ไอที ธุรกิจ

เลข CVV หลังบัตรเครดิต: ซื้อของออนไลน์ทำไมต้องใส่ แล้วมีอะไรต้องระวังบ้าง?

Checkraka
เผยแพร่ 15 พ.ย. 2562 เวลา 03.35 น. • เช็คราคา.คอม

เลข CVV หลังบัตรเครดิต: ซื้อของออนไลน์ทำไมต้องใส่ แล้วมีอะไรต้องระวังบ้าง? 

เวลาเราใช้บัตรเครดิตซื้อของทางออนไลน์ หรือผ่านทางโทรศัพท์ ส่วนใหญ่เราต้องกรอกหมายเลข CVV (เลข 3 ตัว) ที่อยู่หลังบัตร (หรือในกรณีของบัตร Amex จะอยู่หน้าบัตร และเป็นเลข 4 ตัว) หลายคนอาจสงสัยว่ามันคืออะไร แล้วเรากรอกเลข CVV พวกนี้ไปจะมีปัญหา หรือความเสี่ยงอะไรตามมากับบัตรเครดิตของเราหรือไม่ วันนี้ เรามาไขข้อข้องใจเรื่อง CVV ในบัตรเครดิตนี้กันครับ

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

CVV ย่อมาจาก Card Verification Value เป็นตัวเลขที่วงการบัตรเครดิตพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้เป็นตัวเสริมความปลอดภัยสำหรับทั้งร้านค้าและเจ้าของบัตร เวลาที่มีการรูดบัตรเครดิตแบบไม่ได้รูดบัตรกันต่อหน้าในร้านค้า (ภาษาอังกฤษมีศัพท์เทคนิคเรียกว่า CNP (Card-Not-Present Transactions)) ซึ่งตัวเลข CVV นี้เจ้าของบัตรจะต้องมีการกรอกก่อนทำธุรกรรมซื้อ-ขายเหมือนเป็น Double Security เพื่อให้แน่ใจว่า คนรูดบัตรมีบัตรอยู่ในมือจริง และคนรับบัตรก็มั่นใจได้ว่าคนรูดบัตรเป็นเจ้าของบัตรตัวจริง และถือบัตรอยู่จริงๆ ตอนทำธุรกรรม วัตถุประสงค์ก็เพื่อลดความเสี่ยงในกรณีข้อมูลเลขบัตรเครดิตโดนขโมย หรือลักลอบโดนเอาไปใช้

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

เวลาเรารูดบัตรเครดิต การที่เครื่องรูดบัตรจะ Process การรูดบัตรได้ จะต้องได้ข้อมูล 3 อย่างคือ 1. เลขบัตรเครดิต (ได้จากการรูดบัตรกับเครื่องรูดบัตร ซึ่งเครื่องจะอ่านตัวเลขบัตรจากแถบแม่เหล็ก)
2. วันหมดอายุบัตร (เพื่อให้แน่ใจว่าบัตรยังมีอายุใช้ได้อยู่) 
3. ข้อมูล Security เพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าของบัตรต้องการรูดบัตรจริงๆ (ไม่ใช่คนอื่นแอบเอาไปใช้) ซึ่งระบบ Security นี้จะมีได้หลายแบบ เช่น การเซ็นชื่อบน Slip ต้องตรงกับตัวอย่างลายมือชื่อหลังบัตร (ปัจจุบันไม่ค่อยได้ผลในการป้องกันแล้ว) การกรอกตัวเลข CCV เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจ (Verify) ว่าเจ้าของบัตรรูดเองจริง หรือต้องกรอกตัวเลข PIN Number ในบางประเทศ เป็นต้น ดังนั้น ตัวเลข CVV จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งในการรูดบัตรทำธุรกรรมซื้อ-ขายเพื่อป้องกันการโจรกรรมหมายเลขบัตรเครดิตนั่นเอง

