซื่อสั่นศีรษะอย่างกลัวเกรง “ไม่กล้า ท่านแม่ ท่านก็รู้ ข้าเคารพเทิดทูนท่านแม่เป็นที่สุด เรื่องแบบนี้ข้าจะกล้าได้อย่างไร? แต่ไหนแต่ไรมาท่านแม่ว่าอย่างไรข้าก็ว่าอย่างนั้น ไม่กล้าเถียงสักคำ”

“ถ้าอย่างนั้นข้าให้เจ้าหุบปากแล้วทำไมยังพล่ามไม่หยุด? ไหนลองบอกมาซิ วันนี้ข้าบอกให้เจ้าหุบปากมากี่รอบแล้ว เจ้าเคยฟังบ้างหรือไม่? ตกลงข้าเป็นแม่สามีของเจ้า หรือเจ้าเป็นแม่สามีของข้ากันแน่?”

“เป็นท่าน…” หลี่ซื่อคิดขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ตัวเองไม่ควรพูด รีบหุบปากลงฉับ เพียงแต่รู้สึกอัดอั้นอยู่บ้าง

ฮือ ๆ…ปกติเวลาท่านแม่โมโห นางแค่พูดเสียงอ่อนเสียงหวานไม่กี่ประโยคก็เอาใจท่านแม่ได้แล้ว แต่ทำไมวันนี้เอาใจยากนัก?

หรือว่า หกล้มไปรอบหนึ่งกลับล้มจนความรู้สึกดี ๆ ที่ท่านแม่มีต่อนางหายไปหมด?

[1] ในยุคจีนโบราณ เมื่อกล่าวถึงสตรีที่แต่งงานแล้วจะเรียกนามสกุลบ้านเดิม (บ้านมารดา) ตามด้วยคำว่า ซื่อ(氏)เช่น หลี่ซื่อ นามสกุลเดิมคือ หลี่ หรือ หลิวซื่อ นามสกุลเดิมคือ หลิว เป็นต้น บ้างก็เติมนามสกุลสามีไว้ข้างหน้า เช่น จูหลี่ซื่อ หมายถึงสตรีสกุลหลี่ที่แต่งเข้าบ้านสามีสกุลจู

บทที่ 2 ความชอบของลูกสะใภ้

บทที่ 2 ความชอบของลูกสะใภ้

“เจ้าจำไว้ให้ดี หลิวซื่อเป็นพี่สะใภ้รองของเจ้า ข้าไม่สนว่าในใจเจ้าจะคิดอย่างไร ควรมีมารยาทอย่างไรก็มีมารยาทเช่นนั้น เจ้าควรเคารพข้าเสียบ้าง คราวหน้าถ้าข้าเห็นเจ้าขึ้นเสียงใส่สะใภ้รองอีก ข้าจะหักขาสุนัขของเจ้าเสีย”

หลี่ซื่อสั่นสะท้าน

ท่านแม่พูดว่าจะหักขาสุนัขของนาง ถึงเวลาทำจริงอาจมีลดผ่อนให้บ้าง ตีนางสักยกย่อมไม่ใช่ปัญหา

ยกตัวอย่างเช่นเจ้าเด็กสองคนของพี่สะใภ้ใหญ่ เวลาที่พวกเขาไม่เชื่อฟัง แม่สามียกไม้กวาดขึ้นมาพูดว่าจะตีก็ตีเลย ถึงกับวิ่งเต้นไปทั่วบ้าน ทุกคนตกตะลึงแต่กลับไม่มีใครกล้าออกมาเกลี้ยกล่อม

“ขอโทษสะใภ้รองเดี๋ยวนี้!” เย่อวี๋หรานพูดจบก็ทำท่าพยักพเยิดให้หลิวซื่อก้าวออกมา

“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ ท่านแม่” หลิวซื่อพูดเสียงเบา

“ข้าให้เจ้าออกมาก็ออกมา พูดไร้สาระอยู่ทำไม?”

