ไอที ธุรกิจ

เมื่อ YouTube เปิดศึกกับ Spotify และ Netflix บนแผ่นดินไทย

Finnomena
เผยแพร่ 13 พ.ย. 2562 เวลา 04.38 น. • FundTalk

ล่าสุด YouTube ได้ตัดสินใจเปิดให้บริการ YouTube Premium ซึ่งนับเป็นการเปิดศึกกับ Spotify และ Netflix ครั้งสำคัญ เนื่องจากบริการ YouTube Premium นั้นมาพร้อมกับ YouTube Music และ YouTube Originals ซึ่งก็คือพวกหนังกับซีรีส์นั่นเอง

เมื่อเงินและเวลามีจำกัด

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

คนไทยวันนี้เล่นเนทกันวันละประมาณ 6 ชั่วโมง และส่วนใหญ่ก็ใช้เวลาอยู่กับ VDO Streaming และ Music Streaming ที่สร้างความบันเทิงพวกนี้ละครับ ไม่ว่าจะเป็น YouTube, LINE TV, Netflix, Facebook Live Spotify, Joox และล่าสุดก็คือ YouTube Music และ YouTube Originals

ค่าบริการของ Streaming Provider พวกนี้ส่วนใหญ่ก็คิดกันประมาณ 100 – 300 บาทต่อเดือน ซึ่งถือว่าไม่น้อยทีเดียวสำหรับผู้บริโภค เพราะไหนจะค่ามือถือ ค่าเนทบ้าน ค่าเติมเงินเกม ยังต้องมีค่า Streaming service พวกนี้อีก ซึ่งผมเชื่อว่าในระยะยาวคนจะยอมจ่ายเพียงเจ้าเดียว หรืออย่างมากก็ 2 เจ้าถ้ามีเงินมากหน่อย

Spotify VS YouTube Music

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

จุดสำคัญที่ผมเห็นคือ YouTube มี feature ที่ข่ม Spotify หรือแม้กระทั่ง Joox ก็คือการรวมผสาน Music Videos เข้าไปกับ Music Streaming ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะฟังอย่างเดียว หรือทั้งดูทั้งฟัง ซึ่ง Music Videos บน YouTube นั้นบอกเลยว่ามันเป็นจักรวาลที่กว้างใหญ่มาก มีทั้งเพลงของนักร้องอาชีพ นักร้องสมัครเล่น มากมาย รวมถึงมีสังคมออนไลน์ที่มี interactive มาก ๆ ถ้า YouTube Music พัฒนาคุณภาพเสียงให้เทียบเคียง Spotify ได้ผมว่างานนี้ YouTube จะ disrupt Spotify ได้ในระยะยาวครับ

นอกจากนี้ผู้ใช้บริการ YouTube Premium ที่แถมพ่วงด้วย YouTube Music นั้นสามารถปิดหน้าจอ และฟังเพลงไปพร้อม ๆ กันได้แล้ว ซึ่งตอบโจทย์การใช้ชีวิตประจำวันอย่าง การเดินทาง การออกกำลังกายได้ด้วย จากปัจจุบันที่เวลาดู YouTube จะไม่สามารถปิดจอ หรือเล่น Multi-tasking ได้ เพราะทาง YouTube จำเป็นต้องให้ผู้ใช้เห็นโฆษณา เนื่องจากเป็นข้อสัญญาที่ YouTube มีกับบริษัทที่ลงโฆษณา

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

Netflix VS YouTube Originals

ณ วันนี้เป็นที่ชัดเจนมากว่า Content ของ Netflix นั้นยังดีกว่า Youtube Originals อยู่มาก และ Netflix เองก็ครองใจผู้ใช้งานในตลาด VDO On-Demand Streaming ไปมากแล้ว คือผู้ใช้ติดกันทั้งบ้านทั้งเมือง เรื่องนี้ผมมีโอกาสได้ถกกับพี่บี๋ คุณอริยะ พนมยงค์ กรรมการผู้อำนวยการ แห่งช่อง 3 ผ่านทาง facebook ซึ่งคุณอริยะได้ฝากข้อคิดไว้ ดังนี้ครับ