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ตัวเลข CVV จะมี 3 ตัวเลขเท่านั้น เช่น 472 และมักอยู่หลังบัตร (ยกเว้น Amex) ตัวเลข CVV จะไม่เป็นตัวนูน (Embossed) และไม่มีการเก็บตัวเลขไว้ในแถบแม่เหล็กของบัตร (Magnetic Strip) ดังนั้น เวลาเรารูดกับเครื่องรูดบัตร ตัวเลข CVV จะไม่มีการเก็บเข้าระบบของร้านค้า ตัวเลขที่ร้านค้าจะได้จากเราคือ ตัวเลขบัตรเครดิตด้านหน้าบัตรซึ่งเป็นตัวนูน (Embossed) เท่านั้น ดังนั้น หากข้อมูลร้านค้าหาย คนที่ขโมยจะได้เลขบัตรเครดิตเราไปเท่านั้น จะไม่ได้ตัวเลข CVV ไปด้วย ในกรณีของ Amex ตัวเลข CVV ของ Amex จะเป็นตัวเลข 4 หลักอยู่หน้าบัตร แต่ Amex จะมีระบบ Double Security 2 ส่วนคือตัวเลขหน้าบัตร (ซึ่งก็คือ CVV) และอีกตัวเลข 3 หลักอยู่หลังบัตรด้วย เรียกว่า CID (Card Identification Data)

เราจะสังเกตได้ว่าเวลาเรารูดบัตรในร้านค้า เราจะไม่ต้องกรอกเลข CVV แต่ถ้าทำธุรกรรมออนไลน์ เว็บไซต์ร้านค้าจะบังคับให้เราต้องกรอกเลข CVV สาเหตุเพราะการซื้อของออนไลน์ หรือซื้อผ่านโทรศัพท์ เจ้าของบัตรกับร้านค้าจะไม่เจอกัน และไม่เห็นด้วยว่าใครกำลังถือบัตรนี้อยู่ และไม่มีการเซ็นลายมือชื่อบัตรใน Slip ให้เห็นกันต่อหน้าด้วย ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันกรณีมีคนแอบใช้บัตรที่ขโมยเลขบัตรเครดิตของคนอื่นมา (แต่ไม่ได้ตัวบัตรมา) เวลาทำธุรกรรมทางออนไลน์ จะไม่สามารถทำธุรกรรมได้ เพราะไม่มีเลข CVV หลังบัตรนั่นเอง

เลข CVV จะเป็นคนละเลขกับ PIN Number เพราะ (1)  Pin Number เราเปลี่ยนได้เองตลอดเวลา แต่ตัวเลข CVV จะเป็นเลขประจำของบัตรเครดิตใบนั้นๆ เราจะเปลี่ยนเองไม่ได้
(2) PIN Number มักจะใช้เพื่อวัตถุประสงค์เพื่อการกดเงินสดจากตู้ ATM แต่ในบางประเทศ ตัวเลข PIN Number ก็ใช้เหมือนการเซ็นบัตรเครดิตในเมืองไทยเรา คือเค้าไม่มีเซ็น แต่ต้องมีการกรอกตัวเลข PIN Number นี้แทนก่อนที่จะมีการอนุมัติธุรกรรมที่รูดไป ซึ่งก็เป็นมาตรการหนึ่งในการป้องกันการฉ้อโกง หรือขโมยบัตรเครดิตคนอื่นมาใช้

(1) CVV จะใช้ไม่ได้ผล ถ้าคนขโมยบัตรเราไปได้ทั้งใบ เพราะถ้าได้ไปทั้งบัตร เค้าจะเห็นตัวเลข CVV เราด้วย ดังนั้น ถ้าบัตรหายทั้งใบ เราต้องโทรอายัดบัตรอยู่ดี 