หลิวซื่อตัวสั่นเทิ้ม เดินออกมาอย่างเชื่อฟัง

หลี่ซื่อจ้องหลิวซื่อด้วยท่าทางไม่พอใจ

“จ้องอยู่ทำไม? ข้าให้เจ้าขอโทษ เจ้าไม่ได้ยินหรือไร?” เย่อวี๋หรานจ้องนางเขม็ง

“ขอโทษเจ้าค่ะ พี่สะใภ้รอง” หลี่ซื่อไม่ยินยอมพร้อมใจ น้ำเสียงจึงเบามาก

“เสียงเบาขนาดนั้น เสียงยุงเรอะ พูดให้ดัง ๆ หน่อย”

เมื่อเห็นว่าไม่อาจทำส่ง ๆ ให้ผ่านไปได้ หลี่ซื่อก็ได้แต่พูดให้เสียงดังขึ้น “ขอโทษพี่สะใภ้รองเจ้าค่ะ”

เย่อวี๋หรานมองไปทางหลิวซื่อ

“เจ้าล่ะ? สะใภ้สี่ของเจ้าขอโทษเจ้าแล้ว เจ้าไม่ควรพูดสักคำว่าไม่เป็นไรหน่อยหรือ? หรือว่าเจ้ายังไม่อยากอภัยให้นาง”

หลิวซื่อรีบร้อนกล่าว

“ไม่เป็นไร…”

ทว่าหลี่ซื่อกลับเค้นเสียง “เฮอะ!”

หลิวซื่อหดคอ เปลี่ยนกลับไปอ่อนแออีกแล้ว

คนขอโทษเทียบกับคนที่ได้รับการขอโทษแล้วยังมีไฟโทสะมากกว่า ไม่เหมือนการขอโทษกันเลยสักนิด เย่อวี๋หรานไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว แต่นางก็แน่ใจได้อย่างหนึ่งว่าสองคนนี้เป็นอย่างไร หลิวซื่อนั้นสอดคล้องกับในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นอาเต๊าที่สนับสนุนอย่างไรก็ไม่ก้าวหน้า [1] ตอนนี้คงได้แต่ปล่อยไปแบบนี้แล้ว

ส่วนหลี่ซื่อผู้นี้กลับไม่ได้มีดีแค่ปากหวาน เฮอะ ๆ!

ไม่ว่าจะคนไหน หากจะบ่มเพาะให้รับหน้าที่สำคัญก็ดูเหมือนหนทางยังอีกยาวไกล

แต่เรื่องนี้ก็ทำให้เย่อวี๋หรานทราบว่าความทรงจำที่มีอคติของเจ้าของร่างเดิมนั้นเชื่อถือไม่ได้ เวลาจะใช้งานต้องใช้อย่างรอบคอบ

เย่อวี๋หรานปล่อยให้หลิวซื่อไปทำธุระของนาง หากแต่ยังรั้งหลี่ซื่อเอาไว้

“ท่านแม่ มีอะไรอีกหรือไม่เจ้าคะ?” แค่ต้องเผชิญหน้าด้วย หลี่ซื่อก็ใจฝ่อแล้ว

“เจ้าแอบกินไข่ไก่ของที่บ้าน ทั้งยังกล้าผลักข้าล้ม ไม่ควรพูดอะไรหน่อยหรือ?” เย่อวี๋หรานจ้องนางเขม็ง สีหน้าเย็นเยียบ

รอบนี้ถึงคราวหลี่ซื่อต้องหดคอแล้ว

“ท่านแม่ ข้าเปล่านะ ข้ารู้ว่าไข่ไก่เก็บไว้ให้น้องเล็ก ข้าจะขโมยกินไข่ได้อย่างไร? จริง ๆ นะ ข้าไม่ได้ขโมย”

เย่อวี๋หรานจ้องนางโดยไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด

หลี่ซื่อถูกจ้องจนรู้สึกกลัวอยู่บ้าง เพราะนางไม่อาจรู้ได้เลยว่าแม่สามีเห็นอะไรไปบ้าง

นางแอบกินไข่ไก่จริง ๆ นั่นแหละ แต่เรื่องนี้โทษนางได้หรือ? ในเรือนเลี้ยงไก่อยู่แค่ไม่กี่ตัว ไข่ไก่สองฟองต่อหนึ่งวัน หากไม่ใช่น้องแปดกินก็เป็นแม่สามีเก็บเอาไว้ เตรียมไว้สำหรับแลกเงินเวลาฉุกเฉิน

ถ้าเงินที่แลกได้นำมาใช้เป็นส่วนกลางในครอบครัวก็แล้วไป แต่แม่สามีกลับมีจิตใจลำเอียง เอาเงินไปใช้กับน้องแปดทั้งหมด นางจะยอมรับได้อย่างไร?