คุณอริยะได้ให้มุมมองที่น่าสนใจว่า แค่เพียงราคาที่ถูกกว่าของ YouTube Premium ไม่น่าจะเพียงพอที่จะทำให้คนเลิกดู Netflixได้ เพราะ Netflix ได้ลงทุนเป็นเงินนับหมื่นล้านเหรียญในการสร้าง Content ระดับคุณภาพอย่างต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว ถ้า YouTube จะโค่น Netflix ให้ลงก็จำเป็นต้องลงทุนสร้าง content ดี ๆ มาสู้

คุณอริยะได้ให้ความรู้เสริมอีกว่า สำหรับผู้บริโภคไทยโดยรวม แม้จะเพียงค่าบริการเดือนละ 159 บาทก็ถือว่าไม่ใช่น้อยสำหรับคนไทยส่วนใหญ่ ซึ่ง 85% ยังใช้มือถือแบบระบบเติมเงินอยู่เลย ไม่ง่ายที่คนไทยเหล่านี้จะพร้อมที่จะจ่ายค่าบริการ ดังนั้นเต็มที่ก็คือประมาณ 15% ของคนไทยที่มีรายได้เท่านั้นคือประมาณ 5 ล้านคนที่สามารถมีกำลังซื้อใน Media Streaming Service เหล่านี้

สำหรับมุมมองของผมเอง ผมเชื่อว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของ Disruption ที่บริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่เริ่มเข้าสู่กระบวนการ disrupt บริษัทเทคฯ ด้วยกันเอง และ YouTube ซึ่งมีบริษัทแม่คือ Google นั้นเป็นบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ของโลกที่มีทรัพยากรรวมถึงเงินสดจำนวนมหาศาลที่พร้อมจะทุ่มเงินในการสร้าง content ได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของ Google เองว่าจะเลือกทางเดินอย่างไร

ที่สำคัญคือความได้เปรียบในการแข่งขัน (Competitive Advantage) ของ YouTube อยู่ที่ความแข็งแรงของ Community ที่มีการสร้าง Content และ user มี engagement ต่อ platform สูงมาก ๆ ซึ่งหาก YouTube นำความแข็งแกร่งตรงนี้มาผสานกับการสร้าง Content ที่ยอดเยี่ยมแล้วล่ะก็ ผมเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่ YouTube จะชนะ Netflix ในที่สุด

สุดท้ายคือความจริงที่เจ็บปวดคือการต่อสู้ครั้งนี้เกิดขึ้นในผืนแผ่นดินไทยกับผู้บริโภคไทย โดยที่บริษัทไทยแทบไม่ได้ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจ (Economic) เท่าไหร่เลย เห็นได้จากบริษัทธุรกิจเพลงอย่าง Grammy, RS หรือธุรกิจ Broadcaster อย่าง BEC, WORK ที่ยังไม่สามารถสร้างแพลตฟอร์มยอดนิยมมาตอบโจทย์คนไทยได้ ซึ่ง ณ จุดนี้ ผมมองว่าโอกาสที่บริษัทไทยจะกลับมาชนะในสังเวียนนี้เป็นไปได้ยากเหลือเกิน

ซึ่งในเรื่องนี้ คุณอริยะ พนมยงค์ กรรมการผู้อำนวยการ บมจ.บีอีซี เวิลด์ (ช่อง 3) ได้ตอบสั้น ๆ ว่า It’s not over until it’s over” ก็ขอเป็นหนึ่งกำลังใจให้กับคุณอริยะ ในภารกิจพลิกฟื้นช่อง 3 ของคนไทยให้สำเร็จนะครับ

FundTalk รายงาน

ดูข่าวต้นฉบับ