(2)  เว็บไซต์ซื้อ-ขายออนไลน์บางเว็บไซต์ (เช่น พวก Amazon หรือ Lazada) เวลาเรารูดใช้ครั้งแรก ทางระบบจะเก็บตัวเลขไม่เพียงแต่เลขบัตรเครดิต และวันหมดอายุเท่านั้น แต่จะเก็บตัวเลข CVV ของบัตรเครดิตเราไว้ด้วย และในครั้งหลังๆ เวลาซื้อของ เราจะไม่ต้องกรอกเลข CVV อีก ซึ่งในแง่หนึ่งก็สะดวกเวลาซื้อของเพราะง่ายดี แต่ในอีกมุมหนึ่ง หากคนอื่นสามารถ Log-in บัญชีซื้อ-ขายของออนไลน์ของเราได้ จะเป็นอันตรายพอสมควร เพราะเค้าสามารถกดซื้อของได้เลยโดยไม่ต้องมีบัตรเครดิตอยู่ในมือ 

สำคัญสุด!! ตัวเลขหลังบัตร 3 หลักควรเก็บเป็นความลับ เพราะรหัส CVV นั้นเป็นตัวยืนยันการทำธุรกรรมต่างๆ ของเราในขั้นตอนสุดท้าย ถ้าหากมีคนรู้รหัส 3 ตัวหลังบนบัตรเครดิตของเรา หรือกรณีถูกขโมยบัตรเครดิตไป และนำไปใช้ทำธุรกรรมต่าง ๆ แทนเรา ก็จะทำให้เกิดความเสียหายได้ 

เพราะฉะนั้น วิธีการป้องกันการเกิดหนี้ หรือการโจรกรรมข้อมูลบัตรเครดิตจากมิจฉาชีพทั้งหลายนั้น ทำได้ด้วยการเก็บข้อมูลบัตรเครดิตไว้ให้เป็นความลับที่สุด (ทั้งบนหน้าบัตรและหลังบัตร) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หมายเลขบัตรเครดิต 16 หลัก และเลขรหัส CVV ต้องฝึกให้เป็นนิสัยด้วยการเก็บบัตรเครดิตเข้ากระเป๋าสตางค์ทันที หลังจากที่ใช้บัตรฯ ซื้อสินค้าหรือทำธุรกรรมเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพื่อป้องกันบัตรฯ หาย และอย่าจดรหัส CVV ไว้ในกระเป๋าสตางค์เด็ดขาด หากทำบัตรเครดิตหายต้องรีบโทรแจ้งอายัดบัตรฯ ทันทีนะครับ

ดูข่าวต้นฉบับ
ความเห็น 7
  • เอาลิกขวิดป้าย ให้บัตรใครไปถ้าโดนขูดคือโทรอายัด
    15 พ.ย. 2562 เวลา 10.53 น.
  • Garfield
    ไม่เคยรู้มาก่อน ปกติใส่อย่างเดียว 5555 ขอบคุณสาระดีๆค่ะ
    15 พ.ย. 2562 เวลา 08.33 น.
  • TP
    ซื้อของ on line บางที่ เขาจะขอเลข 3 ตัวหลังบัตรด้วยครับ ไม่อยากบอก แต่เขายืนยันว่าต้องบอก แต่คิดว่าต่อไปถ้ามีการขอเลข 3 ตัวหลังบัตร ก็จะไม่ซื้อครับ
    15 พ.ย. 2562 เวลา 08.08 น.
  • Bee®🐼:(*_*):Bear™🐝
    จำเลขหรือจดรหัสนี้ไว้ในที่ปลอดภัย เพราะจำเป็นในการซื้อของออนไลน์ จองตั๋ว เป็นต้น แล้วขูดเลขหลังขัตรทิ้ง คนที่ถ่ายรูปบัตรไปจะไม่ได้เลขรหัสนี้
    15 พ.ย. 2562 เวลา 07.40 น.
  • 🫧
    จำแล้วขูด หรือ เอาสติกเกอร์เหนียวๆแปะทับ CCV เอาไว้เลย แต่ก็นั่นแหละ บางเว็บก็ไม่ได้ใช้ CCV เหมือนกัน แต่อย่างน้อยก็ช่วยได้นิดนึง
    15 พ.ย. 2562 เวลา 07.38 น.
ดูทั้งหมด