อีกทั้งนางยังเป็นสตรีมีครรภ์ แต่อาหารการกินกลับเทียบน้องแปดไม่ได้ หลายวันถึงจะได้ดื่มน้ำแกงไข่ไก่สักครั้ง ทั้งยังเป็นแบบที่เจือจาง และยังต้องแบ่งกินกับน้องแปดอีกต่างหาก

นี่ยังเป็นเพราะนางพร่ำพูดต่อหน้าแม่สามีไม่หยุดว่าในท้องของนางอาจเป็นหลานสาวก็ได้ แม่สามีจึงได้ตบรางวัลให้นางด้วยความเมตตา

ยิ่งกินไม่ได้ก็ยิ่งอยากกิน หลี่ซื่อโหยหาใจจะขาด ทันใดนั้นก็ไปเจอไข่ต้มฟองหนึ่งในชามที่วางค้างไว้บนเตา แล้วจะอดใจไหวได้อย่างไร?

แต่ใครจะคาดว่าตอนกินอยู่แม่สามีไม่เห็น ทว่าตอนนางเตรียมจะฝังกลบเปลือกไข่กลับโดนแม่สามีเห็นเข้าเสียได้

เสียงตวาดของแม่สามีทำให้นางที่ใจตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ อย่างคนกินปูนร้อนท้องต้องสะดุ้ง คิดแต่จะวิ่งหนีท่าเดียว

คิดไม่ถึงว่าแม่สามีจะถูกนางหันกลับไปชนจนล้มลงกับพื้น

และเรื่องราวต่อจากนั้น ทุกคนก็คงทราบแล้ว

“ข้า…เปลือกไข่พวกนั้นข้าเก็บมา จริง ๆ นะ ข้าสาบานว่าข้าเก็บมาจริง ๆ”

“ข้ากลัวว่าท่านแม่จะคิดว่าข้าแอบกินไข่ ข้ากลัว เลยตั้งใจว่าจะเอามันไปซ่อนก่อนที่ท่านจะมาพบ แต่ข้าคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะโชคร้ายขนาดนี้ ท่านแม่ไม่เจอคนที่แอบกินไข่ แต่มาเจอข้าที่กำลังจะฝังเปลือกไข่แทน”

หลี่ซื่อมั่นใจว่าแม่สามีจะต้องเห็นแค่ช่วงหลังแน่ ไม่อย่างนั้นตอนที่นางกำลังกินไข่อยู่ ท่านแม่ต้องเข้ามาห้ามแล้ว

“เฮอะ ๆ!” เย่อวี๋หรานหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าไม่ได้แอบกินไข่แล้วจะไปฝังมันทำไม? นี่เรียกว่ากินปูนร้อนท้อง รู้หรือไม่?”

“ข้าเปล่าจริง ๆ นะเจ้าคะ”

“เจ้าไม่คิดจะยอมรับใช่ไหม? ได้ เย็นนี้ข้าว่าจะทำแป้งกรอบใส่ไข่ ในเมื่อเจ้าไม่ยอมรับ ตอนเย็นเจ้าก็ไม่ต้องกินแล้ว”

“ท่านแม่จะทำแป้งกรอบอะไรนะ?” หลี่ซื่อได้ยินว่าตอนเย็นจะมีไข่ไก่ แววตาพลันวาววับ

“ถ้าข้ายอมรับ ตอนเย็นก็จะได้กินไข่แล้วใช่ไหมเจ้าคะ? ถ้าอย่างนั้นข้าก็ยอมรับแล้ว ท่านแม่ ข้าแอบกินไข่เองแหละเจ้าค่ะ”

“เจ้าเพิ่งสาบานว่าตัวเองไม่ได้ขโมยกินไข่เองนะ?” ครั้นเห็นสายตาของอีกฝ่าย เย่อวี๋หรานก็หมดคำจะกล่าว

พูดไปพูดมา สะใภ้สี่ที่ไม่สอดคล้องกับความทรงจำเจ้าของร่างเดิมเท่าไหร่นั้นเป็น ‘สายกิน’ หรือนี่?

“ข้าผิดไปแล้ว ท่านแม่ ข้าไม่ควรโกหกท่าน ข้าขโมยกินไข่ฟองนั้นเองเจ้าค่ะ” หลี่ซื่อยังไม่ลืมย้ำกับนางอีกว่า “ท่านแม่ ตอนเย็นข้ากินไข่ได้แล้วใช่ไหม?”

“ได้!” เย่อวี๋หรานรู้สึกว่าตนเองค้นพบวิธีจัดการกับฝ่ายตรงข้ามแล้ว

หลี่ซื่อดีใจยิ่งนัก

“อย่าดีใจเร็วเกินไป ตอนเย็นเจ้ากินได้ แต่ว่าเรื่องที่เจ้าแอบกินไข่ไม่ได้จะผ่านไปง่าย ๆ หรอกนะ สิ่งที่ควรลงโทษก็จะต้องลงโทษ”

“ขอแค่ท่านแม่ไม่ลงโทษให้ข้าอดไข่เย็นนี้ จะลงโทษอย่างไรก็ได้ทั้งนั้นเจ้าค่ะ”

“…” เย่อวี๋หรานหมดคำพูดไปชั่วขณะ แต่พบว่าหลี่ซื่อไม่ได้ไร้หนทางเยียวยาไปเสียทีเดียว ก็ได้แต่ผ่อนลมหายใจออกมา ทว่าสีหน้าเย็นชายังต้องค้างไว้อยู่

“เรื่องลงโทษ ข้าจะจดไว้ก่อน ถึงเวลาจะบอกเจ้าอีกที”

“ได้เจ้าค่ะ ท่านแม่”

หลี่ซื่อกลับห้องไปอย่างเริงร่า เอาแต่พูดว่าตอนเย็นจะมีแป้งกรอบใส่ไข่ให้กินแล้ว

“แป้งกรอบใส่ไข่? แป้งกรอบที่ทำจากไข่ไก่?” จูซื่อ [2] ที่นอนอยู่บนเตียงลุกขึ้นปุบปับ “มีแค่เจ้ากับน้องแปดที่จะได้กิน หรือว่าพวกเราทุกคนก็ได้กินด้วย?”

“ข้าจะไปรู้หรือ อย่างไรเสียท่านแม่ก็พูดเอง มีส่วนของเจ้าหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่มีของข้าแน่นอน”

จูซื่อยื่นหน้าเข้ามา “เมียจ๋า เรามาเจรจากันหน่อยดีไหม?”

“อยากให้ข้าแบ่งให้เจ้าอย่างนั้นรึ? ฝันไปเถอะ” หลี่ซื่อเชิดคาง กล่าวอย่างเย่อหยิ่ง

“เมื่อครู่ตอนอยู่ข้างนอก ข้าถูกท่านแม่สั่งสอนชุดใหญ่ขนาดนั้น เจ้าก็ไม่ออกมาช่วย ยังจะให้ข้าแบ่งไข่ให้เจ้ากิน อย่าหวังเลย”

“ไม่เอาน่า เมียจ๋า พวกเราไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันหรอกรึ? ไม่ว่าเจ้าจะถูกสั่งสอนอยู่ข้างนอกหรือข้าถูกสั่งสอนอยู่ข้างนอกมันต่างกันตรงไหน? ในเมื่อพวกเราล้วนถูกสั่งสอนเหมือนกัน มีทุกข์ร่วมทุกข์กันแล้ว ตอนเย็นเจ้าได้ไข่มาก็ควรจะมีสุขร่วมเสพสักหน่อย จริงไหม?”

ช่างต่างจากภาพลักษณ์ไร้ตัวตนยามอยู่ข้างนอก เวลาที่จูซื่ออยู่ต่อหน้านางจะช่างเจรจาอย่างมาก และหน้าก็ยังหนามากอีกด้วย

คิดไปแล้วก็คงใช่ ถ้าปากเขาไม่ช่างจำนรรจาแบบนี้แล้วเป็นเหมือนพี่สาม จะหาภรรยาแต่งเข้าบ้านด้วยตนเองได้อย่างไร?

การที่เย่อวี๋หรานกล้าพูดอย่างใจป้ำว่าจะกินแป้งกรอบใส่ไข่ก็มีสาเหตุอยู่เหมือนกัน นั่นเป็นเพราะว่านางมีนิ้วทองคำ [3] ที่ไม่มีใครรู้

ปลูกอะไรก็งอกงาม จะเลี้ยงอะไรก็รอด

ด้วยเหตุนี้ หลังรับรู้จากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมว่าครอบครัวที่ตนเองแต่งเข้ามานั้นเป็นครอบครัวชาวนาที่ยากจนข้นแค้น เย่อวี๋หรานก็ไม่รีบร้อน แต่ทำความเข้าใจสถานการณ์ภายในครอบครัวสกุลจูให้ดีเสียก่อน เลี่ยงไม่ให้ตนเองเผยพิรุธว่าตัวเองไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม

อาศัยความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เย่อวี๋หรานจึงได้นำเสบียงอาหารที่ซ่อนไว้ในตู้ออกมาวางเรียงราย คิดคำนวณในใจจนกระทั่งกำหนดแผนการที่แน่นอนได้แล้ว

เห็นเช่นนี้แล้ว นางก็ต้องยอมรับว่าครอบครัวนี้ไม่ได้จนแบบธรรมดาเลย

[1] อาเต๊า ชื่อจริง หลิวเสี้ยน (จีนกลาง หลิวซ่าน) เป็นลูกชายของเล่าปี่ในวรรณกรรมจีนเรื่องสามก๊ก หลังเล่าปี่ตายแล้ว บริวารที่มีความสามารถของเล่าปี่ก็ช่วยสนับสนุนอาเต๊าที่สืบบัลลังก์ต่อจากบิดารบทัพจับศึกบริหารบ้านเมือง แต่สุดท้ายจ๊กก๊กก็ยังตกเป็นของโจโฉ อาเต๊าถูกจับเป็นตัวประกัน แต่กลับไม่อนาทรร้อนใจ วัน ๆ เสพสุขที่แคว้นศัตรูปรนเปรอให้จนลืมบ้านเกิด จึงมีสำนวนว่า ‘สุขจนลืมจ๊ก’ อาเต๊ามักถูกยกไปอุปมาถึงคนที่สนับสนุนไม่ขึ้น ไม่รู้จักแสวงหาความก้าวหน้า

[2] จูซื่อ 朱四 จูเป็นแซ่ ซื่อ แปลว่า สี่. จูซื่อ หมายถึง ลูกชายคนที่ 4 ของสกุลจู. เป็นคนละคำกับคำว่า ซื่อ(氏) ที่ใช้กับสตรีที่แต่งงานแล้ว

[3] นิ้วทองคำ เป็นศัพท์ที่ใช้ในเกมออนไลน์และนิยายจีน หมายถึง สิ่งที่ทำให้ผู้เล่นเกมหรือตัวละครเอกได้เปรียบกว่าชาวบ้าน เช่น ไอเทมหายาก เคล็ดวิชาลับ การย้อนเวลาข้ามมิติ ความรู้ที่ทันสมัย ทักษะที่ไม่มีใครเทียบได้ รูปโฉมงดงามเกินใคร เป็นต้น สรุปก็คือเป็นปัจจัยหรือบทบาทที่ผู้เขียนวางไว้เพื่อให้ตัวละครเอกนั้นเก่งกาจกว่าคนทั่วไป มีความสามารถเหนือชั้นไม่ธรรมดา

บทที่ 3 แป้งกรอบใส่ไข่และหัวไชเท้าฝอย

บทที่ 3 แป้งกรอบใส่ไข่และหัวไชเท้าฝอย

ไม่รู้ว่าไก่ของเจ้าของร่างเดิมเลี้ยงกันมาอย่างไร เห็น ๆ อยู่ว่ามีเป็นสิบตัว แต่ทุกตัวล้วนผอมโซ วันหนึ่งได้ไข่มาสองฟองก็ถือว่าไม่เลวแล้ว

สมาชิกในครอบครัวมีกันเยอะขนาดนั้น แต่ก็มีเพียงลูกสาวคนที่แปด ‘จูปาเม่ย’ ที่เจ้าของร่างลำเอียงให้ได้กินไข่วันละฟอง คนอื่นแม้แต่ฝันยังเป็นไปไม่ได้ มีแต่ช่วงฤดูกาลทำนาจึงพอจะได้กินของคาวบ้าง

ครอบครัวสกุลจูมีที่ดินแค่ไม่กี่หมู่ [1] แต่กลับต้องเลี้ยงคนสิบกว่าปากท้อง ผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ไม่พอเหลือจากต้นไปถึงท้ายปี แบบนี้แต่ละคนจะไม่อดอยากปากแห้งได้อย่างไร?

น่าสงสารหลี่ซื่อ อุ้มท้องโตขนาดนั้นก็ไม่อาจได้กินไข่เต็มใบ

ไข่ไก่พวกนั้นเป็น ‘สมบัติล้ำค่า’ ของครอบครัวสกุลจูจริง พวกเขาไม่มีแหล่งรายได้อื่นอีก วิธีหาเงินมีอยู่ทางเดียวคือเก็บไข่ไก่แลกเงิน

แน่นอนว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ นอกจากแต่งลูกสะใภ้ เชิญหมอตำแย เจ้าของร่างเดิมก็ใช้รายได้ทั้งหมดไปกับจูปาเม่ย โดยหวังว่าต่อไปนางจะสามารถเป็นสาวใช้หรืออนุภรรยาในบ้านสกุลใหญ่ได้?

เวรกรรม

กลัวก็แต่จะล้มป่วย เพราะถ้าเจ็บป่วยขึ้นมาคงไม่มีปัญญาเชิญหมอมารักษา ได้แต่ทนให้หายไปเอง

ก่อนหน้านี้เจ้าของร่างล้มไปโครมใหญ่ ถูกคนในบ้านหามมาถึงบนเตียง แต่ไม่มีใครไปเชิญหมอมาก็ด้วยเหตุนี้

หากไม่เป็นเช่นนี้ คาดว่าก็คงจะไม่ได้มาอยู่ในร่างนี้แล้วกระมัง

“ท่านแม่!” แค่เห็นเย่อวี๋หรานเข้ามาในห้องครัว หลิวซื่อก็เครียดแล้ว

วันนี้เป็นเวรทำอาหารของนาง วันหนึ่งใช้ข้าวได้เท่าไหร่ ใช้ผักมากน้อยแค่ไหน ทั้งหมดล้วนกำหนดไว้แน่นอนแล้ว

หากมากหรือน้อยเกินเป็นต้องถูกดุถูกว่า

หากใช้มากไป แม่สามีก็จะหาว่า ‘สิ้นเปลือง’ แต่หากใช้น้อยไป แม่สามีก็จะบ่นว่าไม่อิ่มท้อง ทว่าความจริงแล้วด้วยเหตุที่สมาชิกในครอบครัวมีจำนวนมากขึ้น ไม่มีใครได้กินอิ่มท้องมานานแล้ว

เย่อวี๋หรานเห็นข้าวที่นางตักใส่ไว้ในชาม พูดว่าเป็นข้าวสาร แต่แท้จริงแล้วส่วนใหญ่เป็นรำข้าว และมีข้าวสารอยู่ไม่มาก

เติมผักที่ปลูกไว้กินกันเองในบ้าน ต้มจนเป็นโจ๊กเบาบางหม้อหนึ่ง มีแค่สามคนซึ่งก็คือเจ้าของร่างเดิม จูเหล่าโถว และจูปาเม่ย ที่สามารถควานหาในหม้อตักขึ้นมาก่อนได้ ส่วนคนอื่น ๆ ได้แต่ตักแบ่งโจ๊กก้นหม้อแบ่งไปคนละเท่า ๆ กัน

ในขณะที่หลานชายสองคน พวกเขาไม่สามารถถูกส่งไปเป็นสาวใช้ในบ้านสกุลใหญ่เพื่อไต่เต้าเป็นอนุภรรยาของนายน้อยในบ้านคนรวยได้ จึงถือเป็นพวกไร้ประโยชน์ ส่วนแบ่งก็ยิ่งน้อยลงเข้าไปอีก

เย่อวี๋หรานลอบถอนใจ!

ทุกวันกินกันแบบนี้ มิน่าเล่าคนทั้งบ้านในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมถึงได้หน้าเหลืองตัวลีบกันหมด นอกจากจูปาเม่ยแล้วก็ไม่มีใครที่สีหน้าดูได้สักคน

ทุก ๆ วันได้กินแต่โจ๊กเปล่า จะทนทานรับไหวได้อย่างไร?

หากไม่ใช่เพราะในความทรงจำของเย่อวี๋หรานที่บ่งบอกว่าหลี่ซื่อตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว ไม่อย่างนั้นด้วยท้องที่นางมองเห็นอยู่ตอนนี้ คงคิดว่าโกหกอย่างแน่นอน

สตรีตั้งครรภ์ผอมแห้งอ่อนแอ เด็กในท้องไม่ได้รับสารอาหารบำรุง ครอบครัวชาวนาแบบนี้ต่อให้มีเพิ่มอีกกี่คนก็เลี้ยงไม่รอด ดังนั้นคนหัวปีจึงคลอดออกมาอย่างอกสั่นขวัญแขวน แต่เลี้ยงกันมาแบบ…

แล้วแต่สวรรค์จะเมตตา

วิธีการที่เจ้าของร่างเดิมกับจูเหล่าโถวยืนหยัดเลี้ยงเด็กทุกคนที่เกิดมาในหมู่บ้านสกุลจูนี้ เกรงว่าคงหาได้ยากยิ่ง

ตรงจุดนี้เย่อวี๋หรานก็อดจะคิดไม่ได้ว่าเจ้าของร่างเดิมผู้นี้มีวาสนาอย่างไรกันแน่ หากบอกว่าวาสนาไม่ดี แต่นางกลับมีลูกชายได้มากถึงเพียงนี้ ถ้าบอกว่าวาสนาดี แต่กลับจนกรอบจนได้กินเพียงโจ๊กเปล่าในทุกมื้อ กินไม่อิ่ม สวมไม่อุ่น แม้แต่ไข่ฟองเดียวยังต้องคิดแล้วคิดอีก

“คนอื่น ๆ ล่ะ?”

“ท่านพ่อพาพวกพี่ชายไปทำนา พี่สะใภ้ใหญ่ไปเก็บหญ้าเลี้ยงหมูบนเขาเจ้าค่ะ” ส่วนใครบางคนที่แอบอู้อยู่ในเรือน หลิวซื่อได้แต่คิดแต่ไม่พูดออกมา

“เอาล่ะ อย่ามายืนโง่อยู่ตรงนี้ เจ้าช่วยข้าติดไฟ ข้าจะทำอาหารเย็นเอง” ย้อนนึกถึงน้ำเสียงเวลาพูดจาของเจ้าของร่างเดิม เย่อวี๋หรานก็พยายามเลียนแบบให้เหมือนเข้าไว้

“เจ้าค่ะ ท่านแม่”

เย่อวี๋หรานยกชามขึ้นมา นางเข้าไปในห้องเพื่อตักแป้งกับรำข้าวออกมาอีกรอบ ยังมีไข่ไก่ห้าฟองและผลไม้ตากแห้งอีกถุงหนึ่ง

หลิวซื่อเห็นแม่สามีหยิบของกินออกมามากขนาดนั้นก็ตกใจ

มากขนาดนั้น จะกินกี่มื้อกัน?

เย่อวี๋หรานไม่สนใจ ครั้นเห็นว่าในครัวมีผักป่าและผักกาดขาวที่ล้างไว้แล้ว แต่ไม่มีหัวไชเท้าจึงถามขึ้น “มีหัวไชเท้าหรือไม่?”

“มีเจ้าค่ะ อยู่ในแปลง”

“เจ้าไปเก็บมาสักหน่อย เอาสิบหัว” เจ้าของร่างเดิมไม่ชอบพูดพร่ำ จึงออกคำสั่งไปตรง ๆ

“เจ้าค่ะ ท่านแม่”

……

ตัดโคนผักกาดขาววางไว้ด้านข้าง เอาใบเขียวมารวมกับผักป่าแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ลงในชามพักไว้เสียก่อน

น้ำมันเหลือแค่ก้นโถแล้ว แต่ก็ยังพอมีเกลืออยู่บ้าง

เย่อวี๋หรานผสมรำข้าว แป้ง และไข่ไก่เข้าด้วยกันในชามใบหนึ่ง จากนั้นเติมน้ำใส่โถน้ำมันแล้วเทใส่ในชามผสมกัน

นางพบว่าในบ้านไม่มีชามใบใหญ่ที่พอจะใช้ได้ จึงแบ่งผักซอยและแป้งที่ผสมรอไว้แล้วออกเป็นสองส่วน แล้วเอามาผสมกันก่อนครึ่งหนึ่ง

อีกด้านหนึ่ง ตอนที่หลิวซื่อเก็บหัวไชเท้ากลับมาจากข้างนอก ก็เจอสะใภ้ใหญ่หลิ่วซื่อที่ลงมาจากบนเขา

หลิ่วซื่อนอกจากจะแบกตะกร้าที่มีหญ้าเลี้ยงหมูสุมอยู่กองพะเนินแล้ว ด้านหน้ายังแขวนถุงกระสอบใบหนึ่ง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคงจะใส่พวกผักป่าและผลไม้ป่าที่พอจะหาได้เอาไว้

“พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าช่วยท่านเอง” หลิวซื่อรีบรับถุงกระสอบมาจากมือของอีกฝ่าย

“เจ้าเก็บหัวไชเท้าเยอะขนาดนี้ไปทำไม?” หลิ่วซื่อเห็นของที่อยู่ในตะกร้าแล้วก็ขมวดคิ้วน้อย ๆ

หากนางจำไม่ผิด อาหารเย็นที่แม่สามีสั่งไว้เหมือนจะไม่มีหัวไชเท้านี่นา

“ท่านแม่ให้ข้าไปเก็บมา” หลิวซื่อทราบว่าอีกฝ่ายกำลังสงสัยเรื่องอะไร จึงรีบตอบเสียงแผ่ว

แค่ฟังก็ทราบว่าเป็นคำสั่งของแม่สามี หลิ่วซื่อจึงไม่พูดอะไรอีก

ครั้นพวกนางสองคนกลับมาถึงเรือน เย่อวี๋หรานก็เตรียมทุกอย่างใกล้จะเสร็จแล้ว

“เมียเจ้าใหญ่กลับมาแล้ว? เจ้าเอาหญ้าเลี้ยงหมูไปหั่นแล้วเอาไปให้พวกหมูกิน ส่วนเมียเจ้ารองล้างหัวไชเท้าแล้วเอามาหั่นฝอย”

เย่อวี๋หรานเห็นหลิ่วซื่อตัวก็เล็กเท่านี้ แต่กลับต้องแบกตะกร้าใบเขื่องก็อดรู้สึกสงสารไม่ได้ สตรีในยุคนี้ล้วนเป็นเช่นนี้หรือเจ้าของร่างเดิมโหดเหี้ยมเกินไป ถึงได้ทำให้หลิ่วซื่อมีสารรูปเช่นนี้กันแน่?

แต่นางก็ไม่ได้แสดงท่าทีผิดปกติเพื่อเลี่ยงไม่ให้เผยพิรุธออกไป ทำเพียงเลียนแบบเจ้าของร่างด้วยการออกคำสั่งต่อไปเท่านั้น

“เจ้าค่ะ ท่านแม่”

หลิ่วซื่อวางตะกร้าลง พลิกอ่างไม้ที่พิงไว้ตรงมุมกำแพงให้คว่ำลง แล้วเริ่มหั่นหญ้าเลี้ยงหมู

“ท่านแม่ พี่สะใภ้ได้ของพวกนี้มาจากบนเขาเจ้าค่ะ” ในขณะที่หลิวซื่อส่งถุงกระสอบมาให้เย่อวี๋หราน

เย่อวี๋หรานรับมาเปิดดู พบว่าด้านในนอกจากผักป่าแล้วยังมีผลไม้ป่าด้วย

ในบ้านชาวนาเช่นนี้ ผลไม้ป่าไม่นับเป็นของหายาก แต่สิ่งที่นางแปลกใจก็คือในนั้นยังมีผลไม้สีชมพูชนิดหนึ่ง เมื่อลองชิมดูก็พบว่ามีรสชาติเปรี้ยวอมหวานดังคาด

ก่อนหน้านี้ยังเคยคิดว่าแป้งกรอบที่จะทำนี้มีแค่หัวไชเท้าซอยอาจไม่อร่อยเท่าที่ควร และตอนนี้ก็มีวิธีแก้แล้ว

นอกจากนี้ นางเกรงว่าความชอบของแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน จึงไม่คิดจะใส่ผลไม้ลงไปในแป้งหรือหัวไชเท้าฝอยโดยตรง แต่ล้างให้สะอาดแล้วต้มในหม้อใบเล็กเพื่อทำเป็น ‘น้ำเชื่อมผลไม้’ แทน

ที่จริงแล้วน้ำเชื่อมผลไม้ไม่ได้ทำยากอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่ความยากคือการทำให้อร่อย

เนื่องจากมีปัจจัยที่จำกัด นอกจากผลไม้ เกลือ และน้ำแล้ว นางก็โรยแป้งลงไปนิดหน่อย นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว

เพราะนางไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว ก็ใครใช้ให้เรือนนี้ไม่มีแป้งข้าวโพดกันล่ะ?

แต่ถึงจะไม่มีก็ต้องหามาใส่ ไม่อย่างนั้นต้มออกมาก็จะเหลวเป็นน้ำ ไม่มีทางข้นได้

น้ำเชื่อมผลไม้ก็ควรจะเหนียว ๆ ข้น ๆ สิ

นอกจากนี้ นางยังกังวลว่าผลไม้ป่าที่คัดออกมาจะมีจำนวนน้อยเกินไป จึงไม่เติมแป้งลงไป เพราะถึงเวลาแล้วก็คงไม่พอกิน

ไม่มีน้ำตาลงั้นหรือ?

เย่อวี๋หรานก็คัดพวกผลไม้ป่าที่มีรสหวานออกมาล้างให้สะอาด คว้านเมล็ดออกแล้วหั่นเต๋า

จากนั้นก็ค่อยเติมน้ำเย็นกับเกลือแช่พักไว้

[1] 1 หมู่ (亩 ไร่จีน) = 666.67 ตารางเมตร

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

ดูข่าวต้นฉบับ